‘แก้วสรร-จตุพร’นำทัพลุยคดี‘ป่วยทิพย์’
จี้ปปช.เร่งสางชั้น14
เพิ่มชื่อสอบ‘ทวี-ปลัดยธ.’เอื้อแม้ว
ยื่นศาลออกหมายจับทักษิณกลับคุก
ศาลรธน.ตีตกพยานหลักฐานอ่อน
ปมร้อง‘รมว.ยธ./กรมคุก’อุ้มเทวดา
“เทวดาทักษิณ”ป่วยทิพย์ชั้น 14 ร้อนฉ่า! “แก้วสรร อติโพธิ” ลุยแล้ว นำทัพมวลชน กปปส.-คปท.บุก ป.ป.ช.ยื่น 4 ข้อเสนอ เร่งรัดคดีป่วยทิพย์ชั้น 14ให้เพิ่มชื่อ“ทวี-ปลัดยธ.”มีเอี่ยวอุ้มทักษิณ เผยขังนอกคุกต้องได้รับอนุญาตจากศาลพบหากมีการช่วยเหลือสามารถออกหมายขังใหม่จับเข้าคุกได้อีก ศาลฎีกานักการเมืองสามารถสั่งจับ“ทักษิณ” กลับขังคุกได้ทันที ด้าน‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ตีตกคำร้อง‘รมว.ยุติธรรม –ราชทัณฑ์’เอื้อประโยชน์เทวดารักษาตัวชั้น 14 เหตุไม่มีข้อเท็จจริง หลักฐานยังห่างไกล เป็นเพียงกล่าวอ้าง
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำนปช. พร้อมเครือข่ายอดีตแกนนำพันธมิตร และกปปส.ร่วมนับ 100 คน มาที่ ป.ป.ช.เพื่อยื่นหนังสือให้เร่งรัดพิจารณาข้อกล่าวหานายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวผู้ต้องขังนายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ
ยื่น4ข้อเสนอพิจารณาด่วน
โดยนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท.อ่าน 4 ข้อเสนอ เพื่อประกอบการพิจารณา คือ 1.คดีส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ พบว่ามีพยานเป็นบุคคลชัดเจนได้เข้าไปเยี่ยมและพบว่าไม่มีอาการเจ็บป่วย อีกทั้งยังไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมหรือประจำอยู่ห้องพิเศษดังกล่าว และยังไม่ปรากฏหลักฐานการตรวจ หรือ หลักฐานความเห็นของแพทย์ที่อนุญาตให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพิธีการทั้งหมดขัดต่อขั้นตอนกฎกระทรวงยุติธรรมทั้งสิ้น และไม่ว่า ป.ป.ช.จะขอความร่วมมือไปเท่าไร จึงเป็นหลักฐานที่เพียงพอว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเข้าทุจริตช่วยเหลือกันโดยมิชอบ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง ป.ป.ช.จึงต้องเร่งไต่สวน
2.คดีให้อยู่บ้านพักโทษ โดยมติการให้พักโทษ อ้างว่านักโทษมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งการนั่ง เดิน ขึ้นบันได อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหาร จึงจำเป็นต้องพักโทษให้ แต่ปรากฏว่าหลังการพักโทษ นักโทษกลับแข็งแรงขึ้นมาโดยพลัน เดินทางไปทั่วประเทศ ขึ้นปราศรัย ร่วมงานเลี้ยง ใช้ชีวิตปกติได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจเชื่อได้ว่าการพักโทษมาจากการประเมินสภาพร่างกายโดยสุจริตและถูกต้อง ดังนั้น จึงอยากให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าไปเป็นอีกหนึ่งคดีในชั้นการพิจารณาของ ป.ป.ช.ด้วย
บังคับใช้กม.ให้เคร่งครัด
3.เรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายไทยพยายาม ปราบปรามคดีทุจริตคอรัปชั่นเป็นพิเศษ แต่ปรากฏว่า หลังดำเนินคดีไปแล้วไม่มีกรอบเกณฑ์การตรวจสอบที่เคร่ง ปล่อยให้กระบวนการทุจริตตัดทอนโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา กำเริบเสิบสาน เป็นผลให้ความยุติธรรมเสื่อมสลายจนประชาชนสิ้นศรัทธา
4.เข้าข่ายเป็นกระบวนการทุจริตระดับชาติ ใช้เงินสร้างอำนาจ แล้วใช้อำนาจมาสร้างเงิน สร้างพวก สร้างสื่อ สร้างผลงานทุจริตไว้ 2 ทศวรรษ จนเสียหายไปกว่าแสนล้าน และหัวหน้ากระบวนการก็ยังยอมรับคำขออภัยโทษว่าได้ทำผิดไปแล้วจริงๆ แต่มาบัดนี้แทนที่จะยอมรับโทษ กลับหลีกเลี่ยงแสดงตนเข้าครอบงำพรรค ผลักดันนโยบายทุจริต สร้างประชานิยมไม่หยุดยั้ง และล่าสุดยังประกาศจะพาน้องสาวที่เป็นจำเลยหนีคดีทุจริตรับจำนำข้าวกลับมาด้วย ถือเป็นพฤติการณ์ทุจริตฉ้อฉลรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมหยุดบทบาทการเมือง และพาประเทศไปในทางต่ำ
เพิ่มชื่อสอบ”ทวี-ปลัดยธ.”
นายพิชิต ย้ำว่านี่คือ หายนะที่เห็นได้ชัด และอนาคตที่มืดมิดเช่นนี้ จึงฝาก ป.ป.ช. ตระหนักและทุ่มเท รับผิดชอบ กู้อนาคตบ้านเมืองอย่างเต็มสติกำลัง
ขณะเดียวกัน ยังจะมีการยื่นให้สอบบุคคลเพิ่มเติม ทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เพราะมองว่าอยู่ในกระบวนการที่ช่วยนายทักษิณด้วย
“แก้วสรร”ชี้”แม้ว”ต้องกลับเข้าคุก
ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า จากที่เคยเป็นนักวิชาการด้านกฎหมาย และตรวจยึดทรัพย์นายทักษิณมาแล้ว มองได้ว่างานนี้หลักฐานและข้อกฎหมายชัดเจนว่ามีมูลความผิด และตนมั่นใจในการทำงานของป.ป.ช. และคิดว่ากฎหมายกำลังเดินไปตามทางที่ถูกที่ควร จึงขอให้เดินหน้าเต็มที่และคิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน พร้อมขอให้แพทย์ที่รักษานายทักษิณออกมาพูด โดยขอให้เอาตัวการจริงๆมาลงโทษ หลายคนถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายทักษิณ คำตอบในทางกฎหมายถ้าหมายศาลให้ขัง และหากไม่มีการขังตามหมายต้องออกหมายใหม่กลับไปเข้าคุก เป็นอำนาจศาลฎีกา แผนกคดีอาญาทางการเมือง ที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กำลังจะไปร้อง ซึ่งศาลสามารถเรียกสำนวนจากป.ป.ช.ไปดูและวินิจฉัยได้ จุดสำคัญศาลสั่งกลับเข้าคุกได้ถ้าหลักฐานชัดเจน โดยไม่ต้องรอคำวินิจฉัยของป.ป.ช. เพราะคดีนี้เป็นคดีเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายทักษิณ เตรียมตัวได้ พร้อมกับกล่าวย้ำว่าหากป.ป.ช.ทำเรื่องนี้ให้กระจ่างจะยอมกราบเลย
ไม่ได้เรียกร้องให้ปฎิวัติ
ส่วน นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวยืนยันว่า ที่มาวันนี้ไม่ได้ต้องการกวักมือให้ใครยึดอำนาจหรือตีงูให้กากิน หรืออยากได้ตำแหน่งแห่งหนอะไร เพราะทุกคนก็แก่กันหมดแล้ว แต่เป็นสำนึกในการเป็นพลเมืองที่ไม่ควรสยบยอมให้ใครคนใดคนหนึ่งกดข่มกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรให้ใครลอยตัวอยู่เหนือโทษทัณฑ์
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำ นปช. ระบุว่ามาให้กำลังใจ ป.ป.ช.เพราะมีความไม่สบายใจในอนาคต และท่านทราบดีเพราะคดีของนายทักษิณ ป.ป.ช.เป็นผู้ชี้มูลเอง วันนี้เรามาด้วยความหวังในการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.อย่างตรงไปตรงมา ในจำนวนผู้ที่ถูกตั้งองค์คณะไต่สวน 12 คนนี้ ใครไม่ผิดคือไม่ผิด ไม่ได้ต้องการมาทำให้ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ แต่ต้องการมาให้ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว ยอมรับว่าเรื่องการไต่สวนวันนี้ยังไม่ไว้ใจจนกว่าท่านจะได้พิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัยแล้ว และได้ทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ถึงวันนั้นตนและคณะจะมาขอบคุณอีกครั้ง
นายจตุพร ยังระบุอีกว่า ขณะนี้เป็นที่ประจักษ์นายทักษิณ ไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว เราต้องการเห็นน้ำยาของ ป.ป.ช.ไม่ต้องการเห็นขนมจีน ซึ่งเวชระเบียน ป.ป.ช.ไม่มีปัญหาเรียกมาใช่หรือไม่ กรรมการ ป.ป.ช. ชุดใหญ่ มีการขอไปยัง รพ.กรมราชทัณฑ์และรพ.ตำรวจ ไม่ได้ล้วงความลับผู้ป่วย ซึ่งการจะอ้างเป็นความลับ ป.ป.ช.สามารถขอเรื่องการทำหน้าที่ว่าได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157หรือไม่ หากโรงพยาบาลตำรวจไม่ให้เวชระเบียน ทางป.ป.ช.ต้องดำเนินคดีตั้งแต่ ผบ.ตร. ,รพ.ตำรวจ แม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาของ ผบ.ตร. คือ นายกรัฐมนตรี
เลขาปปช.ยันรักษากฎหมาย
ขณะที่นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการป.ป.ช ได้ตั้งคณะกรรมการไต่สวนบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้แล้ว และทางคณะกรรมการปปช.มีมติชัดเจน ว่าหากพบ บุคคลอื่นที่มีส่วนร่วมกระทำความผิดก็ให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวล เราจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามความคาดหวังของประชาชน และตามความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ และขอยืนยันว่าทางป.ป.ช. เราทำงานตามพยานหลักฐานเป็นหลัก บางเรื่องบางอย่างอาจไม่ตรงตามใจของประชาชน แต่การพิจารณาของเราต้องดูพยานหลักฐาน ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไต่สวนจะรวบรวมมาพิจารณาเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และพร้อมเป็นเสาหลัก ในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองต่อไป
ขังนอกคุกต้องขออนุญาตศาล
วันเดียวกัน นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า...ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.หลายสมัย พรรคประชาธิปัตย์ พบหลักฐานสำคัญเป็นกฎกระทรวงยุติธรรม ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายราชทัณฑ์ เมื่อครั้ง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุชัดเจนว่า การนำผู้ต้องขังตามหมายศาล ออกไปนอกเรือนจำนั้น จะต้องขออนุญาตจากศาลก่อน
การนำนักโทษออกจากเรือนจำโดยไม่ขออนุญาตจากศาลเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหลายสถาน คือ เป็นการฝ่าฝืน หมายขังของศาล เป็นการผิดกฎหมาย ทั้งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎกระทรวงยุติธรรม และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 151 ซึ่งมีโทษจำคุก ถึง 20 ปี เกิดผลทางกฎหมายว่า นักโทษ ที่ออกไปจากเรือนจำโดยไม่ขออนุญาตจากศาลนั้นไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา จึงไม่สามารถได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรมปี 2567 และไม่มีสิทธิ์ได้รับพักโทษ ตามกฎหมายราชทัณฑ์ด้วย
ยื่นศาลฎีกาออกหมายขังแม้ว
ดังนั้น นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จึงเตรียมที่จะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้ศาลทำการไต่สวนและออกหมายจับนักโทษ มาขังไว้ตามหมายของศาลต่อไป
ศาลรธน.ชี้คดีร้องเอื้อแม้ว
วันเดียวกัน ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคำร้องของนายคงเดชา ชัยรัตน์ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ถูกร้องที่ 1 มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลกรมราชทัณฑ์และรับทราบการบังคับใช้กฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้ถูกร้องที่ 2 และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯผู้ถูกร้องที่ 3 มีอำนาจให้ความเห็นชอบและอนุญาตบังคับใช้กฎกระทรวงดังกล่าวส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร ไปรักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจทั้งที่ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามีอาการป่วยรุนแรง
อีกทั้งไม่ได้ดูแลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด กระทำการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทักษิณ ให้ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ทำให้บุคคลไม่เสมอกันในกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตยฝ่ายตุลาการ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 49 วรรค 1
ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 โดยขอให้อัยการสูงสุดร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณชินวัตรเลิกการกระทำที่เป็นการครอบงำหรือจูงใจ ให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้วินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 เลิกการกระทำดังกล่าว
หลักฐานห่างไกลตีตกเอื้อแม้ว
ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำพร้อมเป็นเพียงการกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอและยังห่างไกลเกินกว่าเหตุที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 กระทำการอันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพผู้พิการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
“ดิเรกฤทธิ์”จับตาคดีป่วยทิพย์
ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย และอดีตสมาชิกวุฒิสภา (อดีตสว.) โพสต์เฟซบุ๊ก “ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย” ระบุว่า...“จะเกิดเรื่องใหญ่ต่อรัฐบาลและการเมืองไทยแล้วครับ”หากเป็นไปตามข้อกล่าวหา “ป่วยทิพย์”
โดยมีเจ้าหน้าที่ทำทุจริตไม่บังคับให้ต้องโทษตามสถานที่และเวลาที่ศาลมีคำสั่ง ผู้รับผิดชอบตามลำดับถึงนักการเมือง รวมทั้งนักโทษที่ร่วมทำผิดต้องถูกลงโทษทั้งทางอาญาและทางการเมือง ส่งผลให้รัฐบาลอาจสิ้นสุดและพรรคแกนนำอาจถูกยุบ เพราะหลักฐานสนับสนุนคำร้องคุณธีรยุทธ์ต่อศาลรธน.จะเพียงพอชัดเจนให้รับเรื่องและวินิจฉัยได้ ในทางตรงข้าม หากพิสูจน์แล้วไม่มีใครทุจริต รัฐบาลก็สง่างามเข้มแข็ง
“อนาคตประชาธิปไตยสุจริตขึ้นกับการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.และ ศาลรธน.ที่ประชาชนเชื่อถือศรัทธาแล้วครับ”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี