ใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัว
‘อิ๊งค์’หยุดปีใหม่
มอบรองนายกฯทำหน้าที่แทน
ภท.เฮ!รอดคดี‘ยุบพรรค’
กกต.สั่งยุติปมเงินบริจาค
นายกฯอิ๊งค์ ลางาน 1 วัน ก่อนหยุดยาวใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัวช่วงปีใหม่ กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง 2 มกราคม 2568ทำบุญปีใหม่ทำเนียบฯ พร้อมมอบคำขวัญ“วันเด็ก” ปี’68 “ทุกโอกาสคือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” ชี้เด็กคือ อนาคตของชาติ ทำให้โลกนี้ประเทศนี้น่าอยู่ ปธ.วิปรัฐบาล หยัน “เท้งเต้ง” พาย้อนยุควนกลับการเมืองน้ำเน่า แซะคงเหงาเรียกหานายกฯได้ตลอดเวลา ยันนายกฯไม่กลัวการตอบกระทู้ แนะฝ่ายค้านไปดูแลปชช.ช่วงปีใหม่ดีกว่า “วันนอร์”เมินฝ่ายการเมืองเลื่อยขาเก้าอี้ ฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ แยกกันชัดเจน
เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า วันเดียวกันนี้ นายกฯส่งหนังสือลากิจ 1 วัน ไปที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เรียบร้อยแล้ว โดยมอบภารกิจให้นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานในงานประกาศรางวัลรัฐบาลดิจิทัล ประจำปี 2567 (DIGITAL GOVERNMENT AWARDS 2024) แทน ในเวลา 10.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล
นายกฯลางาน1วันเริ่มทำงาน2มค.
ทั้งนี้ นายกฯ จะใช้วันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่พักผ่อนอยู่กับครอบครัว ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคมและจะกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้งวันที่ 2 มกราคม เวลา 07.30 น.นายกฯ ร้อมคู่สมรส เป็นประธานในพิธีทำบุญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2568 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
มอบคำขวัญ‘วันเด็ก’ประจำปี68
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังโพสต์ผ่าน @ingshin แอปพลิเคชัน X มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2568 ว่า “ทุกโอกาสคือการเรียนรู้ พร้อมปรับตัวสู่อนาคตที่เลือกเอง” ซึ่งคำขวัญปีนี้ที่อยากให้เด็ก รู้ว่ารัฐบาลมองเห็นคุณค่า คุณภาพในตัวของน้องๆเด็กๆทุกคน เพราะอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร จะน่าอยู่หรือไม่ขึ้นอยู่กับเด็กๆ การเรียนรู้จะทำให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่จะเข้ามาได้ อะไรที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราปรับตัวได้ โดยสิ่งที่เราควบคุมได้คือ ตัวเราเอง เพราะอนาคตของเรามีเรื่องดี ๆ รออีกมากมาย และเชื่อว่า น้องทุกคนอยากได้อนาคตที่สดใส มีความสุข ดังนั้น การมีความสุขก็เริ่มจากที่ตัวเอง ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ และขอให้รู้ว่า เราตัวเล็กแต่มีคุณค่ามากต่อประเทศชาติ ในฐานะนายกฯเห็นว่าอนาคตของชาติดีขึ้นคือ น้องๆ มีสิทธิทำให้โลกนี้ประเทศนี้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
พท.หยัน“เท้ง”พาย้อนยุคสู่การเมืองน้ำเน่า
ด้านนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล)กล่าวถึงกรณีพรรคประชาชนเตรียมจะแก้กฎหมายให้นายกฯหรือรัฐมนตรีมาตอบกระทู้ในสภาฯว่า ตนรู้สึกผิดหวัง และไม่อยากเชื่อว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร วันนี้จะทำงานย้อนยุคกลับไปสู่วังวนการเมืองน้ำเน่าสมัยก่อนใช่หรือไม่ เห็นได้จากการใช้วิธีพูดให้ตนเองดูดี แต่โจมตีคนอื่น ที่สำคัญไม่สามารถบอกประชาชนได้ว่าพรรคตัวเองมีผลงานหรือนโยบายอะไรเป็นรูปธรรม แต่มักใช้วิธีชี้หน้าด่าคนอื่น แล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนดี
ส่วนกรณีนายกฯเตรียมไปตอบกระทู้ในสภาฯนั้น ตนก็เชื่อว่าผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเป็นฝ่ายค้านมาตลอดคงทราบว่าสัปดาห์สุดท้ายก่อนเทศกาลปีใหม่รัฐบาล หน่วยงานต่างๆรวมทั้งนายกรัฐมนตรี ต้องลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบส่วนราชการ เพื่ออำนวยความสะดวกและกำชับการปฏิบัติงานเรื่องการเดินทาง การดูแลความปลอดภัยในสวัสดิภาพของนักท่องเที่ยวและประชาชนที่กลับภูมิลำเนา การตอบกระทู้ หากนายกฯติดภารกิจได้มอบหมายรองนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไปชี้แจงในสภา ขณะที่การตั้งกระทู้สดถามประเด็นต่างๆ ฝากให้ผู้นำฝ่ายค้านช่วยเร่งแก้ข้อบังคับสภาที่ เปลี่ยนมาเป็นให้ยื่นอย่างน้อยก่อน 1 วันไม่ใช่ให้ยื่นเวลา 08.00 น. ให้นายกฯมาตอบ 10.00 น. กระชั้นชิดไป นายกฯหรือรัฐมนตรีอาจติดภารกิจ
แซะปชน.เหงาเรียกหาแต่นายกฯ
“ขยันขอให้นายกฯไปตอบทั้งที่มีกำหนดการมาล่วงหน้า เมื่อวานนี้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ก่อนช่วงเทศกาลแห่งความสุขวันปีใหม่ ซึ่งทุกรัฐบาลก็ต้องดำเนินการเรื่องนี้ ถ้าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรอันนี้ค่อยเหน็บก็ได้ เท้งเต้ง“ นายวิสุทธิ์กล่าว และยืนยันว่า นายกฯไม่เคยรู้สึกกลัวสภาฯ เคยขึ้นเวทีปราศรัยคนเป็นหมื่นๆหลังปีใหม่ถ้ามีประเด็นสอบถาม ก็ยังมีโอกาสตอบได้ในทุกการประชุมสภาฯอยู่แล้ว ตนไม่อยากให้สังคมเห็นว่าฉายาเท้งเต้ง ที่นายณัฐพงษ์ ได้มา จะทำให้ตัวเองรู้สึกด้อยค่าหรือไม่จนทำให้รู้สึกว่า ผู้นำฝ่ายค้านเหงา ถึงขนาดต้อง เรียกหานายกฯตลอดเวลา จึงฝากฝ่ายค้านว่าถ้าช่วงนี้หากเหงามากเอาเวลาไปดูแลประชาชนช่วงปีใหม่จะมีประโยชน์กว่า
cนะนายกฯปี68ต้องปรับตัวใหม่
นายวันชัย สอนศิริ หรือทนายวันชัย อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “หัวข้อ “ปี 2568 ยุคนายกฯ Gen Y... สิ่งที่คนไทยอยากเห็นนายกอุ๊งอิ๊ง...ในปีหน้า..คือ” 1.ไม่ต้องการให้คนแก่ รุ่น Gen Babyboomersที่ไม่ชอบพ่อนายก มาค่อนแคะค่อนขอด ทั้งที่คนรุ่นนี้บางคนบางพวกตกยุคตกสมัยไปแล้ว ในสมองมีแต่เรื่องเก่าๆ เล่าความหลังขุดอดีตได้ทั้งวัน.. นายกฯอย่าให้คนพวกนี้บ่นต่อไปได้หรือไม่
2. อยากเห็นนายกคนรุ่นใหม่ทำงานได้ไม่แพ้คนรุ่นเก่า และอาจดีกว่านายกคนเก่าอีก ไม่อยากให้เขาดูถูกดูแคลนว่าเด็กรุ่น Gen X Gen Y เป็นนายกแล้วไม่รู้เรื่อง บริหารไม่เป็น 3.หลายประเทศมีนายกรุ่นเดียวกับนายกฯอุ๊งอิ๊ง ทำไมเขาบริหารบ้านเมืองได้ ไม่เห็นมีใครมาตำหนิติเตียนเหมือนนายกบ้านเรา นายกฯอุ๊งอิ๊งต้องก้าวข้ามเรื่องนี้ให้ได้ ต้องพัฒนาตัวเองให้คนยอมรับเหมือนนายกต่างประเทศ
จี้ปรับบทบาทนายกฯให้คนเกรงใจ
4. เป็นนายกแล้วต้องมีบารมี มีภาวะผู้นำ แม้เป็นคนรุ่นใหม่ ก็ต้องเป็นให้ได้ ยิ่งมีพ่อเป็นอดีตนายกฯส่งเสริมได้อยู่แล้ว แต่นายกอุ๊งอิ๊งยังเล่นไม่สมบทบาท... ปีใหม่นี้ต้องตีบทนี้ให้แตก ต้องเป็นนายกให้คนเกรงใจ 5. นายกอุ๊งอิ๊งต้องปรับตัวให้เป็นผู้นำของคนทุก Gen เน้นการยอมรับจากคนทุกรุ่น คนรุ่นเก่าก็ควรให้โอกาสนายกคนรุ่นใหม่ อย่ามัวแต่บูลลี่ดูแคลนคนอาวุโสน้อยกว่า 6. การพูดจาที่ฉะฉานเด็ดขาด แสดงถึงความรู้ความสามารถที่ออกมาจากสมองของตน ไม่ควรพลาดและหลุดเหมือนที่ผ่านมา 7. เรื่องการแต่งกาย ควรจัดการให้พอดีพอเหมาะ อย่าให้ถูกวิจารณ์ว่าไม่รู้จักกาลเทศะ
“นายกอุ๊งอิ๊งเป็นนายกคนแรกที่อายุน้อยที่สุด ถือเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ อย่าให้ใครเขาว่า คบเด็กสร้างบ้าน คบหัวล้านสร้างเมือง”นายวันชัยกล่าว
คปท.ฟันธงรบ.น่าจะไม่พ้นปีหน้า
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กPichitChaimongkolระบุว่า พูดเหมือนกัน เมื่อคืนมีการทานข้าวร่วมกันของคนหลายวงการที่สถานที่แห่งหนึ่ง เสียงสนทนาจากหลายโต๊ะพูดไปในทำนองเดียวกันคือ ทักษิณรอบนี้ใช้อำนาจรัฐมากกว่านายกรัฐมนตรี บรรยากาศการเมืองเหมือนกลับมาปี 2549 อีกครั้ง รัฐบาลคงอยู่ไม่ครบเทอม น่าจะไม่พ้นปีหน้า หัวข้อแต่ละโต๊ะก็ประมาณนี้
หลังมค.68‘พ่อทุกสถาบัน’คะนองไม่ออก
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นประเด็น“ทักษิณ VS. สนธิกับสหายร่วมรบหลังมกราคม 68” ว่า..เมื่อเวลาผ่านไปทั้งปีใหม่ไทยและปีใหม่จีน จนสิ้น มกราคม 2568 แล้ว คุณทักษิณก็จะเริ่มรู้สึกตัวว่า ที่คึกคะนองมากเกินไป เมื่อปลายปี 2567 จนได้รับฉายาจากสว.สมชาย ว่า “พ่อทุกสถาบัน” นั้น ไปยั่วยุให้ประชาชนไม่ชอบนายทักษิณ มากขึ้นจริงๆ แต่ก็สายไปแล้ว เพราะเวรกรรมยุคนี้มาเร็วกว่าที่นายทักษิณ คิดไว้มาก ตอนนี้นายทักษิณไม่เคยจำ ออกมาอีก พร้อมด้วยช่องโหว่มากมาย ทั้งเรื่องเหมือนเตรียมเข้าไปหาผลประโยชน์จากเงินของชาติ เรื่อง MOU 44 เรื่องความตกต่ำทางเศรษฐกิจ เรื่องของตัวเองที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ฯลฯ แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัวคึกคะนองจนเกินเหตุ ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาทักท้วงพร้อมฝ่ายสนับสนุนเต็มอัตราศึก ปลุกประชาชนให้ตื่นตัวอีกครั้งหนึ่งว่าไทยกำลังเข้าใกล้วิกฤตแล้ว ดังนั้น ขอให้ดูว่า หลังมกราคม 2568 ผ่านไปแล้วนายทักษิณ ยังจะคึกคะนองอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่านายทักษิณ คงจะคึกไม่ออกและการต่อสู้ของนายสนธิครั้งนี้ จะง่ายกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลจะแจกเงินให้ประชาชนสักเท่าไหร่ก็ไปไม่รอด
‘วันนอร์’เมินการเมืองเลื่อยเก้าอี้
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์หลังสื่อมวลชนให้ฉายา “รูทีน ตีนตุ๊กแก”แล้วรู้สึกกังวลหรือไม่ จะถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซงเก้าอี้ประธานสภาฯว่า เป็นความคิดเห็นที่สมาชิกหรือพรรคการเมืองแสดงออกได้ แต่ในฐานะที่ตนเป็นประธานรัฐสภาในฝ่ายนิติบัญญัติ จึงคิดว่าตำแหน่งทางนิติบัญญัติเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา หากสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการเปลี่ยนก็สามารถเสนอญัตติเปลี่ยนแปลงได้ เพราะประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ มาจากการเลือกตั้งของสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่ฝ่ายการเมืองมาขอให้เปลี่ยนแปลง จึงอยากให้แยกฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารออกจากกัน ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ ไม่แทรกแซงกัน เป็นหลักการ ฝ่ายบริหารสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐมนตรีได้ แต่ฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นเรื่องของสมาชิกรัฐสภา และข้อบังคับ เรื่องนี้จึงไม่มีปัญหา
“อาจมีความเข้าใจผิดว่า ประธานสภาฯ และรองประธานสภาฯ ต้องเสนอชื่อโดยพรรคการเมืองเสียงข้างมากเท่านั้น พรรคการเมืองเสนอได้ช่วงแรกที่มีการเลือกประธานสภาฯ จากนั้นเป็นเรื่องของแต่ละฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ โดยสมาชิกเป็นผู้เลือก ส่วนระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง ก็เป็นไปตามวาระเว้นแต่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ หรือมีข้อบกพร่อง”ประธานสภาฯกล่าว
ภท.เฮ!รอดคดียุบพรรคปมรับเงินบริจาค
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกเอกสารข่าวเผยแพร่มีเนื้อหาโดยสรุปว่า หลังกกต.ได้รับคำร้องของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร นายศรีสุวรรณ จรรยา และนายธีรยุทธ สุวรรณเกสรว่า การกระทำของพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ที่รับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด จากนายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ บริษัทศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น อาจเป็นการรับบริจาค โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 72 เป็นเหตุแห่งการยุบพรรคการเมือง ตามมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพ.ร.ป.ฉบับเดียวกัน
โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาคำร้อง เห็นว่า กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น บริจาคเงิน ให้พรรค ภท. โดยเงินบริจาคซึ่งได้มาจากการทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐและการขัดกันแห่งประโยชน์ ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่าพรรคภท.ได้รับบริจาคโดยรู้หรือควรรู้ว่าเงินบริจาคได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 72 ชั้นนี้ จึงให้ยุติเรื่อง ถ้าปรากฏพยานหลักฐานใหม่ภายหลัง ตามคำพิพากษาของศาลว่าผู้บริจาคทำผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ นายทะเบียนพรรคการเมืองจะยกขึ้นพิจารณาใหม่
ส่วนกรณีนายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ เป็นการบริจาคงานวิจัย และบริษัทศิลาชัย บุรีรัมย์ (จำกัด) เป็นการบริจาคเงิน โดยทั้งสองกรณี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพรรค ภท.รับบริจาคโดยรู้หรือควรรู้ว่าเงินหรือทรัพย์สินที่นำมาบริจาคได้มาโดยไม่ชอบกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 72 จึงให้ยกคำร้อง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี