‘จตุพร’ดักคอ‘อีโม่ง’ดิ้นรนล้มปม‘ชั้น 14’วิ่งเต้นกล่อม‘ป.ป.ช.’เปลี่ยน‘เอกวิทย์’พ้นรับผิดชอบสำนวนสอบสวน หวังยื้อเวลาล่าช้า จ้องเปลี่ยนผิดเป็นถูก เตือนให้หยุดทำเถอะ คาดปี 68 หลากปัญหาจ่อขย่มรัฐบาล เดิมพันวัดใจ‘ทักษิณ’กล้าติดคุกหรือกลัวลนลานงัดสูตรปลุกสาวกป่วนบ้านเมืองเอาตัวรอด
26 ธันวาคม 2567 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.67 ว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ให้จับตาดูวันที่ 15 ม.ค.ที่แพทยสภาขีดเส้นตายให้แพทย์รักษา ทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 ส่งรายงานการรักษามาตรวจสอบการเอื้อหนีติดคุก แล้วยังต้องติดตามผลตรวจสอบของ ป.ป.ช.กรณีชั้น 14 และ กกต.ยังมีการขยับอย่างมีนัยสำคัญในการสอบสวนการครอบงำพรรคการเมือง
“จุดตายนั้นยังอยู่ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะเป็นผู้พิพากษาลงโทษจำคุก ทักษิณ ชินวัตร ในคดีทุจริตคอร์รัปชั่น แม้ ทักษิณ ได้รับพระบรมราชโองการลดโทษเหลือ 1 ปี แต่ไม่ปรากฏได้รับโทษสักวัน ฉะนั้นเรื่องนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ของไทย เมื่อความอยุติธรรมตำหน้าตำตาคนไทยทั้งชาติ ยังสามารถเปลี่ยนดำเป็นขาวได้ ดังนั้นกรณีนี้จะเป็นอุทาหรณ์ที่ใหญ่มาก”
นายจตุพร กล่าวถึงการขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกนายก อบจ.ว่า ขอให้ ทักษิณ หาความสำราญได้เต็มที่ เพราะไม่รู้ว่า หากสภาอยู่ยาวครบวาระในปี 70 ทักษิณจะได้อยู่หาเสียงเลือก สส. หรือไม่ แต่ตนไม่เชื่อสภาจะอยู่ถึงปี 70 ส่วนการเลือกตั้งนายก อบจ. วันที่ 1 ก.พ. 68 ทักษิณมีเวลาอยู่ถึงแน่นอน
“เวลา 17 ปีที่ ทักษิณ ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ได้แค่พูดกับประชาชนผ่านหน้าวีดีโอลิงค์ ขณะนี้ได้กลับมาไทยแล้ว จึงอยากให้ ทักษิณ เสพความสุขกับการพูดต่อหน้าประชาชนบนเวทีปราศรัยให้เต็มที่ ตามแบบฉบับคนการเมืองที่มีความสุขเพียงการปราศรัยได้อวดรู้ และโชว์อาการของขึ้น ดุดัน เกรี้ยวกราด ผสมปนเปอารมณ์จนยากจะดูดซึมซับเอาของจริงได้”
นายจตุพร กล่าวว่า คนรักษาชาติบ้านเมืองล้วนมองเห็นปัญหาของทักษิณทั้งสิ้นว่าการดำรงอยู่ที่ผ่านมาได้กล่าวอ้างสร้างความกลัวเกินจริงกับพรรคประชาชน จนนำไปสู่ความเสียหายของบ้านเมืองอย่างคาดไม่ถึง ดังนั้นเรื่องราวประเดประดังใส่ทักษิณ จึงเป็นศาลาวัดใจว่า พร้อมจะไปเผชิญชีวิตในเรือนจำหรือไม่
“ปัญหาจะประเดประดังใส่ทักษิณช่วงต้นปี 68 กรณีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ขาดคุณสมบัติเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติต้องมีคนรับผิดชอบ เพราะกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้เสนอชื่อให้คณะกรรมการสรรหาคัดเลือกย่อมเข้าขอบเขตข้อกฎหมายต้องถูกตรวจสอบจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง รวมทั้งยังลามโยงไปผูกพันกับกรณีนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร แต่งตั้งบุคคลต้องห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย”
นอกจากนี้ การตั้งคณะกรรมการเจทีซีไปคุยกับกัมพูชาเพื่อหารือแบ่งประโยชน์พลังงาน 50:50 ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะผลประโยชน์ประเทศเป็นของทุกคน จึงไม่มีสิทธิจะแบ่งยกให้ใครได้ง่ายๆ เสมือนเป็นสมบัติส่วนตัวของใคร
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องเก้าอี้ รมว.กลาโหมของ บิ๊กอ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย จะมั่นคง และอยู่ดูแลความมั่นคงของประเทศหรือไม่ โดยเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้จะปนเปประเดประดังเข้าใส่ทักษิณตั้งแต่ต้นปี 68 และหลังปีใหม่ยังจะต้องผจญกับการถูกชำแหละ พ.ร.บ.บ่อนคาสิโนอย่างละเอียดกันอีกด้วย
“ดังนั้นเรื่องราวอะไรก็ตามที่ประชาชนคนในชาติเห็นความเสี่ยง ย่อมมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ ทักท้วง ซึ่งรัฐบาลอธิบายตอบโต้ไม่ได้แม้แต่กรณีเดียว มิหนำซ้ำการอ้างผลประโยชน์พลังงาน แต่คนไทยยังไม่ได้รับ แล้วกลับต้องสุ่มเสี่ยงกับการเสียดินแดนในกรณีเจรจาตกลง mou 44”
นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งน่ากังวลในกรณีของ ป.ป.ช.ที่จุดแข็งการตรวจสอบชั้น 14 อยู่ที่มีประธานอนุกรรมการตรวจสอบ คือ นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา ซึ่งเป็นคนหนึ่งใน ป.ป.ช.ชุดใหญ่ และยังรับผิดชอบสำนวนการสอบสวนชั้น 14 ใน ป.ป.ช.ชุดใหญ่ด้วย ดังนั้น ย่อมทำให้มีบางคนพยายามแทรกแซงเข้าล้วงลูกการทำหน้าที่ไม่ได้ง่ายๆ ถ้าใครจะเปลี่ยนดำเป็นขาวแล้ว ต้องเปลี่ยนนายเอกวิทย์ ออกจากผู้รับผิดชอบสำนวนสอบสวนชั้น 14 เพื่อให้คนอื่นทำหน้าที่แทน แม้ไม่ถึงขั้นเปลี่ยนดำเป็นขาว หรือล้มคดีก็ตาม แต่การดึงเวลาให้ผลการสอบสวนล้าช้าก็มีผลตามความต้องการของขบวนการโม่งแล้ว
“มีความพยายามของอีโม่งได้วิ่งเต้นทาบทามขอให้ คุณเอกวิทย์ สละตำแหน่งเพื่อให้รักษาการประธาน ป.ป.ช.ได้ตั้งคนใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทน ดังนั้น ขอให้หยุดการกระทำเสียเถิด เพราะอีกไม่กี่เดือนก็พ้นวาระอยู่แล้ว ยิ่งดิ้นรนมากเท่าไรก็ไม่เป็นผลดีต่อชีวิตในบั้นปลาย และชีวิตควรมีความเพียงพอกันเสียบ้าง”
นายจตุพร กล่าว่า กรณีชั้น 14 แม้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติเอกฉันท์ให้คณะ ป.ป.ช.เป็นกรรมการไต่สวน แต่ยังมีการดิ้นรนไม่หยุด โดยต้องการเปลี่ยนตัวนายเอกวิทย์จากผู้รับผิดชอบสำนวนไต่สวน อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องเกิดจากความสมัครใจของนายเอกวิทย์ที่จะสละการทำหน้าที่ด้วย ดังนั้นความต้องการของอีโม่งยังไม่สมประสงค์
“ขอส่งเสียงไปถึง ป.ป.ช.ว่า บัดนี้บ้านเมืองเสียมามาก ต้องรู้ว่าความลับไม่มีในโลก เสียงที่หลุดออกมานั้นต้องการให้ ป.ป.ช.เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง เป็นธรรม ปราศจากการครอบงำทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นเรื่องอำนาจหรือผลประโยชน์อื่นใด ดังนั้นในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่เหลือนั้น ควรทำในสิ่งที่ดีงาม อย่างน้อยที่สุดเป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ การรับเงินเดือนก็รับวันโปรดเกล้าฯ ฉะนั้นต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องกับชาติบ้านเมือง การจะเปลี่ยนผิดเป็นถูกโดยเอาองค์กรไปแลกและทำให้ประเทศเสียหายนั้นให้หยุดยั้งการกระทำเสียเถอะ” นายจตุพร กล่าว
ส่วนการเลือกตั้งนายก อบจ.นั้น นายจตุพร กล่าวว่า พรรคประชาชนต้องปรับตัวในทางการเมือง เพราะถ้าเอาผลเลือกตั้งนายก อบจ.อุบล ซึ่งผ่านมาล่าสุดเป็นเครื่องชี้วัดแล้ว ผู้สมัครจากพรรคประชาชนได้เสียง 1.3 แสน เมื่อเปรียบเทียบกับการเลือกตั้งทั่วไปปี 66 คะแนนปาร์ตี้ลิสยุคพรรคก้าวไกลได้ถึง 3.2 แสน ดังนั้นเสียงหายไปมากถึง 2 แสน สิ่งนี้คือ ความผิดปกติทางการเมือง
นายจตุพร กล่าวว่า ประชาชนไม่ใช่ของตายทางการเมืองของใครหรือพรรคใด แต่เป็นขบวนการแนวร่วมต่อสู้ตามอุดมการณ์ ดังนั้น ประชาชนจึงเป็นของตายของกันและกันในแนวทางการต่อสู้ให้บรรลุอุดมคติ
พร้อมระบุว่า ในยุคหนึ่งคนเสื้อแดงเป็นฐานเสียงให้พรรคเพื่อไทย แต่เลือกตั้งปี 66 เสื้อแดงหนีเพื่อไทยไปให้เสียงสนับสนุนแนวทางต่อสู้กับพรรคก้าวไกล จึงทำให้ภาพรวมมี สส.เพิ่มมากขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง นั่นแสดงถึงการทำแนวร่วมต่อสู้ของคนเสื้อแดง และเป็นเครื่องชี้ชัดว่า ประชาชนไม่ได้เป็นของตายให้ใครและพรรคใด
อีกทั้งกล่าวว่า คู่แข่งทางการเมืองสำคัญของพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลเดิมนั้น คือ พรรคเพื่อไทย เมื่อพรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้าน แต่เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ดังนั้นฝ่ายค้านต้องทำหน้าที่ตรวจสอบให้เข้มข้นถึงแก่นปัญหา เพื่อสร้างบรรทัดฐานการเมืองของสังคม อีกอย่างยังเป็นผลงานให้ประชาชนได้เทียบเคียงและรู้สึกพึงพอใจจะให้มาเป็นรัฐบาลมากกว่า
“ถ้าทำหน้าที่ฝ่ายค้านเพื่อรอเป็นรัฐบาล แน่นอนคะแนนเสียงจะจางหายไป โดยพื้นที่อุบลเป็นบทเรียนล่าสุดที่สะท้อนถึงเสียงที่หายไปจำนวนมากของพรรคประชาชน สิ่งนี้ต้องคิดแล้วว่า เสียงพรรคประชาชนหายไปไหน ทำไมพรรคไม่สามารถรักษาความพึงพอใจของคะแนนเสียงในปี 66 ไว้ได้ ดังนั้น ต้องกลับมาตรวจสอบการทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคประชาชนทำให้เกิดความพึงพอใจต่อคะแนนเสียงที่เลือกมาหรือไม่”
นายจตุพร กล่าวว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ในวันที่ 1 ก.พ. 68 นั้น ย่อมเกี่ยวพันกับบทบาทการเมืองสนามใหญ่ที่จะส่งผลต่อเสียงความพึงพอใจกับการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย โดยในการเลือกตั้งปี 66 พรรคประชาชนมีโอกาสทำให้เกิดความพึงพอต่อแนวร่วมต่อสู้ทางการเมืองจึงได้ สส.ในหลายจังหวัดชนิดยกจังหวัดก็มี ย่อมเป็นโอกาสให้ได้ทำงานการเมืองกับท้องถิ่นด้วย
“การปรับการเมืองสนามใหญ่ให้เข้ากับเลือกตั้งท้องถิ่นต้องใช้ศิลปะอย่างเข้าใจ โดยที่ผ่านมา พรรคประชาชนได้รับบทเรียนจากการเลือกตั้งนายก อบจ.มาแล้วหลายครั้ง ถึงแพ้มาครั้งที่ 1 และ 2 หากครั้งนี้ถ้าชนะไม่ได้อีก จะอยู่ในสถานการณ์ไหน”
อย่างไรก็ตาม หากมองในสถานะคนนอกแล้ว จะเห็นว่า พรรคภูมิใจไทยเลือกส่งเลือกตั้งนายก อบจ.ในจังหวัดที่คาดจะชนะ และไม่ได้ส่งในนามพรรคเพื่อไม่ให้เสียขวัญ ส่วนพรรคเพื่อไทยส่งจำนวนมากในนามพรรคเช่นเดียวกับพรรคประชาชน แต่พรรคเพื่อไทยขณะนี้มีผลชนะได้จับต้องแล้วในบางจังหวัด แต่พรรคประชาชนยังไม่ได้เลย ดังนั้นวันที่ 1 ก.พ. 68 จึงเป็นเครื่องวัดศักยภาพ
ส่วนการยกเลิกกำหนดการนายอันวาร์ นายกฯ มาเลเซีย นัดคุยกับทักษิณที่เกาะลังกาวีวันที่ 26 ธ.ค.นั้น นายจตุพร กล่าวว่า สะท้อนถึงการออกนอกประเทศของทักษิณมีปัญหา เพราะต้องคดี ม.112 และเงื่อนไขประกันตัวห้ามเดินทางออกนอกประเทศ อีกอย่างศาลยึดหนังสือเดินทางระหว่างประเทศไว้ด้วย อาจเป็นเพราะเคยมีพฤติการณ์หลบหนีคดีนานถึง 17 ปี ดังนั้น แสดงว่า การออกนอกประเทศเป็นเรื่องยากของทักษิณ
อย่างไรก็ตาม ทักษิณ ก็มีความสามารถปรากฏอยู่เช่นกัน แต่วันนี้เรื่องยากที่สุดคือต้องการออกนอกประเทศ แต่ช่วงอยู่ต่างประเทศเมื่อ 17 ปีที่แล้วการหาหนทางกลับมาประเทศเป็นเรื่องยากที่สุด ดังนั้น จึงเป็นเรื่องชีวิตกลับตาลปัตรเท่านั้นเอง
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี