ดูเหมือนว่า ‘พรรคเพื่อไทย’ จะพึงพอใจกับ ‘อุดรฯ โมเดล’ เสียแล้ว ซึ่งนั่นคือการให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยหาเสียงให้กับตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ที่จะลงสู้ศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ไล่ตั้งแต่ที่ จ.อุดรธานี ตามด้วย จ.อุบลราชธานี และล่าสุดคือที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ‘FC ลุงโทนี่’ ยังเนืองแน่น จากภาพของมวลชนคนเสื้อแดงที่แห่ไปต้อนรับและรอฟังปราศรัยในทุกพื้นที่ที่นายทักษิณไปเยือน
อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีความสำคัญในฐานะ ‘บ้านเกิด’ ของนายทักษิณ และเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพรรคเพื่อไทยและตระกูลชินวัตร ช่วงวันที่ 23-24 ธ.ค. 2567 เพื่อช่วย ‘สว.ก๊อง’ พิชัย เลิศพงศ์อดิศร ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยสู้ศึกเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงใหม่ มีการตั้งข้อสังเกตว่า นายทักษิณค่อนข้าง ‘แรง’ เป็นพิเศษ มีการใช้คำพูดค่อนข้างดุเดือดทั้งในเชิงนโยบายและเชิงการเมือง ดังนี้
1.มอง ‘ค่ายสีส้ม’ เป็นคู่แข่งอย่างชัดเจน : ในการเลือกตั้งนายก อบจ. เชียงใหม่ ครั้งนี้ ค่ายสีส้มในนามพรรคประชาชนซึ่งส่ง ‘พันธ์อาจ ชัยรัตน์’ ลงชิงชัย ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรคเพื่อไทย โดยย้อนไปถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อปี 2566 ค่ายสีส้ม ซึ่งขณะนั้นคือพรรคก้าวไกล กวาดที่นั่ง สส. เชียงใหม่ไปได้ 7 จากทั้งหมด 10 ที่นั่ง ขณะที่ ‘ค่ายสีแดง’ อย่างพรรคเพื่อไทย ได้มาเพียง 2 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับการเลือกตั้ง 2 ครั้งก่อนหน้านั้น คือปี 2554 และ 2562 ที่ ‘แดงทั้งจังหวัด’ พรรคเพื่อไทยครองที่นั่ง สส. เชียงใหม่ ในทุกเขต
ซึ่งในการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ นายทักษิณ ได้กล่าวถึงพรรคประชาชน หรือค่ายสีส้มไว้ดังนี้
- วันที่ 23 ธ.ค. 2567 : เวทีปราศรัย ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่
‘พรรคประชาชนเป็นพรรคที่พูดเก่ง คนรุ่นใหม่เขาพูดเก่งทุกคน แต่ยะบ่จ่าง (ทำไม่ค่อย) และยังบ่ได้ยะ (ไม่ได้ทำ) วันนี้พรรคเพื่อไทยยังไงก็ได้ทำ เกิดมาเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีทุกคนก็นึกถึงแต่พรรคเพื่อไทย ที่ทำให้พี่น้องได้อยู่สุขสบาย’
‘พรรคประชาชนเขาเน้นเรื่องความเท่าเทียม ความเท่าเทียมในสายตาของพรรคประชาชนเป็นความเท่าเทียมทางสถานะ แต่ความเท่าเทียมของพรรค เพื่อไทยเป็นความเท่าเทียมทางโอกาส วันนี้ยากดีมีจนเกิดที่ไหนก็ควรมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา เข้าถึงอาชีพ หรือการเงินเหมือนกัน ดังนั้น จึงพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างเพื่อให้คนไทยเข้าถึงแหล่งเงินแหล่งทองได้’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 เวทีปราศรัย ณ ตลาดภูสุวรรณ ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง รวมถึงให้สัมภาษณ์สื่อเพิ่มเติม
‘พรรคประชาชนเป็นพรรคก้าวไกลเก่า เขาอู้ (พูด) เก่ง เดี๋ยวนี้เขาเริ่มด่าเก่ง ผมพยายามจะหัดด่า แต่ว่ายังบ่จ้างเตื่อ(ยังไม่ค่อยเก่ง)’
‘การเมืองเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยแข่งกับพรรคประชาชน เขาอุตส่าห์จ้างวันละ 300 บาท ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ต้องให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยเหนือกว่าพรรคประชาชนอย่างไร เพื่อเป็นการนำเสนอให้ประชาชนตัดสิน และเราต้องนำเสนอทั้ง 2 ด้าน ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องเอาให้ชัดเจน’
‘เชียงใหม่ไม่มีใครเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ประเทศไทยก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะเป็นของคนไทยทั้งหมด แต่คนเชียงใหม่เป็นผู้ที่เติบโตมาจากถิ่นฐานนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมาแยก เพราะพรรคประชาชนก็มีหลายคนที่เป็นคนเชียงใหม่ ดังนั้น ก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่เราต้องการยืนยันให้เห็นว่า เราคุ้นเคยกว่า เราเข้าใจปัญหากว่า และเราทำมาแล้วก็จะทำต่อไปให้ดีที่สุด’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย
‘เวลาพรรคประชาชนด่าผมดีใจมาก เพราะเขาคงคิดว่าเขาคงชนะ เขาเลยด่า มวยเพิ่งขึ้นยกหนึ่งก็ออกมาด่าแล้ว คนรุ่นใหม่ด่าเก่ง อันนี้มันกลางเก่ากลางใหม่ สู้คนเฒ่าอย่างผมก็ไม่ได้ คนเฒ่าใจเย็น แต่ถ้าแรงมาก็แรงไป’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่ลานหมู่บ้านสมหวัง ข้างปั๊ม ปตท.สันกำแพง
‘หากเลือกคนของพรรคเพื่อไทย จะมีรัฐบาลพรรคเพื่อไทยคอยสนับสนุน นอกจากนี้เลือกคนของพรรคเพื่อไทยเขาทำงานเร็ว และเคยทำมาแล้ว และจะมาทำต่อ ส่วนพรรคคู่แข่งไม่เคยทำงาน พูดเก่ง ด่าเก่ง แต่ทำไม่เป็น และไม่ได้ทำ ปัญหาคือโอกาสจะได้เป็นฝ่ายค้านไปตลอดหรือเปล่า มีสูง เพราะสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เคยมาทำงานทุกคนบอกว่าเอาเพื่อไทยมาทำงานดีกว่า เพราะตอนผมเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีวิกฤติเศรษฐกิจ ผมก็แก้ปัญหาทุกอย่างจนเรียบร้อย’
2.ส่งสัญญาณ ‘แรงมาแรงกลับ’ พร้อมเอาคืนแบบจัดหนัก-จัดเต็ม : อันที่จริงก่อนหน้านี้ ในการไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนาสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ รร.อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 13 ธ.ค. 2567 นายทักษิณก็ได้เปรยถึงบรรดา ‘นักร้อง’ ว่า..
‘ประเทศไทยแปลกอย่างหนึ่ง คนไม่มีอาชีพมีฐานะดีกว่าคนมีอาชีพ แสดงว่าคนไทยไม่อยากมีเรื่อง ใครหาเรื่องก็ปิดปาก ถ้าสรรพากรได้ยิน ป.ป.ง.ได้ยิน ก็ไปตรวจสอบ บางคนเมีย 3 ลูก 5 ไม่ได้ทำอาชีพอะไร บางคนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศทั้งที่อาชีพไม่มี บางคนถึงเวลาต้องไปหยอดเหรียญ ถ้าไม่หยอดก็รวน มันพอได้แล้ว ร้องไปร้องมาคนไม่เชื่อมั่นประเทศไทย ตอนที่ผมโดน นักลงทุนต่างประเทศมาพบถามว่าวิตกไหม ผมบอกว่าเราเปิดช่องให้ใครก็ไม่รู้มาร้อง บางคนไม่เกี่ยวข้องก็มาร้อง คนไทยเรามันเจ้าคิดเจ้าแค้น 17 ปีโดนเล่นงานมา ยกหูหาก็จบนะ จะจบก็ต้องจบ ไม่จบก็ไม่เป็นไร เตะกันคนละทีจะเป็นไร ไม่อยากเสียเวลายาว เสียมา 17 ปีพอแล้ว’
และในการปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ นายทักษิณได้ย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง
- วันที่ 23 ธ.ค. 2567 : เวทีปราศรัย ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่
‘คิดเล่นๆ สื่อไม่ต้องเอาไปเขียน ผมจะขออาสาสมัครทนายความ หากใครเก่งก็ขอให้มาช่วยฟ้อง แต่ก็รู้สึกว่ามันน่ารำคาญ บางคนเราก็รู้พื้นเพกันอยู่ มันมาเห่าอยู่นั่น เพราะบางคนไม่ได้ทำอะไรเลย บางคนผมเคยให้เงิน และพ่อเคยสอนผมว่าวันนี้เราเลี้ยงข้าวมันมื้อเดียว มันอิ่ม มันก็ขอบคุณเรา แต่มื้อหน้า มันหิว มันหาคนเลี้ยงข้าวใหม่ ถ้าเราไม่เลี้ยงมัน มันก็ขบเรา แล้วเราต้องเลี้ยงมันทุกวันเลยหรือ ลูกเราโตแล้วยังหากินเองได้ แต่บางคนแก่จนจะลงโลงแล้วยังไม่รู้จักหากินเอง เห็นแล้วรำคาญมาก’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 เวทีปราศรัย ณ ตลาดภูสุวรรณ ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง
‘เดี๋ยวนี้มีข่าวสองประเภทข่าวหนึ่งคือข่าวการเมือง ข่าวมีน้อยแต่ขยายจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต และขยันเอาพวกที่เป็นขาประจำตัวมาสัมภาษณ์ ให้มันออกมาด่าเพื่อที่จะได้เป็นข่าว และได้รับความสนใจ บังเอิญว่าอายุมากแล้วหูตึง เวลามันด่าไม่ค่อยได้ยิน แต่รู้ว่ามันด่าว่าอะไรจึงสวนไปบ้าง เมื่อแก่แล้วนิสัยก็เปลี่ยน ใจเย็นขึ้นแต่ว่าใครแรงมาก็แรงไป คิงเล่นฮา ฮาก็จะเล่นคิง และเดี๋ยวนี้ฮาไม่หมูนะ คิงอย่ามาเล่นกะฮานะ รำคาญโคตรพ่อโคตรแม่ อะไรนักหนา’
(ในประโยคท้าย ‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง ได้แปลจากภาษาเหนือเป็นภาษากลาง ถอดความได้ว่า ‘แรงมาก็แรงไป มึงเล่นกู กูก็จะเล่นมึงบ้าง อย่าคิดว่ากูหมูนะ มึงอย่ามาเล่นกับกูมาก กูรำคาญ โคตรพ่อโคตรแม่อะไรนักหนา’ พร้อมกับเดาใจนายทักษิณว่า ที่ต้องใช้คำแรงขนาดนี้เพราะอาจจะมีเรื่องกดดัน อึดอัดใจมากเป็นพิเศษ)
3.มีแต่ ‘ทักษิณ-เพื่อไทย’ เท่านั้นที่จะ ‘ปราบยาเสพติด-กวาดล้างอาชญากรรม-ทำเศรษฐกิจให้รุ่งเรือง’ ได้ : เป็นเรื่องที่นายทักษิณพูดชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มกลับมาสู่เวทีการเมืองไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี กับการไปปราศรัยช่วยตัวแทนของพรรคเพื่อไทย สู้สึกเลือกตั้งนายก อบจ. อุดรธานี เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2567 ดังนี้
‘ขอให้ฟังให้ดี พี่น้องช่วยไปบอกพ่อค้าขายยาด้วยว่าวันนี้ทักษิณกลับมาแล้ว ทักษิณเกลียดพ่อค้าขายยามาก ไม่อยากเห็นหน้าแ_งสักคน’
‘คิดฮอดพี่น้องคนอุดรฯ หลายเด้อ นี่ 18 ปี เพิ่งจะได้ปราศรัยครั้งนี้ครั้งแรก ปราศรัยที่อุดรฯ ที่บอกว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง จากไป 18 ปีนี้ รวยขึ้นหรือยัง แต่ก่อนตอนที่ผมอยู่ คนอุดรฯ มีควายหลายตัว แต่วันนี้เหลือกี่ตัว ขายหมดแล้ว เหลือแต่ชีวิต ควายไม่เหลือ บางคนไม่ทันตอนที่ผมเป็นนายกฯ ตอนผมเป็นนายกฯ 20 กว่าปี ตอนนี้ผมแก่แล้ว อายุ 75 ปีแล้ว’
เช่นเดียวกับการไปปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ นอกจากจะเปรียบเทียบกับพรรคประชาชนว่าพรรคเพื่อไทยเกิดมาเพื่อแก้เศรษฐกิจแล้ว นายทักษิณยังเน้นย้ำอีกหลายช่วงในการปราศรัย ดังนี้
- วันที่ 23 ธ.ค. 2567 : เวทีปราศรัย ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่
‘จากบ้านไปหลายปีคิดถึงมาก คิดถึงเชียงใหม่ช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี พี่น้องทำมาหากินอย่างสบาย มีเงิน แต่วันนี้ จ.เชียงใหม่ ไม่สวยเหมือนเดิม งบประมาณเข้าไม่ถึง ผมกลับมาแล้ว ขอให้เอาความงามกลับคืน จ.เชียงใหม่ เอาสตางค์กลับมาคืนใส่กระเป๋าพี่น้องชาวเชียงใหม่ ทำให้หนี้เบาบางลง เอายาเสพติดให้หายไป’
‘มีใครเคยเห็นนายกรัฐมนตรีพูดเรื่องบ้านเพื่อคนไทยหรือไม่ คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะคนที่เรียนจบมาบางคนก็ไม่มีงานทำ หรือมีงานทำก็ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน จึงอยากทำให้ความฝันของคนไทยเป็นจริง มีเงินแค่ 10,000-20,000 บาท ก็จะสามารถซื้อบ้านได้ ไม่ต้องไปเสียเงินดาวน์ ผ่อนแค่เดือนละประมาณ 4,000 บาท แต่มีบ้านอย่างดีอยู่ อยากให้คนไทยอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี อยู่อย่างไม่ลำบาก’
‘ผมกำลังปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีว่าเงินที่เราหาได้นั้น ไม่ได้อยู่ที่เชียงใหม่ พอหาได้ก็ไปซื้อของกิน เงินก็เข้ากรุงเทพฯ หมด ต่อไปตนจึงจะพยายามว่าทำให้เงินเหล่านี้มาอยู่เชียงใหม่มากขึ้นเพื่อที่เศรษฐกิจจะได้เดิน ไม่เช่นนั้นเราจะเป็นเหมือนปลาที่ไหว้น้ำในบ่อ ที่เขาดูดน้ำออกทุกวัน ปลาจะไหว้ไม่ค่อยได้ ก็จะตาย ฉะนั้น ต้องเอาน้ำเข้ามาเติมใหม่โดยด่วนจึงจะช่วยพี่น้องได้’
‘ตอนนี้ผมกำลังคิดพัฒนาคนและสินค้าในแต่ละจังหวัด และต้องมีตัวแทนทำ บางจังหวัดผู้ว่าฯ ก็เต็มใจทำ แต่บางจังหวัดผู้ว่าฯ เหลืออีก 1 ปีจะเกษียณ ก็รู้สึกว่าตนเองขี้เกียจทำ ดังนั้นจึงต้องมาเอานายก อบจ.ของเรา’
‘สินค้าที่เค้าขายใน TikTok ขายดิบขายดี แต่สินค้าบ้านเราไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ การพัฒนาคนก็เหมือนกัน จะเอาคนมาฝึกเพื่อให้เงินเดือนดีขึ้น และเชื่อว่าหลายคนที่นั่งอยู่ตรงนี้อาจจะมีหัวศิลปะ หัวคิดสร้างสรรค์ แต่ไม่มีโอกาส ต้องไปทำนาทำไร ซึ่งทำได้แต่ก็รู้สึกเสียดาย ซึ่งคนมีหัวต้องได้รับการพัฒนา ที่เราเรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ ตนจะใช้อบจ.และจังหวัดเป็นแกนกลาง และต้องทำให้คนแข็งแรง และเอาของที่ผลิตในพื้นที่ขายได้ผ่านโซเชียลของเขา’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 เวทีปราศรัย ณ ตลาดภูสุวรรณ ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง
‘ตอนผมอายุ 20 ปี พ่อสมัคร สส. ผมนั่งรถจิ๊บไปช่วยหาเสียง มาสันป่าตอง และเคยมาหาพระอาจารย์ทอง ที่มรณภาพไปแล้ว เคยมาออบหลวง แล้ววันนี้มาก็เห็นความเจริญ มีบ้าน มีร้านค้ามากขึ้น แต่เศรษฐกิจโดยรวมก็ยังไม่ค่อยดี ปีนี้เศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งใครอายุเกิน 60 ปี ไม่กี่วันเงินหมื่นบาทจะมาแล้ว หลังจากนี้ก็รอระบบให้เสร็จ คนหนุ่มคนสาวก็จะได้แล้ว เมื่อระบบใช้ได้ ก็จะใช้ได้ทุกคน เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลเคยพูดไว้’
‘อยากได้ยินอะไรก่อนระหว่างแก้หนี้กับยาเสพติด แสดงว่ายาเสพติดที่นี่หนัก แต่แสดงว่าคนสันป่าตองเป็นหนี้น้อย มีเงินหมดแล้ว ยาเสพติดเป็นปัญหาหนักสุดของประเทศ ตั้งแต่ปราบไปครั้งที่แล้ว หลังจากที่ผมถูกรัฐประหารทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม พ่อค้าทั้งหลายก็กลับไปสนับสนุนกระบวนการ แต่วันนี้อย่าแหลมมาก็แล้วกัน’
‘ตอนไปอีสาน ผมบอกคนอีสานว่า หากใครไปเจอพ่อค้ายา ให้บอกพ่อค้ายาว่าทักษิณกลับมาแล้ว ทักษิณเกลียดพ่อค้ายา ดังนั้นให้เลิกค้ายา ถ้าไม่เลิกค้ายาก็ตัวใครตัวมัน หากพี่น้องไปเจอก็ให้บอกมันด้วยว่าทักษิณกลับมาเป็น ส.ท.ร.แล้ว ดังนั้น อยากเสือก เรื่องแรกคือยาเสพติด จึงขอให้เลิกเสียไม่เช่นนั้นตัวใครตัวมัน เดี๋ยวต่อไปจะมีระบบแจ้งเตือนพ่อค้ายา ไปที่นายอำเภอกับผู้กำกับ และผู้ว่าฯ กับผู้การ หากทั้งหมดไม่ดำเนินการตามที่ได้รับแจ้ง ก็จูงมือกันย้ายไปหาที่อยู่ใหม่ ดังนั้น เรื่องนี้หากทำไม่ได้ก็ต้องมีใครสักคนที่ต้องไป ซึ่งเรื่องปราบยาเสพติดในปี 2568 จะเป็นไฮไลท์ใหญ่ของรัฐบาล ควบคู่ไปกับการแก้เรื่องหนี้สินของประชาชน’
‘ข่าวอีกประเภทหนึ่งคือข่าวอาชญากรรม ตอนผมไม่สบายนอนอยู่โรงพยาบาล เห็นข่าวเรื่องยาเสพติด กลุ้มใจที่สุด เพราะบางครั้งคนติดยาทุบตีพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย จึงถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทุกข์ของคนไทย ตอนผมปราบยาหลายคนเข้ามาขอบคุณตน และบอกว่าดีใจที่ได้ลูกคืน วันนี้กลับมาเที่ยวนี้ตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะคืนลูกหลานให้พี่น้องเพื่อที่เขากลับไปจะได้เป็นคนดีของสังคม’
‘ผมกำลังบอกกับทางพม่า และเขมรให้จัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า หากจัดการไม่ได้ ผมขออนุญาตส่งคนไปจัดการ นอกจากนี้ผมยังพูดกับกะเหรี่ยงเคเอ็นยู แล้วบอกไปทางพม่าแล้วว่าให้ช่วยจัดการหมู่ที่อยู่แถวเมียวดี หากไม่มีกำลัง เดี๋ยวผมจะเอากำลังไปจัดการ ภายในปีหน้าคอลเซ็นเตอร์จะต้องจัดการให้เกลี้ยง’
‘เศรษฐกิจใต้ดินจะเอาขึ้นมาบนดิน ต้องทำให้ถูกต้อง เพราะเศรษฐกิจใต้ดินมีขนาดใหญ่มาก เงินเยอะมาก แต่ไม่เสียภาษีสักบาท จึงทำให้เกิดช่องทางที่เป็นปัญหา จึงต้องนำเศรษฐกิจใต้ดินขึ้นมา’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย
‘ตกลงยาเสพติดกับหนี้อันไหนเยอะกว่ากัน ผมนั่งดูข่าวเห็นคนหลอนยาแล้วตนไม่สบายใจ ขอย้ำว่าปี 68 จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของหลายๆ อย่าง และจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่พร้อมกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับประชาชน ปีหน้าจะจัดการยาเสพติดทั้งผู้ค้าและผู้เสพ ดังนั้น หากขี้เขลา อยากใช้ชีวิตอยู่สบาย เลิกได้แล้วเพราะทักษิณเกลียดคนขี้ยา และปี 68 จะเป็นปีแห่งความหวัง ปีแห่งอนาคต และปีของการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมเงินเข้าสู่ระบบระบบเศรษฐกิจและเงินจะไหลเข้าสู่ระบบ’
4.นโยบายจะเป็นดังใจหวัง ‘เพื่อไทย’ ต้องครองเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จ : สำหรับเรื่องนี้ นายทักษิณ ส่งสัญญาณตั้งแต่การไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครนายก อบจ. อุบลราชธานี วันที่ 11 ธ.ค. 2567 ดังนี้...
‘จังหวัดอุบลราชธานีเราเคยได้ สส.มาเกือบทั้งหมด มีเพียงไม่กี่เขตจะพลาด อยากจะขอพี่น้องชาวอุบลฯ เลือกนายกานต์ มาเป็นนายก อบจ. และขั้นตอนต่อไปก็เอา สส.คืนให้กับพรรคเพื่อไทย และขั้นต่อไปพรรคเพื่อไทยจะได้เอานโยบายมาชุบชีวิตชาวอุบลฯ วันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลก็จริงอยู่ แต่มี สส.นิดเดียว มีโควตารัฐมนตรีน้อยไปหน่อย ทำให้ทำงานยากกว่าเดิม คราวหน้าผมมั่นใจว่าพี่น้องคงจะคืน สส.ให้พรรคเพื่อไทย เหมือนตอนที่เป็นพรรคไทยรักไทย เมื่อได้คืนมาแล้วเราจะช่วยกันทำงานให้กับพี่น้องได้อย่างเต็มที่’
และที่ จ.เชียงใหม่ นายทักษิณก็ได้เน้นย้ำอีกครั้ง
- วันที่ 23 ธ.ค. 2567 : เวทีปราศรัย ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่
‘เขตไหนที่เลือกพรรคก้าวไกล ที่ตอนนี้เป็นพรรคประชาชน ครั้งหน้าขอให้เลือกพรรคเพื่อไทย พท. คืน สส. ให้ผม เนื่องจากในสภาฯ หากพรรคไม่ใหญ่ ก็เกิดการต่อรองนั่นนี่ บ้านเมืองก็จะไปยาก ดังนั้น ถึงเวลาที่พี่น้องประชาชนต้องคิดว่าจะให้ใคร และเทไปเลย บ้านเมืองจึงจะไปได้เร็วเหมือนตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี เลือกได้ 300 กว่าเสียง ก็สามารถทำนั่นนี่ได้ไว และจะสามารถทำให้ประเทศไทยมีความสุข อย่าไปขี้ขอย(ขี้อิจฉา)’
‘การเมืองต้องเป็นปึกแผ่น ต้องเข้มแข็ง ดังนั้นคะแนนพี่น้องอย่าไปขี้เหนียว แบ่งนั้นนิดแบ่งนี่หน่อย ขอให้เอามาให้พรรคเพื่อไทย 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าทำไม่ได้ ให้มันรู้ไป ผมกลับมาแล้วยังไงก็เป็นรัฐบาล แต่อยากเป็นรัฐบาลที่เสียงมันเข้มแข็ง จะได้ทำงานหนักๆ’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 เวทีปราศรัย ณ ตลาดภูสุวรรณ ต.มะขามหลวง อ.สันป่าตอง
‘ปีหน้าม่วนแน่นอน รับรองว่าอะไรที่ทุกข์มานานจะจัดการให้หมด แต่ผมเป็นคนมีจุดอ่อน เพราะเป็นคนที่ต้องการกำลังใจ หวังว่าพี่น้องชาวเชียงใหม่จะให้กำลังใจผม โดยเลือกนายกก๊องให้กลับมาอีกรอบ เพราะเป็นสัญญาณว่าครั้งหน้าพี่น้องชาวเชียงใหม่ ก็จะคืนสส.ให้พรรคเพื่อไทยทั้ง 10 เขต ซึ่งก็จะมีกำลังใจกลับมา เราทุกข์ด้วยกัน เราก็ต้องสุขด้วยกัน เราทุกข์ด้วยกันมาแล้ว ต่อไปนี้เราก็จะสุขด้วยกัน พี่น้องให้สส. 2 คน ทำให้ผมน้อยอกน้อยใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้หายแล้ว เพราะตอนนี้พี่น้องกำลังจะคืนกำลังใจให้ โดยการเลือกนายกก๊อง และสจ.ทุกคนเข้ามา เพื่อวางพื้นฐานที่จะคืน สส.ให้ผม แล้ววันนั้นเราจะมีความสุขด้วยกัน’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อ.สันทราย
‘ขอให้พี่น้องฟิตร่างกายให้แข็งแรง ปี 69 จะรวย และปี 70 ก็จะกลับมาเลือกเพื่อไทยอีกรอบ รอบนี้ทักษิณขอทวงคืน ถ้าอยากใช้ทักษิณต่อต้องเลือกเพื่อไทยทั้งจังหวัด’
‘เลือกเพื่อไทยก็คือเลือกทักษิณ ถ้าเลือกเพื่อไทยก็ใช้ทักษิณ อยากให้ยาเสพติดหายไปก็ใช้ทักษิณ หนี้จะเบาบางลงก็ทักษิณ ตังค์จะมีขึ้นก็ทักษิณ และคราวหน้าขอ สส.10 คนคืนมา แบ่งคนก็ไม่ยอม ผมเป็นคนโลภมาก อยากได้ 10 คน 9 ครึ่งก็ไม่เอา’
- วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่ลานหมู่บ้านสมหวัง ข้างปั๊ม ปตท.สันกำแพง
‘วันนี้ผมต้องการแขนขาซึ่งคือท้องถิ่น ซึ่งเมื่อก่อนมั่นใจได้มากหน่อยเพราะรัฐบาลมี สส. เยอะ มีกระทรวงดูแลเยอะ เราจึงสั่งการได้เยอะ แต่ทุกวันนี้เรามี สส.แค่ 141 คน มีกระทรวงดูแลอยู่น้อย ไม่พอ ซึ่งไม่พอก็ต้องมีตัวแทนท้องถิ่น’
กล่าวโดยสรุป..หากไล่เส้นทางจาก ‘อุดรธานี’ มาจนถึง ‘เชียงใหม่’ คำพูดของนายทักษิณ นอกจากจะเน้นย้ำบทบาทของพรรคเพื่อไทยในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติดและอาชญากรรมในทุกเวที จนราวกับเป็น ‘ผู้จัดการรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี’ สมกับฉายา ‘รัฐบาลพ่อเลี้ยง’ ที่คณะสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลเพิ่งตั้งให้สดๆ ร้อนๆ แล้ว นายทักษิณยังเผยให้เห็น ‘รัฐบาลในอุดมคติ’ ของตนที่ต้องการครองเสียงข้างมากในสภาฯ แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยยกตัวอย่างรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต อีกทั้งยังมี ท่าทีที่ดูจะ “ดุเดือด-รุนแรง” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการโจมตีคู่แข่งทางการเมืองหรือใครก็ตามที่มองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม
ราวกับว่า ‘นี่ไม่ใช่คน (เคย) ป่วยหนัก’ ขนาดที่ได้รับสิทธิพิเศษให้นอนโรงพยาบาลแทนเรือนจำนานถึง 6 เดือน และอาจจะลืมไปแล้วกับคำพูดที่ว่า ‘กลับมาเลี้ยงหลาน’!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี