นายกฯยันไม่ปรับขึ้นVAT15%
รัฐบาลถอยกรด
ผวาเสียงค้าน-ชี้รอก.คลังศึกษา
ปชน.เหลืออดฉะรบ.ยับ
สิ้นคิดหมดทางหารายได้
นายกฯเรียกถกทีมที่ปรึกษาบ้านพิษณุโลก ยันไม่ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% หลังเจอเสียงค้านอื้ออึงจากทุกภาคส่วน ย้ำนโยบายหลักของรัฐบาลคือลดค่าใช้จ่าย ยกระดับความเป็นอยู่ของปชช.ให้ดีขึ้น ชี้การปรับโครงสร้างภาษีต้องใช้เวลาศึกษา ด้าน “ภูมิธรรม”โต้รบ.ถังแตกถึงมีแนวคิดขึ้น VAT 15% ด้านพรรคประชาชนเหลืออดตะเพิดรบ. ไปศึกษาให้รอบคอบก่อนดันขึ้นแวต กระทบภาระค่าใช้จ่ายชาวบ้าน ข้องใจบริหารงานแบบนี้
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ธันวาคม ที่บ้านพิษณุโลก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกประชุมคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยมีนายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษา นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานที่ปรึกษา นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษา นายธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษา นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ปรึกษา นอกจากนี้ ยังมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย
นายกฯถกกุนซือยันไม่ปรับVAT15%
หลังประชุม น.ส.แพทองธารโพสต์เฟซบุ๊กและทวิตข้อความผ่าน X ถึงการหารือร่วมกับที่ปรึกษานโยบายฯ หลังมีกระแสข่าวประชาชนคัดค้านการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 15% ว่า จากข้อกังวลใจของพี่น้องประชาชน ต่อเรื่อง VAT 15% วันนี้ได้พูดคุยหารือในประเด็นดังกล่าว กับรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกับคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี เพื่อความชัดเจน ตนขอสรุป เพื่อชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน ดังนี้
1.ไม่มีการปรับ VAT เป็น 15% 2.กระทรวงการคลัง กำลังศึกษาการปรับโครงสร้างภาษี ซึ่งต้องมองทั้งระบบให้ครบทุกมิติและเป็นธรรม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 3.การปรับโครงสร้างภาษีของประเทศอื่น ใช้เวลาศึกษาและปรับตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางประเทศใช้เวลาปรับเปลี่ยนกว่า 10 ปี 4.นโยบายหลักของรัฐบาลคือ ลดรายจ่ายของประชาชน ลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพภาครัฐ ควบคู่ไปกับหาโอกาสจากการสร้างรายได้ใหม่ให้ประชาชน ทั้งหมดนี้เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย ดังนั้น ขอให้ประชาชนมั่นใจการทำงานของรัฐบาล เราดำเนินการด้วยความรัดกุม รับฟังทุกภาคส่วน และยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย
“ภูมิธรรม”ปัดรัฐบาล‘ถังแตก’
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกล่าวก่อนประชุมถึงแนวคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของรัฐบาลจากปัจจุบัน 7% เป็น 15%ว่า รัฐบาลพยายามดูอยู่ นายกฯก็เป็นห่วง แต่รอให้สรุปชัดเจนก่อน ยังอยู่ในกระบวนการกำลังจะทำและคำนึงถึงหลายอย่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเราก็ประคองมาระยะหนึ่งแล้ว ต้องดูว่า เป็นไปต่อได้ในระดับไหน อย่างไร แค่ไหน
ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุผลที่รัฐบาลจะขึ้นภาษีเพราะรัฐบาลถังแตกหรือไม่ เนื่องจากเอาเงินไปจ่ายกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวกับถังแตกหรือไม่ถังแตก แต่กระบวนการเป็นไปตามที่ควร เพราะกระบวนการจัดการภาษีเป็นการทำให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเป็นหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับทุกหน่วย ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังที่จะดูส่วนต่างๆ สำคัญอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนไม่เดือดร้อนมากที่สุด เพียงแต่ให้กระบวนการภาษีเป็นธรรมมากขึ้น
ส่วนปัจจัยหลักถ้าจะปรับขึ้นภาษีนั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องถามรมว.คลังให้ชี้แจง เพราะมีข้อมูลทั้งระบบอยู่แล้ว ขณะนี้ยังไม่มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่รู้รายละเอียด เชื่อว่าถ้านายพิชัยพร้อมและตัดสินใจเมื่อไร หรือมีข้อสรุปที่ชัดเจน คงออกมาชี้แจง ยืนยันว่า นายกฯและรัฐบาลคำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก
ปชน.ตะเพิดรบ.ศึกษาให้รอบคอบ
มีความเห็นจากนายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.)ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพาณิชย์ และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์กรณีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังระบุถึงนโยบายขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มว่า ตนเหลืออด การที่นายพิชัย พูดในที่สาธารณะถึงแนวคิดเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 15% เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่มีคนรายได้ปานกลางถึงผู้มีรายต่ำ เป็นอย่างมากถึง 100% ซึ่งเศรษฐกิจตอนนี้มีความเฉื่อย รัฐบาลควรคิดถึงเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ลดรายจ่ายของประชาชน แต่กลับมาคิดเพิ่มรายจ่ายของประชาชน
“รมว.คลังพูดในงานสัมมนาว่าคิดเรื่องนี้ทั้งคืน ไม่รู้อธิบายกับประชาชนอย่างไร ถ้าอธิบายไม่เข้าใจ ท่านไม่รู้จะอยู่รอดหรือไม่ แต่ผมคิดว่าคนไทยฟังเรื่องนี้แล้ว เขาไม่คิดว่าท่านจะอยู่รอดหรือไม่ คนไทยสนใจตัวเองว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ถ้ารัฐบาลขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม รับรองกระทบประชาชนแน่ๆ ผมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล รมว.คลังควรหยุดพูดเรื่องนี้ และไปศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบครอบ ถ้าจะปฎิรูปภาษีก็ปฏิรูปทั้งระบบ ทำความเข้าใจกับประชาชนว่าเพราะอะไร เพราะต้องการหารายได้เพิ่มหรือไม่ เพราะรัฐบาลสิ้นคิดในการหารายได้หรือไม่ หากขึ้นภาษีมาแล้วที่จะวนกลับมาใช้ประโยชน์กับประชาชนอย่างไรบ้าง ไม่ใช่แถลงไป 2-3 เดือนแล้วก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เหมือนโครงการที่ผ่านมา” นายจุลพงศ์ กล่าว และตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องภาษีนิติบุคคล ตนว่าแปลกหรือไม่ รัฐบาลชี้แจงว่าขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มประชาชน แต่กลับลดภาษีนิติบุคคลให้ธุรกิจ เพื่อสร้างความเป็นธรรม ตนสงสัยว่าสร้างความเป็นธรรมตรงไหน
ฉะรมว.คลัง พูดไม่คิดกระทบปชช.
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรที่มีการเปรียบเทียบกับสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1% แต่โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นายจุลพงศ์ กล่าวว่า จาก 7 เป็น 15% ทุกคนมีผลกระทบ จะขึ้นจริงไม่จริงไม่ทราบแต่การพูดเรื่องภาษีขึ้น เงินเดือนขึ้นมาล่วงหน้า ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสินค้าและบริการขึ้นราคาก็ขึ้นล่วงหน้ารอแล้ว ส่วนที่นายกฯประกาศจะไม่มีการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั้น เป็นการแสดงตัวอย่างหนึ่งว่า ยังไม่มีการศึกษาอะไรเลย และระดับรมว.คลังนึกจะพูดอะไรก็พูดออกมา ลองนึกดูถ้ารัฐมนตรีแต่ละคนพูดไม่เหมือนกัน ไม่น่าใช่วิธีบริหารเศรษฐกิจของประเทศที่ดี
‘นฤมล’ค้านเสียงแข็งกระทบต้นทุน
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้ความเห็นถึงกรณีรัฐบาลมีแนวคิดที่จะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 10-15% ว่า เรื่องดังกล่าวกระทรวงเกษตรฯไม่เห็นด้วย เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเป็นการเพิ่มภาระให้เกษตรกรมากขึ้น เรื่องค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น จะกระทบผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบด้านปัจจัยการผลิต ส่วนการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่เหมาะสม ควรปรับเป็นเท่าใดคงต้องศึกษาให้รอบคอบก่อน ถ้ายังปรับขึ้นเป็นร้อยละ 15 กระทรวงเกษตรฯไม่เห็นด้วยแน่นอน
“เทพไท”ฟันธงขึ้นภาษี15%แนวคิดแม้ว
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส. นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความเห็นประเด็นการขึ้นภาษี VAT แนวคิดทักษิณว่า จากที่นายกฯให้สัมภาษณ์กรณีกระทรวงการคลังมีแนวคิดจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10-15% เดี๋ยวรมว.คลังจะเป็นคนให้รายละเอียด และเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนส่วนใหญ่กังวลว่า หากขึ้นภาษีดังกล่าวทำให้ประชาชนเดือดร้อน นายกรัฐมนตรีก็กล่าวสั้นๆว่า เข้าใจๆ ฟังแล้วเห็นได้ว่านายกฯไม่มีความรู้พื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์เลย จึงไม่กล้าแสดงความเห็น กลัวพูดไปแล้วผิดพลาด กลัวเป็นประเด็นให้ถูกวิจารณ์ได้ จึงโยนภาระความรับผิดชอบ และการอธิบายรายละเอียดให้กระทรวงอื่นทั้งหมด แต่ในฐานะนายกฯผู้รับผิดชอบการบริหารภาพรวมของรัฐบาลทั้งหมด กลับไม่แสดงความเห็นอะไรเลย ทั้งที่น่าจะพูดหลักการเรื่องนั้นๆได้
“แนวคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มครั้งนี้ นายพิชัยคงไม่ได้คุยกับนางสาวแพทองธารมาก่อน เพราะถ้าคุยกันนายกฯคงตอบคำถามได้บ้าง ในประเด็นหลัก จึงเป็นไปได้ว่า แนวคิดขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% น่าจะมาจากความคิดของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยพูดเรื่องแจกเงินให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป บนเวทีหาเสียงนายกอบจ. อุดรธานี จากนั้นนายพิชัยในฐานะรมว.คลังก็ขานรับทันที ดังนั้น เรื่องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น15% ก็น่าจะเป็นเรื่องในทำนองเดียวกัน”นายเทพไทตั้งข้อสังเกต
จี้ถามขึ้นVAT15%ลดเหลื่อมล้ำตรงไหน
และว่า ข้ออ้างขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 15% ของกระทรวงการคลัง เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ ก็ขอให้นายกฯนำปากกามาวงได้เลยว่า ลดความเหลื่อมล้ำตรงไหน การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ประชาชนทุกคนไม่ว่าจนหรือรวยต้องรับภาระ ที่จับจ่ายใช้สอย ก็ต้องรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มเท่ากัน ถ้าจะลดความเหลื่อมล้ำ ต้องยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้คนจน หรือคนมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผลักภาระให้คนชั้นกลางและคนรวยแบกรับภาระภาษีมูลค่าเพิ่มไป
ส่วนคำถามที่ผู้สื่อข่าวถามนางสาวแพทองธารว่า รัฐบาลชุดนี้จะนำนโยบายคนละครึ่งมาปรับใช้อีกหรือไม่ นางสาวแพทองธารไม่ตอบ บ่ายเบี่ยงโยนให้เป็นความเห็นของคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ และในทุกประเด็นคำถามนางสาวแพทองธาร ก็อ้ำอึ้งตอบไม่ได้ แสดงให้เห็นวุฒิภาวะและความสามารถของนายกฯร ถ้ายังบริหารประเทศลักษณะให้กระทรวงต่างๆเป็นอิสระ นายกฯไม่สามารถตอบคำถามภาพรวมของแต่ละนโยบายได้ การบริหารประเทศคงเป็นไปลักษณะให้แต่ละกระทรวงทำงานกันไป ให้ข้าราชการประจำขับเคลื่อนนโยบาย โดยนายกฯลอยตัว ไม่ต้องตอบคำถาม เพราะตอบอะไรไม่ได้เลย
ปธ.กมธ.แรงงานค้านชี้กระทบแรงงาน
นายเซีย จำปาทอง ส.ส.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การแรงงาน กล่าวถึงแนวคิดการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มว่า มีผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน ตนคิดว่าเป็นการ ‘ผลักภาระ’ ให้ประชาชน ให้แรงงานที่มีรายได้น้อย ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ที่ผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศจะได้จากการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเหล่านี้ นอกจากรัฐจะได้เงินมากขึ้นจากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว การเก็บเงินเหล่านี้ไม่ได้ถูกกระจายมาสู่ภาคประชาชนเท่าไร โดยเฉพาะในส่วนแรงงาน ซึ่งที่ผ่านมารัฐให้ความสำคัญกับภาคแรงงานน้อยมาก
“ประเด็นที่สำคัญคือ รัฐเตรียมการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่ได้มีการดำเนินการที่จะทำอย่างไรให้ภาคแรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้น การปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ ในบางสาขาอาชีพและบางกิจการตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะปรับขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ก็ยังไม่สามารถทำได้ และก็ยังไม่ทราบได้ว่าจะปรับขึ้นได้ทันวันที่ 1 มกราคม 2568 หรือไม่” นายเซีย กล่าว และว่า ส่วนผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานอย่างหนักหนาสาหัสคือ การปิดกิจการ เลิกจ้าง หรือลอยแพพนักงาน ประกอบกับการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ ทำให้ชนชั้นล่าง แรงงานที่มีรายได้น้อยอยู่แล้วไม่พอใช้ ไปซื้อของในราคา 100 บาท ต้องจ่ายภาษีเพิ่มอีก 15 บาท มันหนักหนาสำหรับลูกจ้างที่มีรายได้น้อย และยืนยันว่า รัฐบาลควรคิดทบทวนมากกว่านี้
“หมอเหวง”ย้อนถามขึ้นแวตทำเพื่อใคร
มีความเห็นจากนพ.เหวง โตจิราการ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตแกนนำคนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าวว่า การเพิ่มแวตเป็น15% ลดภาษีนิติบุคคลเป็น15% ลดภาษีเงินได้เป็น15% ทำไปเพื่อใคร ลดความเหลื่อมล้ำอย่างนั้นหรือ กระตุ้นการลงทุนอย่างนั้นหรือ ความจริงคือ เป็นประโยชน์กับคนมีเงิน คนรวยและพวกมหารวย หรือ“โค-ตะระ-รวย”เท่านั้น แต่พวกคนไม่มีเงิน หรือมีเงินน้อยหรือจน-ยากจน มีแต่ตายกับตาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี