พท.ผวาม็อบ!
จับตา‘สนธิ’ประกาศลงถนน
ปรามาสเชื่อMOU44จุดไม่ติด
ผวา“ม็อบ”! แกนนำ“เพื่อไทย”จับตา-ประเมิน“สนธิ”ประกาศนำม็อบลงถนน-บุกทำเนียบตลอดเวลา ชี้การเมือง-ความรู้สึกเปลี่ยนไปแล้ว แนะใช้เหตุผลพูดคุย ดีกว่าขนมวลชนกดดัน กัดฟันปรามาส เชื่อประเด็น MOU44 จุดไม่ติด ด้านกมธ.พลังงาน ถกปมพื้นที่ทับซ้อน-แบ่งผลประโยชน์ “ไทย-กัมพูชา” เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้องแจงหนุนเดินหน้าตั้งคกก.JTCคุยต่อ แนะเพิ่ม “ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน”ร่วม -จี้ทบทวน MOU44เสนอนำเรื่องถกในสภาฯ-ทำความเข้าใจภาคปชช.ลดคลุมเครือ‘เชียงใหม่’คึกคัก รับครม.สัญจร29พ.ย.ภายใต้ธีม‘ฟื้นคืนสู่ความเฟื่องฟู’หลังผ่านอุทกภัย เตรียมมอบเสื้อผ้าฝ้ายทอมือปักลาย‘สิริวชิราภรณ์-ลายดอกรักราชกัญญา’ให้นายกฯ-ครม.ใส่ประชุม
เมื่อวันที่ 28พฤศจิกายน2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เตรียมเดินทางมาทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในเรื่อง MOU 44 ในวันที่ 9 ธันวาคมและประกาศพร้อมนำมวลชนลงถนนต่อต้านเรื่องนี้ว่าเป็นมุมมองของนายสนธิ ตนเห็นว่าเรื่องนี้มีวิธีอื่นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่านี้เช่นการพูดคุยกัน เพราะการที่จะนำมวลชนมาเหมือนในอดีต วันนี้บริบททางการเมืองเปลี่ยนไปในระดับหนึ่งแล้วและเรื่องนี้เริ่มต้นจากการที่รัฐบาลทำถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้างจึงอยากให้มีการแลกเปลี่ยนและพูดคุยกันจะเป็นประโยชน์มากกว่าส่วนของรัฐบาล ใครจะเป็นคนพูดคุยกับนายสนธิได้นั้น ยังไม่ทราบ แล้วแต่ว่าจะมีการมอบหมายใคร
‘เพื่อไทย’ผวาจับตาม็อบลงถนน
ส่วนที่นายสนธิหยิบประเด็นเรื่อง MOU44ขึ้นมา เพราะคิดว่าจะสามารถปลุกระดมประชาชนขึ้นมาได้ นายประเสริฐ กล่าวว่า จริงๆแล้วเรื่องนี้รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรที่ส่งผลกระทบเสียหาย และรัฐบาลได้ชี้แจงตลอดเวลา นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีหลายท่านก็เคยให้ข่าวเรื่องนี้ หากนำเรื่องนี้มา ก็ยังไม่ใช่ประเด็นที่จะนำไปสู่การลงถนนหรืออะไรต่างๆ
เมื่อถามว่าในพรรคเพื่อไทยได้มีการหารือหรือประเมินเรื่องนี้บ้างหรือไม่นายประเสริฐ กล่าวยอมรับว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยได้มีการพูดคุยและประเมินตลอดเวลา เพราะเรื่องของการเมืองต้องมีการวางยุทธศาสตร์ และจับตาดูสถานการณ์ตลอด พร้อมย้ำว่ารัฐบาลได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปแล้ว
กัดฟันปรามาสเชื่อม็อบจุดไม่ติด
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีความเป็นห่วงในเรื่องนี้หรือไม่นายประเสริฐ กล่าวว่า ถามว่าห่วงไหม ตนก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นประเด็น แต่อย่างไรก็ตามในการปกครองความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน รัฐบาลทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ควรเป็นเหตุที่จะปลุกม็อบได้
เมื่อถามว่า นายสนธิ ห่างหายจากเวทีชุมนุมไปนานคิดว่าครั้งนี้ม็อบจะจุดติดหรือไม่ นายประเสริฐ กล่าวว่า บริบททางการเมืองและความรู้สึกของประชาชนเปลี่ยนไปแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องดังกล่าวเรามาตัดสินด้วยเหตุและด้วยผลกันดีกว่า
กมธ.พลังงานถกปมที่ทับซ้อน
ที่รัฐสภา นายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.)รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)การพลังงาน สภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยภายหลังประชุมกมธ.ว่าที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ด้านพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาโดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิกรมสนธิสัญญา กระทรวงต่างประเทศ,กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน,กองทัพเรือ และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มาให้ข้อมูลล่าสุดในพื้นที่พัฒนาร่วม
กรมสนธิสัญญายืนยันว่าใช้กรอบMOU44เป็นกรอบหลักในการเจรจาโดยกมธ.นำคำถามจากภาคประชาสังคมมาสอบถามได้ข้อมูล2ส่วนว่าในพื้นที่ส่วนบนต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ทับซ้อน ก็ต้องมีการเจรจากันไปพร้อมกับแบ่งทรัพยากรธรรมชาติที่อยู่ส่วนล่างโดยตามกรอบMOUต่างฝ่ายต่างรับรู้พื้นที่ของแต่ละฝ่ายและไทยค่อนข้างมั่นใจข้อมูลที่จะไปเจรจากับกัมพูชาโดยยึดหลักอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเลหรืออันโคลซ
ค้านการยกเลิกสัมปทานเอกชน
นายศุภโชติ กล่าวว่า ส่วนเรื่องสัมปทานที่ให้สิทธิกับเอกชนไปแล้วก็ต้องพูดคุยกันต่อว่าจะเดินหน้าอย่างไร แต่สิ่งที่ กมธ.ไม่อยากให้เกิดขึ้นคือการยกเลิกสัมปทาน แล้วเราต้องมาจ่ายค่าชดเชยให้โดยใช้ภาษีของประชาชนส่วนระยะเวลาในการนำทรัพยากรขึ้นมาใช้ประโยชน์ว่าทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ชี้แจงว่าถ้าดูจากกรอบที่เราเคยทำกับมาเลเซียจะต้องใช้เวลาถึง 25ปีจึงมีคำถามว่าทรัพยากรเหล่านี้ยังจำเป็นหรือไม่ เพราะขณะนี้เรากำลังเดินไปสู่พลังงานสะอาด จึงได้พูดคุยกันว่าถ้าจะทำให้เร็วกว่านี้ทำอย่างไรได้บ้าง
หนุนตั้งคกก.JTCเดินหน้าคุยต่อ
เมื่อถามว่ากมธ.เห็นด้วยกับการเดินหน้าตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค(JTC)ไทย-กัมพูชา หรือไม่ นายศุภโชติ กล่าวว่าแน่นอนต้องมีอยู่แล้ว เพราะเป็นเหมือนบันไดขั้นแรกที่ทำให้การเจรจาเกิดขึ้นได้ และเราก็อยากเห็นว่าองค์ประกอบเป็นอย่างไรโดยการเข้าไปเจรจาเรื่องใดเรื่องหนึ่งต้องมีผู้แทน ในส่วนของไทยมีการพูดคุยกันว่าไม่ใช่แค่เรื่องเขตแดนแต่มีเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและพลังงาน ดังนั้นองค์ประกอบของ JTC จึงเป็นประเด็นสำคัญว่าประกอบด้วยใครบ้าง ที่จะต้องคุยทั้งเรื่องเขตแดน อาณาเจตประเทศ รวมทั้งทรัพยากร ซึ่งที่ผ่านมาองค์ประกอบของ JTC มีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานค่อนข้างน้อย จึงขอฝากข้อเสนอแนะว่าต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานเพิ่มไปด้วยพร้อมย้ำว่าคณะกรรมการ JTC จะต้องครอบคลุมโดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง
หวั่นฝ่ายการเมืองเข้าแทรกแซง
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่อาจจะมีการตั้งคนจากฝ่ายการเมืองเข้าไปด้วย นายศุภโชติ กล่าวว่า คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความพยายามจากฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงในคณะกรรมการJTCแต่อยากให้ยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งและให้การทำงานในเรื่องนี้เป็นกลางจริงๆแต่เรื่องนี้จะชัดเจนที่สุดก็ต่อเมื่อได้เห็นรายชื่อคณะกรรมการJTCออกมาก่อน แล้วค่อยมาตั้งคำถาม
เมื่อถามว่า รมว.พลังงาน ควรอยู่ในคณะกรรมการJTCด้วยหรือไม่ นายศุภโชติ กล่าวว่า ถ้าเทียบกับในอดีตก็ควรจะต้องเป็นบุคคลที่ดูเรื่องเขตแดน เรื่องทรัพยากร ต้องร่วมอยู่ในโต๊ะเจรจาด้วย
จี้ทบทวนMOU44ยังไม่สรุปยกเลิก
เมื่อถามถึงข้อเสนอให้ยกเลิกMOU44นายศุภโชติ กล่าวว่าในกมธ.พูดถึงเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย เพราะการมี MOU44 ถือเป็นกรอบที่ชัดในการเจรจาส่วนจะต้องมีการปรับปรุงอะไรหรือไม่ เราต้องศึกษากันว่าบริบทนี้ผ่านมา 20ปีแล้ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะจึงเห็นว่าต้องมีการทบทวนแต่ถึงขั้นต้องยกเลิกหรือไม่ยังไม่สามารถสรุปได้
ย้ำจุดยืนควรเข้าสู่โต๊ะเจรจา2ปม
เมื่อถามว่าถ้าคุยเรื่องเส้นเขตแดนแล้วไปไม่ได้ จะคุยเรื่องผลประโยชน์ต่อหรือไม่นายศุภโชติ กล่าวว่ารอให้ถึงจุดนั้นก่อน แล้วค่อยว่ากัน ตอนนี้เราควรย้ำจุดยืนว่าควรเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยนำ 2 เรื่องคือผลประโยชน์ และเขตแดน มาคุยพร้อมกันเมื่อถามย้ำว่าได้เห็นแผนที่แนบท้าย MOU44 หรือไม่ นายศุภโชค ตอบว่ากรมสนธิสัญญาได้มาชี้แจงว่าแผนที่แนบท้าย เป็นแค่การรับรู้เส้นที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างอิง ซึ่งเป็นคนละเส้นกัน และไม่ได้มีบทบังคับใช้ตามกฎหมาย
ชงถกในสภา-ทำให้ภาคปชช.เข้าใจ
เมื่อถามว่าฝ่ายสส.เรียกร้องให้รัฐบาลนำเรื่องนี้เข้ามาหารือในสภาฯเมื่อเปิดสมัยประชุมมา นายศุภโชติ กล่าวว่าตนเห็นด้วย การทำงานในเรื่องนี้ที่ผ่านมาค่อนข้างคลุมเครือ หากมีการพูดคุยอย่างเปิดเผยในสภาฯ หรืออธิบายให้ภาคประชาชนเข้าใจตรงกันว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ คำถามที่ตามมาอาจลดน้อยลง เพราะปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่จะเจรจากันแค่คนไม่กี่คน และการทำงานต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้
‘เทพไท’เชียร์ปชน.ไม่ร่วมลงถนน
ด้าน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราชโพสต์คลิปบนเฟซบุ๊ก“เทพไท–คุยการเมือง”หัวข้อ“เห็นด้วยพรรคประชาชนไม่จุ้นม็อบสนธิ”ระบุว่า..การที่นายพริษฐ์วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน กล่าวถึงการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เตรียมจะระดมมวลชนขับไล่รัฐบาลว่าพรรคประชาชนขอทำหน้าที่ในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อใช้กลไกส.ส.ตรวจสอบการทำงานรัฐบาลทั้งเรื่องกระบวนการยุติธรรม,MOU44ที่ดินเขากระโดง
“ผมเห็นด้วยกับท่าทีและจุดยืนของพรรคประชาชน ที่ได้ประกาศจะตรวจสอบรัฐบาลผ่านกลไกระบบรัฐสภา ในฐานะพรรคฝ่ายค้าน ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา หรือบนท้องถนน ก็ให้เป็นสิทธิ์ของการเมืองภาคประชาชน ที่มีการเคลื่อนไหวตามสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นการป้องกันข้อครหาของฝ่ายรัฐบาลที่มีต่อพรรคประชาชนว่า อยู่เบื้องหลังการชุมนุมขับไล่รัฐบาล เหมือนกับการวิเคราะห์ของนายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ที่โพสต์ถึงการชุมนุมว่า มีเพียงก๊กอนุรักษ์นิยม และมีพวกสีส้มเป็นกองเชียร์เท่านั้น”นายเทพไท ระบุ
ชี้เป็นเรื่องภาคปชช.ที่มีต่อรัฐบาล
นายเทพไทยังเห็นว่า ถ้าหากพรรคประชาชนไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจน ก็จะถูกโจมตีได้ว่า ชักใยอยู่เบื้องหลังการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของประชาชน เล่นการเมืองนอกระบบซึ่งพรรคประชาชนในฐานะที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหลักในสภาผู้แทนราษฎรก็ควรจะยึดมั่นในระบอบรัฐสภาตามแนวทางการทำงานของพรรค ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ของการทำงานการเมืองรูปแบบใหม่และทำให้การชุมนุมของประชาชนเป็นการชุมนุมโดยอิสระ ปราศจากการหนุนหลังของพรรคการเมืองเพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นของภาคประชาชน ขอให้เป็นเรื่องของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องของพรรคประชาชนกับรัฐบาลนอกสภา
‘เชียงใหม่’คึกคักรับครม.‘อิ๊งค์’สัญจร
ขณะที่น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่(ครม.สัญจร)และการลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายระหว่างวันที่ 29พ.ย.-1ธ.ค.นี้ว่าจังหวัดเชียงใหม่ได้เตรียมมอบเสื้อให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้สวมใส่ การประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรวันที่ 29 พ.ย.นี้โดยเป็นเสื้อผ้าฝ้ายทอมือ ย้อมสีธรรมชาติด้วยครั่งเป็นสีชมพูบานเย็น สีประจำมณฑลพายัพ ปักลายพระราชทาน“ลายสิริวชิราภรณ์” และ“ลายดอกรักราชกัญญา”เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีและมีลายหงส์ในโคมซึ่งเป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทอและย้อมโดยผู้ผลิต ผู้ประกอบการOTOP5ดาวกลุ่มอาชีพผ้าฝ้ายอำพันอ.ฮอด จ.เชียงใหม่
จัดภายใต้ธีม‘ฟื้นคืนสู่ความเฟื่องฟู’
จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดประชุมครม.สัญจรภายใต้ธีม“From Flood to Flourish(ฟื้นคืนสู่ความเฟื่องฟู)” ซึ่งเป็นภาพของแสงสว่างจากพระอาทิตย์ยามเช้า ทะเลหมอกณ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์เป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุ นภเมธีนีดล นภพลภูมิสิริ รายล้อมด้วยสีสันของดอกไม้เมืองหนาวและทิวทัศน์ความสวยงามของน้ำตกสิริภูมิ ที่อยู่บนยอดดอยอินทนนท์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย ผสมผสานกับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่ สื่อความหมายว่า การประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ครั้งนี้จะเป็นแสงสว่างที่จะช่วยสร้างความเฟื่องฟูให้กับชาวเชียงใหม่อีกครั้งหลังผ่านพ้นกับอุทกภัยครั้งใหญ่และพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวยังมีการประดับตกแต่งด้วยผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่
ขณะที่เมนูอาหารที่เตรียมจัดเลี้ยง(ครม.)ประกอบด้วยข้าวซอย น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู แกงฮังเล ขนมจีนน้ำเงี้ยว ข้าวต้มหมู ข้าวเงี้ยว ถั่วแปบ ของหวานเป็นทับทิมกรอบไอศกรีมอะโวคาโด้และของว่าง มีสาคูไส้หมู สโคนข้าวก่ำ ข้าวเกรียบปากหม้อ ขนมครกและสเพียร์บนแผ่นข้าวกรอบจากร้านอาหารขึ้นชื่อในท้องถิ่น
นายก‘อิ๊งค์’ต้อนรับนายกฯสิงคโปร์
วันเดียวกัน เวลา 10.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดทำเนียบรัฐบาลให้การต้อนรับ นายลอเรนซ์หว่อง (H.E. Mr. Lawrence Wong) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล นับเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2567 โดยผู้นำไทย และสิงคโปร์ได้ร่วมตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ ณ บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พร้อมกัน
จากนั้นผู้นำทั้ง 2 ประเทศพร้อมคู่สมรสได้ถ่ายภาพร่วมกัน ณ บันไดโถงกลาง ตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่คณะรัฐมนตรี จะแนะนำตนเองต่อนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐสิงคโปร์ และภริยา จากนั้นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ และภริยา ได้ลงนามในสมุดเยี่ยม และชมของที่ระลึก ณ ห้องสีงาช้างในโอกาสนี้ผู้นำไทย และสิงคโปร์ ได้มีการหารือแบบเต็มคณะ รวมไปถึงการร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของไทยกับสิงคโปร์
ปี 68ฉลองความสัมพันธ์ครบ60ปี
ขณะที่นายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าในปีหน้า พ.ศ.2568ไทยกับสิงคโปร์จะฉลองครบรอบ60 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ผู้นำทั้งสองจะร่วมหารือทวิภาคี เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสิงคโปร์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนการเยือน การเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคง และด้านเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระดับประชาชน และความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงผลักดันความร่วมมือในสาขาใหม่ อาทิ ความมั่นคงทางไซเบอร์ เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี