ประธานกกต.ชี้‘ทักษิณ’ปราศรัย
ก้ำกึ่งผิดกฎหมาย
ใช้นโยบายรัฐหาเสียงเวทีท้องถิ่น
คปท.จี้ถอนประกันคดี 112
จวก‘แม้ว’อิทธิพลเหนือรัฐ
ประธาน กกต.เผย“ทักษิณ”ก้ำกึ่งผิดกฎหมาย ใช้นโยบายรัฐหาเสียงเวทีท้องถิ่น ยังไม่มีรายงานซุ้มมือปืน เตือน สส.-รมต.ช่วยหาเสียงขอให้จัดสรรเวลาไปนอกเวลาราชการ“พิชิต”แกนนำ คปท.กังขา“ทักษิณ”ใช้อิทธิพลเหนืออำนาจรัฐ สมควรถอนประกันจำเลยคดีม.112 หรือไม่“เทพไท”ซัด“พ่อ-ลูก”ชินวัตรผลัดกันอวย ผวาความซวยเกิดกับประเทศชาติ
‘นายกฯอิ๊งค์’ตรวจงาน’ภูเก็ต’9 มกราคมนี้
เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2567 นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการปราศรัยหาเสียงของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่มีการปราศรัยหาเสียงหยิบยกนโยบายของรัฐบาลไปพูดในเวที ว่า การหาเสียงจะต้องเป็นไปตามกรอบกฎหมายที่ห้ามฝ่าฝืนกฎหมายและห้ามปราศรัยใส่ร้ายผู้อื่นและไม่เข้าข่ายหลอกลวงหากอยู่บนพื้นฐานดังกล่าวสามารถทำได้ เมื่อถามว่า สามารถหยิบยกนโยบายของรัฐบาลหาเสียงได้หรือไม่ นายอิทธิพร ระบุว่า เป็นความก้ำกึ่ง เพราะครั้งนี้การเลือกตั้ง อบจ.การพูดที่มีความเกี่ยวข้องอาจจะจำเป็นหรืออาจสามารถรับฟังได้ในบางครั้ง แต่ทุกอย่างอยู่ในการรับรู้ตรวจสอบของสำนักงาน กกต.อยู่แล้วในทุกด้านและทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งปกติมีการมอนิเตอร์การปราศรัยอยู่แล้ว
”เนื่องจากมีรูปแบบการทำงานของสำนักงาน กกต.ทุกจังหวัด ขณะเดียวกัน มีการแต่งตั้งผู้ตรวจการเลือกตั้งไปปฎิบัติหน้าที่แล้ว เพราะฉะนั้นการติดตามการกระทำที่อาจจะเป็นการฝ่าฝืนการเลือกตั้งอยู่ในวิสัยที่เจ้าหน้าที่ต้องทำงานและรายงานตามลำดับชั้น ตอนนี้ยังไม่มีรายงานถึงความผิดปกติใด แต่คาดว่าการหาเสียงจะมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ“นายอิทธิพร กล่าว
เมื่อถามว่า สส.หรือรัฐมนตรี สามารถช่วยหาเสียงได้หรือไม่ ประธาน กกต.ระบุว่า สามารถทำได้ แต่จะต้องแจ้งให้ กกต.ทราบว่า เป็นผู้ช่วยหาเสียง หากหาเสียงในเวลาราชการต้องบริหารเวลาให้ดีเพราะอาจจะเข้าข่ายทำไม่ถูกตามระเบียบราชการ เมื่อถามว่า นายทักษิณ ไปหาเสียงประกาศค่าไฟจะลดเหลือ 3.70 บาท และต่อมารัฐบาลขานรับจะเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้หรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า จะต้องดูรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่สามารถตอบในขณะนี้ได้ทันที เพราะต้องเป็นกระบวนการที่ต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการไต่สวนสืบสวน หากเป็นคำร้องที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองก็เป็นหน้าที่ของเลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียน ที่ต้องดูว่า ข้อเท็จจริงที่มีขึ้นเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายใดหรือไม่ หากเห็นสมควรว่าต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก็มีการตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นกระบวนการปกติ ซึ่งมี 2ชุด หากเป็นการทำฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งก็จะเป็นคณะกรรมการไต่สวนสืบสวน หากเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายพรรคการเมืองก็จะเป็นการตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน
เมื่อถามเรื่องรายงานเกี่ยวกับซุ้มมือปืน นายอิทธิพร ระบุว่า ซุ้มมือปืนได้ยินมาแต่เด็กๆ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากตำรวจทุกจังหวัด เพราะเป็นประเด็นที่ให้ความสำคัญเอาใจใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการเลือกตั้ง กกต.มีชุดเคลื่อนที่เร็วที่จะทำงานร่วมกับผู้ตรวจการเลือกตั้ง และทีมงานระดับจังหวัด เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ประสานงานโดยปกติในพื้นที่ทุกที่ หากบางแห่งมีความเข้มข้นมากตำรวจในจังหวัดขอความร่วมมือจากตำรวจในจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งมีให้เห็นตัวอย่างแล้วในหลายจังหวัด เช่น จ.ชุมพร เมื่อ2 ปีที่แล้ว ซึ่งขณะนี้ยังได้รับรายงานความเคลื่อนไหวใด ซึ่งอยู่ในกระบวนการที่ต้องดำเนินการตามกฏหมายในด้านการข่าวให้มีความชัดเจนก่อน
คปท.กังขาใช้อิทธิพลเหนืออำนาจรัฐ
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กPichitChaimongkolระบุว่า...ศาลที่เคารพผมว่าจำเลยชื่อ ทักษิณ ชินวัตร จำเลยตามคดีอาญามาตรา 112 ที่ได้รับการประกันตัวตามเงื่อนไขศาลผมเชื่อว่าเงื่อนไขหนึ่งที่ศาลอนุญาตให้ประกันตัว คือ ห้ามยุ่งเกี่ยว ข่มขู่ แทรกแซง พยาน หรือคดี พฤติกรรมในอดีตในการยุ่งเกี่ยว ข่มขู่พยานนั้นอาจจะเป็นอีกแบบหนึ่งปัจจุบันก็อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง การใช้อิทธิพลในอำนาจรัฐที่ผ่านมา ซึ่งจำเลยสั่งการใช้อำนาจรัฐ เหมือนตนเองมีอำนาจรัฐ พฤติกรรมเช่นนี้ คิดว่าจำเลยอาจแทรกแซง ข่มขู่พยานในคดีนี้ได้ ผ่านอำนาจเหนือรัฐ เช่น 1.การบอกว่าจะสั่งกองกำลังไปประเทศเพื่อนบ้าน 2.การจะโยนเชือกให้คนคิดตรงข้ามทักษิณ3.พฤติกรรมในการสั่งการทางนโยบายรัฐ เหนือนายกฯรัฐมนตรีฯ พฤติกรรมเช่นนี้ อาจทำให้เกิดการหวาดกลัวที่จะให้การตามความจริง หรือหวั่นเกรงในอิทธิพลของจำเลยได้บุคลากรทางด้านนิติศาสตร์ทั้งหลายครับอิทธิพลเช่นนี้ สมควรถอนประกันจำเลย ได้ไหมครับ
‘เทพไท’ซัด‘พ่อ-ลูก’ผลัดกันอวย
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาบนเฟซบุ๊ก“เทพไท – คุยการเมือง” ในหัวข้อ “อุ๊งอิ๊ง ปิดหู เปิดปาก ไม่ฟังเสียงท้วงติง แต่ท้าทาย” ระบุว่า...กรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ปราศรัยหาเสียงนายก อบจ.เชียงราย ถึงการผลักดันหญิงไทยให้เป็นนางแบบระดับโลก โดยเปรียบเทียบกับชาวแอฟริกา ในลักษณะบูลลี่หรือด้อยค่าคนผิวดำ จนมีการออกมาท้วงติงและวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของนางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ตักเตือนนายทักษิณผู้เป็นพ่อ ในการปราศรัยพาดพิงถึงชาวแอฟริกา จนนักข่าวได้นำเรื่องนี้ไปถามความเห็นของ น.ส.แพทองธาร ว่ามีความเห็นอย่างไร
น.ส.แพทองธาร ได้ตอบคำถามของสื่อมวลชนว่า “จากที่ฟังเนื้อความพูดเหยียดจริงๆ หรือไม่ ขอให้ลองไปฟังที่คุณพ่อพูดดูก็ค่อนข้างมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ เลยว่า เจตนาเรื่องการเหยียดผิวไม่มีแน่ๆ ซึ่งคุณพ่อเคยบอกก่อนหน้านี้ว่า คนไทยจะไปทำศัลยกรรมทำไม เราก็สวยแบบไทยของเรา รวมถึงการเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ไม่ต้องเสียเงินไปทำจมูก ไปทำศัลยกรรม เราก็สามารถประกวดในแบบของเราได้ นี่คือความตั้งใจของพ่อในเรื่องของโอกาส ลองไปฟังต้นฉบับก่อน มั่นใจเลยว่าพ่อไม่เคยเหยียดเรื่องนี้ พ่อเป็นคนที่ไม่ได้เหยียดคนอยู่แล้ว ถ้าได้ยินหรือเข้าใจผิดอย่างนั้นคิดว่าไม่ใช่แน่นอน” เมื่อได้ฟังคำตอบจากน.ส.แพทองธาร แสดงให้เห็นว่า เห็นด้วยกับคำพูดของนายทักษิณ และไม่คิดที่จะตำหนิหรือตักเตือนแต่อย่างใด มิหนำซ้ำยังการันตีว่านายทักษิณไม่ได้เหยียดคนแอฟริกา และท้าทายให้ไปฟังคำปราศรัยต้นฉบับก่อน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศที่ได้ฟังคำปราศรัยของนายทักษิณ ต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันว่า นายทักษิณใช้คำพูดไม่เหมาะสม และมีการพาดพิงถึงชาวแอฟริกาจริง
ผวาความซวยเกิดกับประเทศชาติ
ถ้าเรื่องนี้มีสื่อต่างประเทศนำคำปราศรัยของนายทักษิณ ไปแปลและสื่อสารไปยังพี่น้องชาวแอฟริกา ลองคิดดูว่าคนแอฟริกาจะคิดอย่างไร เมื่อคนระดับอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิงในลักษณะด้อยค่าหรือบูลลี่ และลูกสาวที่เป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน เห็นด้วยกับคำพูดของพ่อ ซึ่งอาจทำให้คนต่างชาติเห็นถึงวุฒิภาวะของ2พ่อลูก ที่เป็นอดีตผู้นำและผู้นำปัจจุบันของประเทศไทย การที่ น.ส.แพทองธาร ออกมายืนยันว่า นายทักษิณไม่เคยเหยียดใคร ก็ต้องถามว่า คำปราศรัยที่จะส่งเชือกให้กับคนที่เห็นต่าง และวิจารณ์นายทักษิณและรัฐบาลนั้น เป็นการเหยียดบุคคลอื่นหรือไม่ ผมเกรงว่าการที่พ่อออกมาเชียร์ลูก และลูกออกมาเชียร์พ่อ ผลัดกันอวยโดยปิดหูปิดตาไม่รับฟังคำท้วงติงใดๆ เกรงว่าจะนำความเสียหายมาสู่ประเทศชาติได้
‘อิ๊งค์’ตรวจงาน’ถูเก็ต’9มกราคมนี้
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต วันที่ 9ม.ค.โดยจะติดตามการแก้ปัญหาด้านต่างๆรองรับการท่องเที่ยวและการพัฒนาสาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงการจราจรและกายภาพต่างๆ ของ จ.ภูเก็ต นายกฯให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาในทุกด้านๆ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต ซึ่งจากข้อมูลสถานการณ์การท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2568 นี้ ในช่วงระหว่างวันที่ 28ธันวาคม2567 ถึงวันที่ 1มกราคม2568 รวม 5วัน มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้าท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต กว่า 230,000คน มีรายได้เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 8,000ล้านบาท โดยคิดจากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันต่อคนของนักท่องเที่ยวเพียงที่ 9,000บาท ทำให้ห้องพักโรงแรมที่มีอยู่กว่า 110,000ห้อง มีการจองเข้าพักเฉลี่ยกว่าร้อยละ80 โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวหลักๆ ห้องพักโรงแรมเต็มเกือบทั้งหมด โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ รัฐบาลจะนำข้อมูลจาก จ.ภูเก็ต ไปเป็นต้นแบบของการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในทุกๆ จังหวัดของประเทศไทยต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี