กมธ.ติง‘กรมที่ดิน-รฟท.’
ไม่ชัดเจนปม‘เขากระโดง’
“อนุทิน” ขออย่าโยงการเมืองยืนยันกรณี“เขากระโดง”ไม่มีอุ้มช่วยเหลือใคร เป็นเรื่องข้อกฎหมาย-ระเบียบวิธีปฏิบัติ ด้าน“มท.2”วอนขอความเป็นธรรมให้ประชาชน ชี้ต้องพิสูจน์สิทธิ์ให้ชัวร์ ขณะที่กมธ.ที่ดินฯ ติง “กรมที่ดิน-รฟท.” ยังไม่ชัดเจนแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่ 5 พันไร่บน“เขากระโดง” จี้ขอเอกสารเพิ่มขีดเส้น15วัน เชื่อที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์“รฟท.” ส่วน “กมธ.ทหาร” เตรียมเรียก “มท., รฟท., ผบ.มทบ.26” ชี้แจงกรณีสร้างค่ายทหารผิดจุด เลี่ยงพื้นที่เขากระโดง
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เชิญกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม ชี้แจงปมข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง ว่า วันนี้ตนได้มอบหมายให้ นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมที่ดิน พร้อมด้วย อธิบดีกรมที่ดิน นำเอกสารหลักฐาน เข้าไปชี้แจงกับคณะ กมธ.ซึ่งเรื่องนี้ขออย่านำการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องข้อกฎหมาย และเรื่องระเบียบวิธีการปฏิบัติทุกอย่าง ซึ่งเป็นไปตามหลักการทางราชการ ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องทางการเมือง และไม่สามารถที่จะมีอำนาจทางการเมืองเข้าไปสั่งการ หรือเข้าไปชี้แนะ หรือ แนะนำอะไรได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนของข้าราชการ
“ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะผมรู้อยู่แล้วว่ามีคนพยายามจะโยงเรื่องนี้ให้ไปเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ในเมื่อทราบแล้ว ก็ต้องอยู่ห่างๆ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการช่วยเหลือใครเป็นกรณีพิเศษ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลปกครอง” นายอนุทิน กล่าว
ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธาน กมธ.ฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณาข้อพิพาทปัญหาที่ดินเขากระโดง ในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ทั้งนี้ พบว่าในส่วนของ รมว.มหาดไทย ได้ส่ง นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย เข้าร่วมประชุมพร้อมกับอธิบดีกรมที่ดิน และคณะ ขณะที่ รมว.คมนาคม ได้ส่งผู้อำนวยการกองกฎหมาย ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มี นายเอก สิทธิเวคิน รองผู้ว่า รฟท.เข้าร่วมประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากหน่วยงานที่เข้าชี้แจงแล้ว ยังพบว่า นายสนอง เทพอักษรณรงค์ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และนายจุลพงษ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ขอเข้าร่วมประชุมด้วย
โดยก่อนการประชุม นายพูนศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ในการตรวจสอบของ กมธ.จะเน้นการพิจารณาในข้อกฎหมาย หากพบประเด็นใดที่ควรแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายจะเสนอให้แก้ไข ซึ่งรวมถึงการตั้งคณะกรรมการเพิกถอนเอกสารสิทธิ หรือกรรมการที่ดินที่พิจารณาในข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ที่มีหน้าที่เพิกถอนและออกเอกสารสิทธิต่างๆ หากพบกระบวนการจัดตั้งไม่ถูกต้อง ต้องแก้ไขระเบียบ หรือกฎหมาย อย่างไรก็ดี ยังมีประเด็นที่ต้องการทราบข้อมูลว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทย จะดำเนินการใดต่อตามคำสั่งของศาลหรือไม่
เมื่อถามว่า ในกรณีที่เกิดขึ้นมีคนการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง จะดำเนินการอย่างไร นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุมของ กมธ.วันนี้ ไม่ได้พิจารณาเรื่องส่วนของการเมืองที่เข้ามามีอิทธิพลหรือมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้อง เมื่อถามต่อว่า หากมีคนการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจริงๆ จะสาวถึงเจ้าตัวหรือไม่ นายพูนศักดิ์ กล่าวว่า การประชุม กมธ.จะเน้นระเบียบวิธีปฏิบัติ ของคณะกรรมการมาตรา 61 มีข้อบกพร่องอย่างไร และหากมีข้อบกพร่องกรรมาธิการจะดำเนินอย่างไร ซึ่งเป็นงานหลักของฝ่ายนิติบัญญัติ ในการดูว่าข้อกฎหมายช่องโหว่ระเบียบปฏิบัติของฝ่ายบริหารเป็นอย่างไร เพื่อนำมาแก้ไข
ขณะที่บรรยากาศในการประชุม กมธ.พบว่าในช่วงแรกให้สื่อมวลชนเข้าสังเกตการณ์และบันทึกภาพ
โดย นายทรงศักดิ์ เดินนำคณะของกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมประชุมกับ กมธ.
นายทรงศักดิ์ กล่าวช่วงต้นตอนหนึ่งว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับ กมธ.ในการตรวจสอบกรณีที่ดินเขากระโดง ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชน
“เรื่องเขากระโดง ไม่ได้กระทบกับสิทธิของคนคนเดียว ส่วนของประชาชน ผมเห็นตัวเลขก็รู้สึกเห็นใจ 900 กว่าราย ที่ได้ครอบครองที่ดินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย หลายคนก็เข้าใจว่าเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วถึงที่สุดที่ดินดังกล่าวเป็นของการรถไฟฯ ทั้งหมด แม้ว่าคำพิพากษานั้นถึงที่สุดก็ต้องยอมรับ แต่จะเป็นที่สุดเฉพาะคู่ความ คู่ความคนอื่นที่ไม่ได้เป็นคู่ความก็ต้องมีการพิสูจน์สิทธิ ว่าการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ หากเพิกถอนทั้งหมดจะเป็นธรรมต่อประชาชนหรือไม่” นายทรงศักดิ์ กล่าว
ต่อมา เวลา 13.30น. นายพูนศักดิ์ แถลงผลการประชุมว่า กมธ.ฯ ยังไม่ได้รับคำชี้แจงที่ชัดเจนเรื่องปัญหาที่ดินเขากระโดงจากหน่วยงานต่างๆ จะต้องตรวจสอบเพิ่มหลายประเด็น เช่น กรรมสิทธิที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ที่ไม่มีข้อยุติเรื่องแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดิน รฟท.ว่า ครอบคลุมสนามแข่งรถ สนามกีฬาหรือไม่ ขณะที่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ 5,000ไร่ ซึ่งมีเอกสารสิทธิและโฉนดที่ดินเขากระโดงที่ภาครัฐออกให้ และมีข้อพิพาทออกโดยชอบหรือไม่นั้น รฟท.และกรมที่ดินยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหา กมธ.ฯ ขอให้หน่วยงานต่างๆ ส่งเอกสารเพิ่มเติมให้ กมธ.ฯ ภายใน 15 วัน เพื่อตรวจสอบรายละเอียด ก่อนจะลงพื้นที่เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ จากนั้น กมธ.ฯ จะนัดประชุมใหญ่อีกครั้ง ช่วงเดือน ม.ค.2568 ก่อนสรุปประเด็นจะแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร แต่เบื้องต้นภาครัฐต้องมีมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ด้าน นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะเลขานุการ กมธ.ฯ กล่าวว่า การเพิกถอนสิทธิที่ดินเขากระโดง เมื่อมีคำพิพากษาว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ต้องปฏิบัติตาม กรณีเขากระโดงไม่ใช่แนวเส้นทางรถไฟ แต่ รฟท.เคยใช้ประโยชน์ จึงได้กรรมสิทธิเพราะเคยใช้ประโยชน์ ดังนั้นกรมที่ดินต้องบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา แต่เหตุผลที่ไม่เพิกถอนได้เพราะไม่มีแผนที่ของ รฟท. ที่ชัดเจน แม้จะมีการรังวัดที่ดิน แต่ไม่ปรากฏแผนที่ที่ดินชัดเจน กมธ.ฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ต้องทำแผนที่ให้ชัดเจน เพื่อให้กรมที่ดินบังคับตามคำพิพากษาได้ ขอให้กรมที่ดินจัดส่งเอกสารแผนที่ให้ กมธ.ฯ อีกครั้ง ส่วนที่กรมที่ดินระบุไม่ใช่คู่ความในข้อพิพาทถือว่าไม่ถูกต้อง กรมที่ดินเป็นหน่วยยงานรัฐ มีหน้าที่บริหารและกำกับที่ดิน เมื่อมีคำพิพากษาที่มีผู้ที่สามารถอ้างอิงกับบุคคภายนอกได้ ดังนั้นพื้นที่กว่า 5,000ไร่ จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท.ทั้งหมด
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงการประชุมกรรมาธิการการทหาร ในวันพรุ่งนี้ (28 พ.ย.) ว่า กรรมาธิการฯ ได้เชิญผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ผู้ว่า รฟท., ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์, อธิบดีกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย รวมถึงผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 26 หรือ ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก มาชี้แจงต่อ กมธ.ฯ เนื่องจาก มีข้อสงสัย และได้รับการร้องเรียนว่า ในการอนุญาตสร้างค่ายมณฑลทหารบกที่ 26 หรือ มทบ.26 นั้น อาจมีการสร้างผิดที่จากเดิมที่กองทัพ เคยขออนุญาตไว้เมื่อปี 2521 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ แต่กลับไปสร้างอีกที่หนึ่ง ซึ่งติดกับที่ดินของเอกชน และห่างจากพื้นที่ที่ขออนุญาตไว้ 2 กิโลเมตร แต่ไม่ได้มีการขออนุญาต
นายต่อพงษ์ จีนใจน้ำ อดีตผู้สมัคร สส.บุรีรัมย์ พรรคก้าวไกล ในฐานะที่ปรึกษาประจำกรรมาธิการฯ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า พบข้อสงสัยต่อกรณีที่ กองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 หรือ ร.23 พัน.4 มทบ.26 ในขณะนั้น ได้มีการขออนุญาตจังหวัดบุรีรัมย์ ในการสร้างค่ายทหารกองพันทหารราบเบา เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2521 ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ได้อนุญาตให้มีการสร้าง เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2521 จนเป็น ร.23 พัน.4 ในปัจจุบัน
แต่เมื่อพิจารณาที่ตั้งของค่ายในปัจจุบัน และเปรียบเทียบกับหนังสืออนุญาตการก่อสร้างแล้ว กลับพบข้อสงสัย ที่ค่ายทหารฯดังกล่าวอาจสร้างผิดที่ เพราะเดิมที่ที่ได้รับอนุญาตให้มีการก่อสร้างนั้น เป็นพื้นที่ที่ทางเหนือติดกับเขากระโดง ที่มีผู้ซื้อที่ดินต่อจากบ้านใหญ่บุรีรัมย์ไป และมีการฟ้องร้องกับ รฟท.จนสุดท้ายศาลฎีกา ได้พิพากษาให้เป็นที่ดินของ รฟท. และค่ายทหารฯ ดังกล่าว ก็ได้ไปสร้างในอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งไม่ได้มีการขออนุญาต และอยู่ห่างจากที่ที่ได้รับอนุญาตไป 2 กิโลเมตร รวมถึงยังเป็นที่ที่มีราษฎรอาศัยอยู่ จนเกิดการฟ้องร้องขับไล่กันต่อมา
ดังนั้น จึงเชื่อว่า ที่ที่กองทัพก่อสร้างค่ายทหารดังกล่าวผิดที่ตั้งแต่แรก และไม่ทราบว่า กองทัพได้มีการขออนุญาตก่อสร้างบนที่ดินดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด รวมถึงเหตุใดกองทัพจึงไม่สร้างค่ายทหารฯ ดังกล่าว บนที่ดินที่มีการขออนุญาตตั้งแต่แรก
ที่ปรึกษาประจำ กมธ.ฯ ยังระบุด้วยว่า ใน จังหวัดบุรีรัมย์ มักมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะการขยับปรับเปลี่ยนหลักหมุดหลักกิโล ที่ดินในจังหวัดถึง 3 ครั้ง เพื่อประโยชน์ให้กับใครหรือไม่ดังนั้น ในวันที่ 28 พ.ย. กมธ.ฯ ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงข้อเท็จจริงกับ กมธ.ฯ ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี