ปชป. เดินหน้าให้ความรู้ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ให้กับชาวลาดกระบัง - 'มงคลกิตติ์' รับหน้าที่บรรยายปม 'MOU 2544' ประกาศ ปชป. พร้อมจะปกป้องอาณาเขตทางพื้นดิน อาณาเขตทางทะเลอ่าวไทย เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับลูกหลานในอนาคต
26 ธ.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์ โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จัดโครงการ ให้ความรู้ทางการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแก่สมาชิกพรรคและประชาชน ณ โรงแรม พงศกรบูติค รีสอร์ท เขต ลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร โดยมีวิทยากรร่วมบรรยาย อาทิ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค,เมฆินทร์ เอี่ยมสอาด กรรมการบริหารพรรค ว่าที่ ร.ต.ธนิตศักดิ์ ดารามั่น อดีต คณะทำงาน รมช.มหาดไทย,นายสัตวแพทย์ อนันต์ ฤกษ์ดี อดีต ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต ลาดกระบัง
โดยนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ได้ให้ความรู้กับผู้เข้าอบรมเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ บันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป พ.ศ. 2544 หรือ MOU 2544 ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยยืนยันว่า เกาะกูด และ พื้นที่ 26,000 ตร.กม.ในอ่าวไทย ที่มีน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ มูลค่าไม่น้อยกว่า 10 ล้านล้านบาท เป็นของประเทศไทย การประกาศไหล่ทวีปของประเทศไทยเมื่อปี 2516 ตามประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2516 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเป็นไปตามอนุสัญญาทะเลหลวง ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย กฎหมายทางทะเล ค.ศ.1982
ซึ่งประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีสมาชิกใน อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฏหมายทะเล ตั้งแต่ พ.ศ.2512 ซึ่งมีสมาชิกถึง 167 ประเทศ ที่ใช้กฏหมายนี้เป็นตัวแบ่งอาณาเขตแดนทางทะเลในประเทศที่อยู่ข้างเคียงกัน ซึ่ง ประเทศกัมพูชา เป็นประเทศเดียวในอาเซี่ยนที่ไม่เข้าเป็นภาคีสมาชิก จึงไม่ใช้กฏหมายนี้เป็นตัวแบ่งเขตแดนทางทะเล ประเทศกัมพูชา ได้ประกาศไหล่ทวีปแต่ฝ่ายเดียว เมื่อ พ.ศ.2515 วัดจากหลักเขตที่ 73 (บ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ) ผ่านกลางเกาะกูด ตรงไปกึ่งกลางอ่าวไทยและลากเส้นทางใต้ขนานกับอ่าวไทย จึงเป็นที่มาของการกล่าวอ้างของประเทศกัมพูชาในพื้นที่อ่าวไทย 26,000 ตร.กม. ว่าเป็นของประเทศกัมพูชา
นายมงคลกิตติ์ อธิบายต่อว่า เมื่อ ปี พ.ศ. 2511 ไทยได้ให้สัมปทานขุด สำรวจ จำหน่าย น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ให้กับหลายบริษัท แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ส่วน กัมพูชาได้ให้สัมปานขุด สำรวจ จำหน่าย น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติให้แก่บริษัทเอกชน เมื่อปี พ.ศ.2540 แต่ก็ดำเนินการไม่ได้ เช่นกันจึงเป็นเหตุที่มาของการเจรจา ในปี พ.ศ.2544 ระหว่าง ไทย และ กัมพูชา จนไปถึงการเซ็นข้อตกลงเบื้องต้นร่วมกันเรียกว่า mou2544 ในสมัยของ นายทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย และในสมัยของ สมเด็จฮุนเซ็น เป็น นายกรัฐมนตรี กัมพูชา ณ ขณะนั้นยังมิได้นำเข้าผ่านความเห็นชอบของที่ประชุมร่วมรัฐสภา
และปัจจุบัน ผู้นำเหล่าทัพ อาทิ กองทัพเรือ กองทัพบก กองทัพอากาศ ก็ยืนยันใช้หลักกฏหมายในการดูแลพื้นที่อ่าวไทย 26,000 ตร.กม. ตามการประกาศไหล่ทวีปของไทย เมื่อ 2516 ใครล่วงล้ำยิงทันที ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติในการรักษาอธิปไตยทางทะเลที่ถูกต้อง อีกทั้งทางกัมพูชา เขาประกาศไหล่ทวีปปี พ.ศ. 2515 แบบตามใจเขาแบบไม่ยอมเสียเปรียบใครซึ่งไม่มีในนานาอารยะประเทศเขาทำกัน
" ดังนั้น ผมจึงเรียนไปยังพี่น้องประชาชนไทยว่า พรรคประชาธิปัตย์ โดยการนำของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนหัวหน้าพรรค ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลจะปกป้องอาณาเขตทางพื้นดิน อาณาเขตทางทะเลอ่าวไทย ตามประกาศไหล่ทวีป ปี พ.ศ.2516 ทุกตารางนิ้ว ในพื้นที่รอบเกาะกูดและพื้นที่อ่าวไทย 26,000 ตร.กม.เป็นของไทย 100% ตราบใดที่ประเทศกัมพูชา ยังไม่นำกำลังมาเข้ายึดเกาะกูดและพื้นที่ 26,000 ตร.กม.เราก็ดูแลตามกฏหมายปกติ แต่ถ้าทางกัมพูชา ล่วงล้ำเข้ามาทางฝั่งไทยก็มีความจำเป็นที่ไทยจะต้องเตือน พูดคุย ถ้าเตือนไม่ฟังก็ต้องใช้กำลังทหาร เพื่อรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ บนดิน ทะเล ใต้ท้องทะเลอ่าวไทยที่อดีตพระมหากษัตริย์ในอดีตกาลหาไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ ได้อาศัย ได้เรียนหนังสือ ได้สร้างครอบครัว นำทรัพยากรดูแลคนในชาติสืบไป " นายมงคลกิตติ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี