ผัวเซ็น-เมียซื้อ!
‘เจิมศักดิ์’แฉแผน
ซุ่มฮุบที่ธรณีสงฆ์
ค้าน‘จ่ายชดเชย’
“เจิมศักดิ์” แฉแผนฮุบที่ “ธรณีสงฆ์” เข้าทำนอง “ผัวเซ็น-เมียซื้อ” ด้าน อดีตสว.สมชาย แสวงการ ร่อนจดหมายเปิดผนึก ถึงนายกฯ“อิ๊งค์” คัดค้านจ่ายเงินเยียวยา อาจผิดกฎหมายและจริยธรรม
เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ เขียน จดหมายเปิดผนึกถึง นายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ 4) เรื่อง ข้อเสนอแก้ปัญหาที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์และหมู่บ้านจัดสรร โอนคืนวัดธรรมิการามเพื่อเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามกฎหมาย และการจ่ายเงินเยียวยาที่อาจเข้าข่ายประโยชน์ทับซ้อนหรือผิดกฎหมาย
โดยมีใจความดังนี้ ตามที่เคยเสนอข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและความเห็นมายังนายกรัฐมนตรีในจดหมายเปิดผนึกฉบับที่1-3 เพื่อพิจารณาสั่งการตามหน้าที่และอำนาจ ในการแก้ไขให้โอนที่ดิน924ไร่ ตามพินัยกรรมของนางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา เพื่อคืนเป็นของวัดธรรมิการามวรวิหาร ให้ตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามกฎหมาย โดยได้เคยแนบเอกสารประกอบมาด้วย อาทิ สรุปคำพิพากษาคดี อัลไพน์ บันทึกความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมใหญ่) บันทึกtimeline ของคดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ฯลฯ ความทราบแล้วนั้น
บัดนี้ อยู่ระหว่างที่กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย กำลังดำเนินการจะโอนที่ดินดังกล่าว คืนเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามเดิม แต่จะมีการตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยเยียวยาถึง7,700ล้านบาทนั้น มีข้อกังวลว่า อาจจะมีการดำเนินการใดๆที่จะทำให้เกิดการกระทำผิดกฎหมายซ้ำขึ้นอีก
เสนอแนวทางแก้ไข
จึงขอนำข้อกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อให้ผู้ที่มีหน้าที่ได้รับทราบและพิจารณาดำเนินการให้ที่ดินตามพินัยกรรมดังกล่าวที่มีการจำหน่ายจ่ายโอนมิชอบกลับ เป็นที่ธรณีสงฆ์ตามกฎหมาย และเสนอแนะแนวทางเยียวยา ใน3ประเด็น ดังนี้
1) ตามกฎหมาย คำพิพากษา ความเห็นที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ดินดังกล่าวตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ตั้งแต่วันที่คุณยายเนื่อม ถึงแก่กรรม โดยวัดธรรมมิการามได้หาประโยชน์ให้เช่าทำนาต่อเนื่องมา ไม่ได้มีการคัดค้านการรับมรดกที่ดินดังกล่าว ดังนั้นการจำหน่ายจ่ายโอนที่ดิน924ไร่ที่นางเนื่อมทำพินัยกรรมมอบให้วัดเพื่อใช้หาประโยชน์ในการทำนุบำรุงพุทธศาสนา โดยเอาไปจำหน่ายจ่ายโอนขาย เพื่อทำหมู่บ้านจัดสรรและสนามกอล์ฟอัลไพน์ จึงเป็นโมฆะมาตั้งแต่ต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 150 ที่บัญญัติว่า “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือ เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”
ประกอบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๖๒/๒๔๙๗ ”ที่ธรณีสงฆ์นั้น แม้ผู้ใดจะครอบครองมาช้านานเพียงใด ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง“ทั้งนี้เพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นแนวเดียวกัน ตามนัยที่ว่านี้มาแต่เดิม คือ พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มาตรา ๗ ว่า “ที่วัดก็ดี ที่ธรณีสงฆ์ก็ดี เป็นสมบัติสำหรับพระศาสนาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นอัครศาสนูปถัมภกทรงปกครองรักษาโดยพระบรมราชานุภาพ ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิ์ที่นั้นไปไม่ได้” และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3688/2546 เจ้าของเดิมอุทิศที่ดินให้แก่วัดโจทก์ตกเป็นที่ธรณีสงฆ์ การโอนกรรมสิทธิ์จะต้องกระทำตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34 คือ โอนกรรมสิทธิ์โดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา แม้ที่ดินดังกล่าวจะได้มีการทำนิติกรรมและจดทะเบียนโอนต่อกันมาหลายทอดจนถึงจำเลย เมื่อมิได้กระทำตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 34 จึงเป็นการโอนที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ”ย่อมเป็นโมฆะ“ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หารายได้บำรุงพุทธศาสนา
2)แนวทางเยียวยาให้กับชาวบ้านที่ซื้อบ้านจัดสรรและสนามกอล์ฟให้เช่าได้หรือไม่ เมื่อกรมที่ดินดำเนินการให้ที่ดินคืนเป็นของวัดธรรมมิการามและตกเป็นที่ธรณีสงฆ์แล้ว วัดสามารถหารายได้ทำนุบำรุงพุทธศาสนาด้วยการทำสัญญาให้เช่าที่ดินแก่ชาวบ้านหมู่บ้านราชธานีที่ได้รับผลกระทบเพื่ออยู่อาศัย ย่อมทำได้อย่างถูกกฎหมาย ตามมติมหาเถระสมาคม และสมดังเจตนารมณ์ คุณยายเนื่อมผู้มอบที่ดินให้วัด โดยกระทำการได้เช่นเดียวกับวัดทั่วไปที่ให้ชาวบ้านเช่าที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย
ส่วนการพิจารณาให้ เช่าเพื่อทำสนามกอล์ฟต่อไปได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่วัดธรรมิการามวรวิหาร สำนักพุทธศาสนา ที่ต้องเป็นไปตามมติมหาเถระสมาคมเรื่องการให้เช่าที่ดินของวัดต่างๆด้วย ผู้เกี่ยวข้องอาจต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า การให้เช่าที่ดินเพื่อทำสนามกอล์ฟ เป็นสถานที่เพื่อการกีฬา สถานที่เพื่อความสนุกสนานบันเทิงหรือเข้าข่ายเล่นพนัน เป็นอบายมุขหรือไม่ หรือเป็นกิจต้องห้ามของพระภิกษุสงฆ์หรือไม่ ดังนั้น การให้เช่าที่ดินวัดทำสนามกอล์ฟต่อ จึงต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง
3)ตั้งงบประมาณรัฐชดเชยเยียวยา7,700ล้าน ได้หรือไม่ ตามที่อธิบดีกรมที่ดินให้สัมภาษณ์ว่า เตรียมจะตั้งงบประมาณจ่ายชดเชยถึง7,700ล้านบาท เป็นเรื่องที่นายกฯจะต้องพิจารณาให้รอบคอบระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะหากเป็นเรื่องที่ประชาชนผู้เสียหายที่เป็นผู้ซื้อโดยสุจริต ต้องเป็นผู้ฟ้องไล่เบี้ยจากผู้ขายที่ดินเดิมหรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่ห้ามสิทธิที่จะฟ้องฟ้องกรมที่ดินที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
มีผลประโยชน์ทับซ้อน
ซึ่งหน่วยงานรัฐคือกรมที่ดินจะต้องให้อัยการสู้คดีอย่างเต็มที่พิสูจน์ว่า ขบวนการซื้อขายที่ดินนั้นไม่สุจริต เจ้าหน้าที่รัฐทำตามกฎหมาย และหากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จ่ายเยียวยา ก็จะเป็นความรับผิดเฉพาะส่วน และจะไม่ใช่ราคา7,700 ล้านบาทที่คิดเอาเอง
ที่ผ่านมา ศาลจะพิพากษาให้ชดใช้ราคาที่ซื้อขายขณะนั้นพร้อมดอกเบี้ยเท่านั้น หลักสำคัญต้องพิจารณาว่า การซื้อขายนั้นสุจริตและสำคัญผิดหรือไม่ นายกฯต้องระมัดระวังในเรื่องอาจเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนหรือฝ่าฝืนผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และประมวลจริยธรรมนักการเมือง ด้วยเหตุที่เคยเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริหารบริษัทอัลไพน์กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ แม้จะมีการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นให้กับครอบครัวหลังเป็นนายกฯแล้วก็ตาม
ดังนั้น การพิจารณาจะใช้เงินงบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีประชาชน ในการชดเชยเยียวยาผู้ซื้อที่ดินไปทำสนามกอล์ฟหรือจัดสรรหมู่บ้านขายได้หรือไม่นั้น จำเป็นต้องทำด้วยความละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง กระทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควรและตามกฎหมายต่อไป
“เจิมศักดิ์”ชี้ผัวเซ็น-เมียซื้อ
ด้าน “The Publisher สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม” ได้เผยแพร่คำให้สัมภาษณ์ของ รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “เที่ยงเปรี้ยงปร้าง” ถึงกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ที่มีการเพิกถอนกรรมสิทธิให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ โดยเริ่มมีการพูดถึงการชดเชย เยียวยาว่า ต้องดูที่มาที่ทำให้ที่วัดกลายเป็นที่เอกชน โดยไล่เรียงให้เห็นถึงแผนการฮุบที่ธรณีสงฆ์ เกิดขึ้นในยุคที่นายเสนาะ เทียนทอง เป็น รมช.มหาดไทย ทำหน้าที่ รมว.มหาดไทย ลงนามในคำสั่งไม่อนุญาตให้วัดธรรมิการามวรวิหารครอบครองที่ดินเกิน 50 ไร่ เปิดทางให้เกิดการโอนกรรมสิทธิไปให้กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ จนมีการนำที่ดินทั้ง 2 แปลง ไปขายให้กับบริษัท อัลไพน์ เรียลเอสเตท และบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ (คลิกอ่านต่อที่ The Publisher สำนักข่าวออนไลน์เพื่อสังคม)
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก “The Publisher” ได้โพสต์ข้อความระบุว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการให้กรมที่ดินจ่ายชดเชย “อัลไพน์” กดเศร้า หากคุณเห็นด้วย กดโกรธ หากคุณไม่เห็นด้วย
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ เพราะเราจะไม่ตัดสินใคร แต่ขอเชิญทุกคนมาร่วมทำความเข้าใจความหมายของคำว่า “คอร์รัปชัน” ไปพร้อมๆ กัน
ปปช.เชิญ”หมอตุลย์”เป็นพยาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) และเครือข่ายกองทัพธรรม รวมตัวยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อ ให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจในการสะสางคดีบริหารกระบวนการบังคับโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีการรักษาตัวชั้น 14 และสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งเวชระเบียนให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เดินหน้า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ประสานแจ้งมาว่า ตามที่ คปท.เสนอชื่อ หมอตุลย์ เป็นพยานทางการแพทย์ วันนี้หลังกลับจาก ทำเนียบรัฐบาล ป.ป.ช.แจ้งว่า จะได้เชิญ หมอตุลย์ มาเป็นพยานในคดีชั้น 14
ตามที่ คปท.ร้องขอเป็นพยาน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี