วันนี้ 28 มกราคม 2568 เวลา 10.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นการเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ โดยเพิ่มหน้าที่ให้หน่วยงานของรัฐหรือผู้ให้บริการหมายโทรศัพท์ในการสั่งระงับหรือยกเลิกการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะเพื่อให้การคืนเงินแก่ผู้เสียหายให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแจ้งว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันได้มีพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น แต่ที่ผ่านพบว่า ยังมีมาตรการบังคับทางกฎหมายที่ยังไม่เพียงพอกับรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ได้มีการพัฒนาขึ้นของกลุ่มมิจฉาชีพ จึงต้องเร่งพัฒนาแก้ไขปรับปรุงกฎหมายปัจจุบันให้ทันสมัย เหมาะสม และครอบคลุมกับสถานการณ์ในยุคดิจิทัลที่อาชญากรรมทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ เช่น การเร่งคืนเงินให้แก่ผู้เสียหาย การอายัดบัญชีม้า การกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของสถาบันการเงินและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ และมาตรการการโอนเงินผิดกฎหมายผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล กรณีจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่จะบังคับใช้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อการติดตามควบคุม และบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ลดปัญหาสังคม และผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อาจรอดำเนินการได้ตามวิธีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายปกติ ซึ่งอาจมีกระบวนการและขั้นตอนที่ทำให้ประชาชนได้รับการเยียวยาความเสียหายออกไป จึงต้องเร่งให้มีมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพื่ออุดช่องว่างที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนและระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ถูกมิจฉาชีพทางออนไลน์หลอกลวงให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป และโดยที่ปัจจุบันการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีพบว่า ประเทศไทยมีคดีด้านการฉ้อโกงออนไลน์ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพิ่มปริมาณการกระทำความผิดและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประชาชนจะถูกมิจฉาชีพหลอกลวง โดยการส่งข้อความหลอกลวงต่าง ๆ ผ่านเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์หลอกลวง เช่น หลอกให้กลัวโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ หลอกให้ทำงานออนไลน์ หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน และการหลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น รวมทั้ง ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การใช้วิธีโทรหลอกลวงที่นับวันมีการพัฒนาวิธีการ รูปแบบการหลอกลวงแบบใหม่ ส่งผลเสียหายต่อประชาชน เศรษฐกิจและสังคมเป็นวงกว้าง ซึ่งจากข้อมูลสถิติการฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏว่า มีประชาชนถูกหลอกลวงได้รับความเดือดร้อนและสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก โดยจากสถิติในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนคดีออนไลน์รวม 402,542 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 42,662 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่การกระทำความผิดดังกล่าวจะขยายตัวและแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว อันก่อให้เกิดผลร้ายและเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่เป็นการเร่งการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ประกอบกับปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างเร่งด่วนและเรื่องดังกล่าวเป็นอาชญากรรมที่ทำต่อประชาชนทั่วไป อันเป็นเรื่องความปลอดภัยสาธารณะสร้างความเสียหายแก่ประชาชนจำนวนมาก และเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้ง มิจฉาชีพได้มีการพัฒนาและปรับปรุงรูปแบบการฉ้อโกงอยู่เสมอเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันและปราบปรามของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ และความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศให้ทันต่อสถานการณ์ดังกล่าว จึงจำเป็นต้องตราเป็นพระราชกำหนดขึ้น ตามมาตรา 172 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. ร่างพระราชกำหนดในเรื่องนี้มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพิ่มเติม โดยเพิ่มเติมมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ สรุปดังนี้
2.1 เพิ่มหน้าที่ให้สำนักงาน กสทช. หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราว เมื่อพบเหตุอันควรสงสัยเอง หรือได้รับข้อมูลว่ามีเลขหมายโทรศัพท์มือถือต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (การระงับซิมม้าหรือซิมที่ต้องสงสัยในการกระทำความผิด)
2.2 ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P) โดยห้ามให้บริการหรือแสดงว่าพร้อมจะให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ที่มิได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอุปโภคบริโภค (การซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างผิดกฎหมาย) และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชีและระงับการให้บริการหรือการทำธุรกรรมกับลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)
2.3 กำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะให้คณะกรรมการธุรกรรมเพื่อคืนเงินแก่ผู้เสียหาย โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายโดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน อันเป็นการทำให้ขั้นตอนกระบวนพิจารณาการคืนเงินแก่ผู้เสียหายเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น
2.4 เพิ่มเติมบทกำหนดโทษสำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในกรณีดังต่อไปนี้ เช่น กำหนดโทษสำหรับผู้ให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัล และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดออนไลน์มาฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับกำหนดโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กำหนดโทษสำหรับผู้ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือสื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
2. เรื่อง ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ 1) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบ และการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. .... และ 2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างประกาศรวม 2 ฉบับ ที่กระทรวงแรงงานเสนอ มีสาระสำคัญดังนี้
1) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงจากวาตภัยและอุทกภัยเพิ่มเติม รวม 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และพัทลุง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่นายจ้างและผู้ประกันตนในงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ถึงงวดเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568
งวดเดือน |
ขยายเป็น |
พฤศจิกายน 2567 |
15 มีนาคม 2568 |
ธันวาคม 2567 |
15 เมษายน 2568 |
มกราคม 2568 |
15 พฤษภาคม 2568 |
กุมภาพันธ์ 2568 |
15 มิถุนายน 2568 |
(ซึ่งเดิม ในงวดของเดือนนั้นจะต้องยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตน ทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป เช่น ในงวดเดือนพฤศจิกายน 2567 จะต้องนำส่งภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2567)
2) ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขให้ลดหย่อนการออกเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตนในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนการออกเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของนายจ้าง ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงเพิ่มเติม รวม 3 จังหวัดดังกล่าว เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
แก่นายจ้างและผู้ประกันตน โดยให้การลดหย่อนการออกเงินสมทบมีผลใช้บังคับในงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ถึงงวดเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 (ซึ่งในงวดเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 เดิมในส่วนนายจ้างซึ่งขึ้นทะเบียนนายจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ซึ่งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนจะต้องนำส่งร้อยละ 5 ซึ่งตามร่างประกาศฉบับนี้ลดให้เหลือร้อยละ 3 และเดิมในส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะต้องนำส่งเงินสมทบ จากเดือนละ 432 บาท เป็นเดือนละ 283 บาท ทั้งนี้ให้มาตรการลดหย่อนนี้มีระยะเวลา 6 เดือน และไม่กระทบต่อเงินสมทบของรัฐบาล)
ทั้งนี้ ร่างประกาศรวม 2 ฉบับในเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้วสำหรับการขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบและการลดหย่อนการออกเงินสมทบจะทำให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้ลดลง อย่างไรก็ดี การขยายระยะเวลาดังกล่าวจะเป็นการช่วยเหลือเยียวยาภาระด้านการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน และการปรับลดอัตราเงินสมทบดังกล่าวจะส่งผลดีต่อนายจ้างและผู้ประกันตนในส่วนของนายจ้างจะเป็นการช่วยแบ่งเบาและลดภาระค่าใช้จ่ายในสถานประกอบการ โดยส่งผลให้นายจ้างมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นสามารถนำเงินดังกล่าวมาฟื้นฟูสถานประกอบการจากความเสียหายที่เกิดขึ้นอันเนื่องจากภัยพิบัติ ส่วนผู้ประกันตนสามารถนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเกิดการหมุนเวียนในเศรษฐกิจและลดปัญหาสภาพคล่องและปัญหาทางการเงินของผู้ประกันตน เพื่อให้สามารถนำเงินดังกล่าวมาใช้จ่ายเพื่อช่วยลดความเสียหาย อันเกิดจากภัยพิบัติและฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ที่ได้รับผลกระทบจากการประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรงจากกรณีวาตภัยและอุทกภัย
3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฯ
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาตฯ ที่กระทรวงพลังงานเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเดิมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแจ้ง การอนุญาต และอัตราค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 โดยแก้ไขหลักเกณฑ์ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 (เช่น คลังน้ำมัน ปั๊มน้ำมัน) ไม่ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงการใช้ถังเก็บน้ำมันดีเซล (แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ถังเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟมาก ถังเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟปานกลาง และถังเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟน้อย) จากชนิดที่ไวไฟมากกว่ามาเก็บน้ำมันดีเซลชนิดที่ไวไฟน้อยกว่า (จากเดิมที่กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงการใช้ถังเก็บน้ำมันดีเซลต่างชนิดเป็นไม่ต้องแจ้งหากมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ถังเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟมากมาเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟปานกลางและชนิดไวไฟน้อย และการใช้ถังเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟปานกลางมาเก็บน้ำมันดีเซลชนิดไวไฟน้อย) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการในปัจจุบันที่มีแนวโน้มเป็นน้ำมันชนิดไวไฟปานกลางและชนิดไวไฟน้อยอันเนื่องมาจากกระบวนการผลิตและการขนส่ง และเป็นการอำนวยความสะดวกและลดภาระแก่ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ 3 ทั้งนี้ คณะกรรมการควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงได้เห็นชอบร่างกฎกระทรวงดังกล่าวด้วยแล้ว
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณเห็นชอบด้วย โดยกรมธุรกิจพลังงานได้มีหนังสือยืนยันให้ความเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ได้ตรวจพิจารณาดังกล่าวด้วยแล้ว และกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงบประมาณเห็นว่า กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งประชาสัมพันธ์การแก้ไขข้อกฎหมาย สร้างความรู้ความเข้าใจและกำกับติดตามให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันและกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของเรื่อง
มาตรา 63/15 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐสามารถยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินได้ โดย “หน่วยงานของรัฐ” ตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายถึง กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง สำหรับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนั้น เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทองค์การมหาชนอยู่ในกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แต่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตามบทนิยามคำว่า “หน่วยงานของรัฐ” ตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ (ซึ่งหน่วยงานของรัฐตามบทบัญญัติดังกล่าว หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง) ทำให้ไม่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ เช่น กรณีผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูล หรือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้กระทำผิดหรือทำให้เกิดความเสียหายเพราะฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งการบังคับคดีให้ชำระค่าปรับทางปกครองกรณีดังกล่าวมีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวกระทรวงดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงมาเพื่อดำเนินการ มีสาระสำคัญ เป็นการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองได้ เพื่อให้การบังคับทางปกครองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการกำหนดค่าล่วงเวลาและค่าตอบแทนการทำงานที่เกินกว่าแปดชั่วโมงในงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินอันเป็นหน้าที่การทำงานปกติของลูกจ้าง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการกำหนดค่าล่วงเวลาและค่าตอบแทนการทำงานที่เกินกว่าแปดชั่วโมงในงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินอันเป็นหน้าที่การทำงานปกติของลูกจ้าง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
กำหนดอัตราค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนการทำงานกรณีทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมงในงานเฝ้าดูแลสถานที่หรือทรัพย์สินอันเป็นหน้าที่การทำงานปกติของลูกจ้างในวันทำงานปกติให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลาในอัตราไม่น้อยกว่า 1.25 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงและสำหรับการทำงานในวันหยุด ให้จ่ายค่าทำงานในวันหยุดสำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมงและค่าล่วงเวลาในอัตราไม่น้อยกว่า 2.5 เท่า เพื่อคุ้มครองลูกจ้างให้ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องของค่าตอบแทนในการทำงานนอกเวลาทำงานปกติ ทั้งนี้ กรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกำหนดเวลาทำงานปกติเกินกว่า 8 ชั่วโมง เมื่อรวมเวลาทำงานปกติต่อสัปดาห์แล้วจะต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง (เดิม ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันทำงานและค่าล่วงเวลาในวันหยุด แต่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเท่ากับอัตราจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ) โดยให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามร้อยหกสิบห้าวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป และให้ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดงานที่ลูกจ้างไม่มีสิทธิได้รับค่าล่วงเวลาในวันหยุด พ.ศ. 2552
เศรษฐกิจ-สังคม
6. เรื่อง การนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช” เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบเอกสารนำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม “วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช” เพื่อขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก
2. เห็นชอบให้ประธานกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก ลงนามในเอกสารนำเสนอฯ ต่อศูนย์มรดกโลก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส
3. กรณีที่ศูนย์มรดกโลกมีความเห็นต่อความครบถ้วนสมบูรณ์ (Complete) ของเอกสารนำเสนอฯ และมีข้อเสนอแนะในการปรับแก้ไขเอกสารโดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญของเอกสารนำเสนอฯ โดยหากกรมศิลปากรพิจารณาแล้วไม่กระทบต่อสาระสำคัญของเอกสารนำเสนอฯ ที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เห็นควรให้กรมศิลปากรดำเนินการปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวตามความเห็นของศูนย์มรดกโลก โดยพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ก่อนนำเสนอเอกสารดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการมรดกโลกทางวัฒนธรรม และคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ และนำเรียนคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ก่อนจัดส่งให้ศูนย์มรดกโลก ตามรอบการจัดส่งภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ต่อไป
(ประเทศไทยต้องเสนอเอกสารนำเสนอฯ ต่อศูนย์มรดกโลกภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้การขอรับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกสามารถดำเนินการได้ทันภายในรอบการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกปี 2568)
7. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 (มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่าฯ) วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 620,691,360 บาท โดยมีรายละเอียดแยกรายหน่วยงาน ดังนี้
1. กรมป่าไม้ วงเงิน 187,022,330 บาท
2. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช วงเงิน 433,669,030 บาท
สาระสำคัญของเรื่อง
จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นและมีค่ามาตรฐานอยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยมีแหล่งกำเนิดส่วนหนึ่งมาจากไฟป่าในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จึงร่วมกับทุกภาคส่วนจัดทำมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวในวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,075,131,090 บาท โดยนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ ทส. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 620,691,360 บาท ภายใต้มาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2568 ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการจ้างเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า รวมทั้งการจัดหาอุปกรณ์ดับไฟป่า ให้กับกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งจะร่วมดำเนินการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ต่อไป ดังนี้
หน่วย : บาท
หน่วยงาน |
กิจกรรม |
วงเงินงบประมาณ |
1. กรมป่าไม้ |
- กิจกรรมที่ 1 สนับสนุนการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -กิจกรรมที่ 2 สนับสนุนการควบคุมไฟป่าให้แก่ชุมชนที่เสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า |
187,022,330 |
2. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช |
- กิจกรรมที่ 1 การบูรณาการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 จัดตั้งจุดเฝ้าระวังโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน - กิจกรรมที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง - กิจกรรมที่ 3 การสำรวจและจัดทำลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและเขตห้ามล่าสัตว์ป่าภายใต้กิจการควบคุมไฟป่า - กิจกรรมที่ 4 การบูรณาการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศร่วมกับกองทัพภาคที่3/ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 3/กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 กิจกรรมย่อยที่ 4.1 การสนับสนุน ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กิจกรรมย่อยที่ 4.2 การป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือด้วยอากาศยาน |
433,669,030 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น |
620,691,360 |
8. เรื่อง การกำหนดเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในการกำหนดเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง การป้องกันและการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากความสัมผัสฝุ่นละอองไม่เกิน 2.5 ไมครอน ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562
2. มอบหมายให้คณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พิจารณาปรับปรุงหรือกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อใช้ดำเนินการในเขตพื้นที่ที่ต้องการมีการเฝ้าระวัง การป้องกันและควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ได้ตามความเหมาะสมและสมควรแก่กรณี
สาระสำคัญ
1. ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2563 และประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ชื่อหรืออาการสำคัญของโรคจากสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2565 ซึ่งออกตามความในมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 กำหนดให้โรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เป็นโรคจากสิ่งแวดล้อม ตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2562
2. ด้วยโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เป็นโรคจากสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมลพิษหรือสิ่งปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และทำให้เกิดโรคหรือผลกระทบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประชาชนกลุ่มเปราะบางที่ได้รับสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 เกินค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด (ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไปกำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ค่าเฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง ต้องไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) คณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม ในคราวการประชุมครั้งที่ 1/2568 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 จึงได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14 (2) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 มีมติให้มีการเสนอเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ต่อคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดเขตพื้นที่เป็น 2 ระดับ ได้แก่ เขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังและการป้องกันโรค และเขตพื้นที่ที่ต้องมีการควบคุมโรค และให้ปรับใช้มาตรการเพื่อดำเนินการในเขตพื้นที่ทั้ง 2 ระดับดังกล่าวตามสมควรแก่กรณี ดังนี้
2.1 เขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังและการป้องกันโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ได้แก่ พื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ไม่เกิน ๗๕ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยให้พิจารณาใช้มาตรการเพื่อดำเนินการในเขตพื้นที่ดังกล่าว ดังนี้
(1) กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนหน้ากากอนามัย แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง
(2) กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมพื้นที่หรือห้องปลอดฝุ่นในอาคารสถานที่ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน หรือศูนย์รองรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง
2.2 เขตพื้นที่ที่ต้องมีการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ได้แก่ พื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เฉลี่ยในเวลา 24 ชั่วโมง เกิน 75 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยให้พิจารณาใช้มาตรการเพื่อดำเนินการในเขตพื้นที่ดังกล่าว ดังนี้
(1) ใช้มาตรการสำหรับเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังและการป้องกันโรค ตามข้อ 2.1 อย่างต่อเนื่อง
(2) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ พิจารณาปรับรูปแบบการปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงาน โดยให้เจ้าหน้าที่หรือบุคลากรของหน่วยงานของตนปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งเพื่อเป็นการป้องกันหรือลดผลกระทบต่อสุขภาพจากสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 เป็นลำดับแรก และงดกิจกรรมกลางแจ้งที่ต่อเนื่องเพื่อลดการสัมผัสฝุ่นละออง PM2.5 โดยในส่วนของภาคเอกชนให้พิจารณาปรับรูปแบบการดำเนินงานหรือวิธีการทำงานของหน่วยงานหรือองค์กรเพื่อดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวด้วย ตามสมควรแก่กรณี
(3) ให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พิจารณาดำเนินการบังคับใช้กฎหมายเพื่อใช้ในการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 อย่างเคร่งครัด
(4) ใช้กลไกและมาตรการทางกฎหมายตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 โดยให้คณะกรรมการควบคุมโรค จากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมจังหวัดหรือคณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมกรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี พิจารณาดำเนินการให้คำแนะนำแก่อธิบดีกรมควบคุมโรค หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมควบคุมโรคมอบหมาย เพื่อประกาศเขตพื้นที่ที่จำเป็นต้องเฝ้าระวัง ป้องกัน หรือควบคุมโรค หรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งเป็นกรณีที่หากปล่อยไว้อาจเกิดหรือก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพอนามัยของประชาชนในเขตพื้นที่ เพื่อให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการเฝ้าระวัง การป้องกัน หรือการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน สำหรับเขตพื้นที่นั้นเป็นการเฉพาะ หรือกำหนดมาตรการอื่นใดที่เหมาะสมแก่สภาพของพื้นที่นั้นเป็นการเฉพาะ
ทั้งนี้ กรณีมีความจำเป็นต้องปรับปรุงหรือกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อใช้ดำเนินการในเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาด ไม่เกิน 2.5 ไมครอน ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณามอบหมายให้คณะกรรมการควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อใช้ดำเนินการในเขตพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวัง การป้องกันและการควบคุมโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ได้ตามความเหมาะสมและสมควรแก่กรณีต่อไป
ประโยชน์และผลกระทบ
เพื่อให้มีมาตรการสำหรับการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 ในด้านการดูแลสุขภาพของประชาชนจากโรคหรืออาการที่เกิดจากการสัมผัสฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ที่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ของแต่ละพื้นที่ โดยใช้มาตรการและกลไกตามกฎหมายตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2562 บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
9. เรื่อง แผนการใช้เงินกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 7,987.61 ล้านบาท เพื่อ กสศ. จะได้จัดทำรายละเอียดคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เสนอสำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาต่อไป
สาระสำคัญ
คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (คณะกรรมการบริหาร
กสศ.) ได้อนุมัติแผนการใช้เงินของ กสศ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 และให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ซึ่งแผนการใช้เงินดังกล่าว มีกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 7,987.61 ล้านบาท มีแผนงานรวม 5 แผนงาน (จำนวนแผนงานเท่ากับปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ) และเมื่อเปรียบเทียบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรวม 6,983.65 ล้านบาท พบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้น 1,003.96 ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
แผนงาน |
คำขอตั้งงบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 |
งบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ได้รับการจัดสรร |
เพิ่ม/ลด |
แผนงาน 1 สนับสนุนการศึกษาและการเรียนรู้ให้เต็มตามศักยภาพ มีวัตถุประสงค์ เช่น (1) เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และช่วยเหลือนักเรียนที่อยู่ในครัวเรือนยากจนพิเศษ โดยลดอุปสรรคการเข้าถึงการศึกษาหรือการมาเรียนของนักเรียนยากจนพิเศษ และส่งเสริมให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาระดับที่สูงขึ้น
|
6,402.29 |
5,981.72 |
420.561 |
แผนงาน 2 พัฒนาครู หน่วยจัดการเรียนรู้และต้นแบบการจัดการศึกษาและการเรียนที่ยืดหยุ่น มีวัตถุประสงค์ |
466.07 |
301.07 |
165.002 |
แผนงาน 3 เสริมสร้างความร่วมมือภาคีเครือข่าย เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์ |
557.20 |
330.50 |
226.703 |
แผนงาน 4 สื่อสารและพัฒนาองค์ความรู้ วิจัยและนวัตกรรม เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา มีวัตถุประสงค์ |
221.33 |
129.31 |
92.024 |
แผนงาน 5 บริหารและพัฒนา กสศ. ให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนาบุคลากร กระบวนการทำงาน การจัดการความรู้ภายในองค์กร และส่งเสริมการทำงานให้มีคุณภาพ |
340.73 |
241.06 |
99.675 |
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1) เกิดหลักประกันการเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและการเรียนรู้เต็มศักยภาพของเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาส โดยลดอุปสรรคการเข้าถึงการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบการศึกษา รวมทั้งสามารถชี้เป้าเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสเพื่อส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนติดตามช่วยเหลือ เพื่อให้สามารถคงอยู่ในระบบการศึกษาและการเรียนรู้ให้เต็มตามศักยภาพ
2) เกิดต้นแบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีทางเลือกและยืดหยุ่นอย่างมีคุณภาพ โดยส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพตัวแบบของหน่วยจัดการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งในและนอกระบบการศึกษาจำนวน 2,722 แห่ง ส่งผลให้ครูในและนอกระบบ นักจัดการเรียนรู้และครูอาสา จำนวน 37,490 คน ได้รับการพัฒนาให้จัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นอย่างมีคุณภาพ รวมถึงเกิดระบบนิเวศทางการศึกษาที่สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนทั้งในและนอกระบบการศึกษา ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้หรือทักษะของผู้เรียนในโรงเรียน/หน่วยจัดการเรียนรู้ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กสศ. ดีขึ้น
3) ทุกภาคส่วนร่วมเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา โดยเหนี่ยวนำความร่วมมือภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมและเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนผ่านนวัตกรรมการระดมทรัพยากรและเชื่อมโยงข้อมูลโดยใช้องค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมในการทำงานเพื่อส่งต่อข้อเสนอเชิงนโยบายและต้นแบบการทำงาน รวมทั้งการดำเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาให้กลายเป็นศูนย์
___________________
1งบประมาณที่เพิ่มขึ้น จำนวน 420.56 ล้านบาท มาจากการปรับเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนทุนเสมอภาค ภาคเรียนที่ 1/2569 จำนวน 4,200 บาทต่อคนต่อปีการศึกษา (ซึ่งเป็นปีสุดท้าย) ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 และการพัฒนาระบบฐานข้อมูล
2งบประมาณที่เพิ่มขึ้น จำนวน 165 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาตัวแบบการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและหลากหลายทางเลือก เพื่อรองรับเด็กและเยาวชนที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและการเรียนรู้โดยโรงเรียนปลายทางครูรัก(ษ์)ถิ่น รวมทั้งการกำหนดให้มีการพัฒนาหน่วยจัดการเรียนรู้และต้นแบบนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นสำหรับกลุ่มประชากรวัยแรงงานนอกระบบและครัวเรือนที่มีแนวโน้มกลายเป็นครัวเรือนยากจนข้ามรุ่น ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีหัวหน้าครอบครัวที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ทำให้เกิดโอกาสความไม่มั่นคงทางการเงินเนื่องจากไม่มีเงินออม ส่งผลให้เด็กและเยาวชนในครอบครัวต้องหลุดออกนอกระบบการศึกษาเพราะครอบครัวไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาได้
3งบประมาณที่เพิ่มขึ้น จำนวน 226.70 ล้านบาท เนื่องจากมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการติดตาม ช่วยเหลือ ส่งต่อ และดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านกลไกระดับพื้นที่ครอบคลุม 77 จังหวัด จำนวน 100,000 คน (เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 50,000 คน)
4งบประมาณที่เพิ่มขึ้น จำนวน 92.02 ล้านบาท เนื่องจากนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อการชี้เป้ากลุ่มเป้าหมายและสนับสนุนการใช้ฐานข้อมูล รวมทั้งการสื่อสารนโยบาย/มาตรการต่างๆ เช่น มาตรการขับเคลื่อนประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบให้กลายเป็นศูนย์
5งบประมาณที่เพิ่มขึ้น จำนวน 99.67 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายประจำของสำนักงาน เช่น งบบุคลากร ค่าสาธารณูปโภค ตามภารกิจและกรอบโครงสร้างอัตรากำลังของบุคลากรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีไม่เพียงพอต่อการดำเนินการดังกล่าว
10. เรื่อง การขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค (งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินการขอรับการจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภค งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวนทั้งสิ้น 377.40 ล้านบาท ตามมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เสนอ ทั้งนี้ เพื่อให้ สปน. นำไปจัดทำคำของบประมาณเพื่อจัดสรรเงินอุดหนุนเป็นรายปีเป็นการจ่ายขาดให้แก่สภาองค์กรของผู้บริโภคในคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของ สปน. ต่อไป
สาระสำคัญ
สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เสนอคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวนทั้งสิ้น 377.40 ล้านบาท สำหรับ 4 แผนงาน สรุปได้ ดังนี้
แผน/กิจกรรม/โครงการ |
จำนวนโครงการกิจกรรมย่อย |
1) แผนคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค |
8 |
1.1) ดำเนินงานคุ้มครองผู้บริโภคแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว |
2 |
1.2) เฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย เพื่อลดปัญหาและผลกระทบผู้บริโภค |
4 |
1.3) ช่วยเหลือผู้บริโภคในการฟ้องร้องคดี |
2 |
2) แผนเสนอแนะและผลักดันนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค |
10 |
2.1) พัฒนาและติดตามนโยบายเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค |
3 |
2.2) ความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียในการคุ้มครองผู้บริโภค |
5 |
2.3) พัฒนาองค์ความรู้เพื่อเสนอนโยบาย กฎหมาย หรือ มาตรการการคุ้มครองผู้บริโภค |
2 |
3) แผนสร้างความเข้มแข็งให้กับสมาชิกและองค์กรของผู้บริโภค |
12 |
3.1) เพิ่มขีดความสามารถของหน่วยงานประจำจังหวัด หน่วยงานเขตพื้นที่ในการคุ้มครองผู้บริโภค |
5 |
3.2) พัฒนาสมรรถนะสมาชิกเพื่อเพิ่มศักยภาพในการคุ้มครองผู้บริโภค |
4 |
3.3) พัฒนาองค์กรของผู้บริโภคให้เป็นสมาชิกได้จำนวน 77 จังหวัด |
3 |
4) แผนการสื่อสารสาธารณะ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค |
5 |
4.1) บริหารการสื่อสารเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคอย่างทันท่วงที |
3 |
4.2) สร้างองค์ความรู้ให้ผู้บริโภคตระหนักและรับรู้ในสิทธิของตน |
2 |
5) แผนพัฒนาการดำเนินงานและบริหารจัดการสภาองค์กรของผู้บริโภค |
13 |
5.1) การบริหารและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรสำนักงานสภาองค์การของผู้บริโภค |
4 |
5.2) ยกระดับการบริหารจัดการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค |
1 |
5.3) พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค |
2 |
5.4) ประเมินผลและปรับปรุงวิธีการทำงาน |
5 |
5.5) การบริหารจัดการ แผนงาน งบประมาณ |
1 |
ทั้งนี้ สปน. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว
11. เรื่อง ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป กระทรวงสาธารณสุข (โครงการก่อสร้างสถาบันมะเร็งแห่งชาติแห่งใหม่ สาขาบางขุนเทียน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป สำหรับโครงการก่อสร้างสถาบันมะเร็งแห่งชาติแห่งใหม่ สาขาบางขุนเทียน จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 3,307,716,100 บาท ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. การก่อสร้างสถาบันมะเร็งแห่งชาติแห่งใหม่ สาขาบางขุนเทียน เป็นโครงการก่อสร้างที่มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 138,419.44 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยรายการดังต่อไปนี้
1. อาคาร A และอาคาร B (อาคารรังสีรักษา) พื้นที่ประมาณ 83,396 ตารางเมตร
2. อาคาร C (อาคารพลังงาน และห้องปฏิบัติการวิจัย) พื้นที่ประมาณ 8,032.44ตารางเมตร
3. อาคาร D (ทางเดินเชื่อม) พื้นที่ประมาณ 306 ตารางเมตร
4. อาคาร E (หอพระพุทธดำรงนิราดูร) พื้นที่ประมาณ 54 ตารางเมตร
5. อาคาร F (อาศรมพระอาจารย์แพทย์ฯ) พื้นที่ประมาณ 10 ตารางเมตร
6. ระบบสาธารณูปโภคของโครงการ พื้นที่ประมาณ 25,363.50 ตารางเมตร
7. งานภูมิสถาปัตยกรรม พื้นที่ประมาณ 21,257.50 ตารางเมตร
8. ค่าถมดิน (ระยะที่ 2) พื้นที่ประมาณ 64,300 ตารางเมตร
2. งบประมาณโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2573 วงเงินรวม ทั้งสิ้น 3,307,716,100 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปีงบประมาณ |
จำนวน (บาท) |
2569 |
699,581,955 |
2570 |
363,848,772 |
2571 |
595,388,898 |
2572 |
820,313,592 |
2573 |
828,582,883 |
รวม |
3,307,716,100 |
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข อาคารสามารถรองรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งที่มีความซับซ้อนได้ครอบคลุม (จำนวน 200 เตียง) เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ การวิจัย เฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง ที่ครอบคลุมทุกด้านของประเทศ และสามารถพัฒนาระบบบริการรักษาพยาบาลให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับต่างประเทศแก่ผู้ป่วยทุกลุ่มอย่างเท่าเทียม
2. ด้านสังคม สามารถเพิ่มคุณภาพการให้บริการทางการแพทย์ การเข้าถึงบริการของผู้ป่วย ลดความแออัดของผู้รับบริการ เพิ่มความรวดเร็วในการรักษามะเร็งแก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมและทันท่วงที นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาชุมชนโดยรอบ อาทิ การเพิ่มการจ้างงานในพื้นที่ การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนจากผู้มาใช้บริการ
12. เรื่อง โครงการสถาบันการแพทย์ศิริราชระดับนานาชาติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. การดำเนินโครงการสถาบันการแพทย์ศิริราชระดับนานาชาติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลฯ) (โครงการฯ) (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2574) งบประมาณจำนวน 16,960.59 ล้านบาท [แบ่งเป็นงบลงทุน ได้แก่ ค่าก่อสร้าง 7,720.00 ล้านบาท ค่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์และครุภัณฑ์สารสนเทศ 8,430.00 ล้านบาท และงบบุคลากร (หมวดเงินเดือน) 810.59 ล้านบาท] และสนับสนุนโครงการฯ ให้แล้วเสร็จ โดยขออนุมัติจากเงินงบประมาณตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2574 จำนวน 11,048.33 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 5,912.27 ล้านบาท
2. ให้มหาวิทยาลัยมหิดลนำค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ตามข้อ 1 ตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ต่อสำนักงบประมาณ (สงป.)
สาระสำคัญ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการดำเนินโครงการสถาบันการแพทย์ศิริราชระดับนานาชาติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล (คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลฯ) (โครงการฯ) (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2574) งบประมาณรวม 16,960.59 ล้านบาท [แบ่งเป็นงบลงทุน ค่าก่อสร้าง 7,720.00 ล้านบาท ค่าครุภัณฑ์ทางการแพทย์และครุภัณฑ์สารสนเทศ 8,430.00 ล้านบาท และงบบุคลากร (หมวดเงินเดือน) 810.59 ล้านบาท] โดยเป็นเงินงบประมาณ จำนวน11,048.33 ล้านบาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน 5,912.27 ล้านบาท รวมทั้งให้มหาวิทยาลัยมหิดลนำค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว ตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ต่อสำนักงบประมาณ (สงป.) โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในทวีปเอเชีย ส่งมอบการบริการทางการแพทย์ชั้นสูงระดับเหนือตติยภูมิ มีมาตรฐานระดับสากล สามารถรองรับการขยายศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์ในอนาคต รวมทั้งเป็นศูนย์การฝึกอบรมตามมาตรฐานสากลสำหรับแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้ โครงการฯ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) เป็นสถาบันการแพทย์ภาครัฐแห่งแรกของประเทศไทยที่เป็นต้นแบบและเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นานาชาติ (Medical Hub) ผ่านการให้บริการด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ระดับเหนือตติยภูมิ เป็นที่ยอมรับและทัดเทียมในระดับสากล
(2) ยกระดับการเป็นสถาบันทางการแพทย์ระดับชั้นนำของประเทศ สร้างศักยภาพในการเป็นต้นแบบและเป็นแหล่งอ้างอิงด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพของมหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งเป็นศูนย์การฝึกอบรมระดับนานาชาติตามมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นผู้นำในวงการสาธารณสุขไทยและระบบสุขภาพระดับโลก
(3) ระยะเวลาการดำเนินโครงการ 6 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2574 และระยะเวลาก่อสร้าง 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2573
13. เรื่อง โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับงบประมาณ ที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต (พ.ศ. 2569 – 2572) วงเงินงบประมาณ 3,140.31 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (พ.ศ. 2569 – 2572) โดยขอผูกพันงบประมาณ ดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 749.50 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จำนวน 1,031.89 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 จำนวน 938.92 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2572 จำนวน 420.00 ล้านบาท
2. ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ต่อสำนักงบประมาณ (สงป.)
สาระสำคัญ
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มีภารกิจที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การผลิตกำลังคนเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ รวมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในทุกมิติของประเทศ โดยในปัจจุบันพบว่า พื้นที่จังหวัดภูเก็ตและกลุ่มพื้นที่อันดามัน เกิดปัญหาเกี่ยวกับช่องว่างของระบบสาธารณสุขที่ยังขาดความพร้อมของบุคลากรที่มีความสามารถในการดูแลรักษาโรคที่มีความซับซ้อนในพื้นที่ รวมทั้งขาดกำลังคนตัวด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ และสาธารณสุขเพื่อรองรับการพัฒนาที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ โดยเฉพาะการตอบสนองการท่องเที่ยวมูลค่าสูง หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จึงได้จัดทำแผนการผลิตบัณฑิตและพัฒนากำลังคนทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข ตลอดจนการร่วมพัฒนาศักยภาพกำลังคนในพื้นที่อันดามันและภาคใต้ในลักษณะการยกระดับทักษะการทำงาน (Upskill) การปรับปรุงและฝึกฝนทักษะการทำงานเดิม (Reskill) และการเพิ่มเติมทักษะการทำงานใหม่ (Newskill) ให้แก่บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ในระบบสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งมีเป้าหมายในการเป็นสถาบันหลักที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรมเชิงการแพทย์และส่งเสริมสุขภาพ สาธารณสุข และการบริการสุขภาพที่หลากหลายให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งหลอมรวมเป็นบริบทการพัฒนาอันเข้มแข็งและเป็นเอกลักษณ์แก่พื้นที่ภาคใต้ การหนุนเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมูลค่าสูงภายใต้หมุดหมายของการเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลกหรือ Medical Hub ของประเทศไทย (ไทย) ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
2. โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต เป็นการจัดตั้งศูนย์การแพทย์ เฉพาะทางขนาด 300 เตียง เน้นการบริการในระดับตติยภูมิ (Tertiary Care) การแพทย์แม่นยำ การแพทย์ทางไกล และการบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติระดับ Premium ซึ่งเป็นการให้บริการรักษาแบบเฉพาะทางและโรคที่มีความซับซ้อนเพื่อเสริมการให้บริการของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในพื้นที่อันดามัน รวมถึงการผลิตและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Phuket Health Sandbox
14. เรื่อง โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน 3 GeV และห้องปฏิบัติการ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติในหลักการโครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนระดับพลังงาน 3 พันล้านอิเล็กตรอนโวลต์ (GeV) และห้องปฏิบัติการ (โครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนฯ)
2. อนุมัติวงเงินโครงการสร้างเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนฯ โดยให้รวมค่าที่ปรึกษาในการคาดการณ์ราคาโดยวิเคราะห์แนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจ (Price Escalation) งบสำรองสำหรับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องแต่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเคราะห์ความเสี่ยงไว้ก่อนได้ (Physical Contingency) ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรนำเข้า ค่างานออกแบบอาคารในสถานที่ตั้งใหม่ ค่าเช่าที่ดิน ค่าใช้จ่ายในการสรรหาบุคลากรดำเนินงาน ลูกจ้างโครงการ การตลาด ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จำนวนรวมทั้งสิ้น 15,990 ล้านบาท โดยเป็นรายการลงทุนจำนวน 14,365.43 ล้านบาท และรายการดำเนินงาน จำนวน 1,624.57 ล้านบาท
3. อนุมัติให้สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) (สถาบันฯ) นำค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการดังกล่าว ตามข้อ 2 ตั้งคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ต่อสำนักงบประมาณ (สงป.)
4. มอบหมายให้ สงป. จัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมและให้กระทรวงการคลัง (กค.) ประสานงานแหล่งเงินกู้ต่อไป
ประโยชน์ที่จะได้รับ
1. การพัฒนาและวิจัยของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศจากการมีโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลดล็อกองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อนำไปใช้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร การแพทย์ สุขภาพ พลังงาน สิ่งแวดล้อม
2. ยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศสู่อุตสาหกรรมการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงด้วยการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เกิดการผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์ภายในประเทศ โดยมีเป้าหมายในการผลิตอุปกรณ์ภายในประเทศมากกว่าร้อยละ 50 รวมทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และเป็นรากฐานสู่เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น เทคโนโลยีการรักษามะเร็งด้วยโปรตอน เทคโนโลยีการสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก
3. พัฒนากำลังคนภายในประเทศให้มีความสามารถและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีขั้นสูงทั้งด้านวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์สำหรับเครื่องกำเนิดแสงซินโครตรอนและระบบลำเลียงและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีซินโครตรอนในภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม
15. เรื่อง โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit Portfolio) รายบุคคลระดับอุดมศึกษา สําหรับการวางแผนและพัฒนากําลังคนของประเทศ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะ (Skill/Credit Portfolio) รายบุคคลระดับอุดมศึกษาสําหรับการวางแผนและพัฒนากําลังคนของประเทศ (ระบบแฟ้มสะสมทักษะฯ) วงเงินรวมทั้งสิ้น 5,413.75 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินการ 4 ปี (พ.ศ. 2569 - 2572)
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จํานวน 773.39 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 จํานวน 1,160.09 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2571 จํานวน 1,546.78 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2572 จํานวน 1,933.48 ล้านบาท
2. อนุมัติให้สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
นําค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการตามข้อ 1 ตั้งคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569สําหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ต่อสํานักงบประมาณ (สงป.)
สาระสำคัญของเรื่อง
อว. รายงานว่า ปัญหาด้านการศึกษาของประเทศไทย (ไทย) ในภาพรวม คือ คุณภาพการศึกษา ความเหลื่อมล้ำในระบบการศึกษาไทยที่เกิดจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและพื้นที่ภาระค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปสำหรับผู้ปกครองโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ และหลักสูตรการเรียนที่ยังไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน รวมทั้งหลักสูตรการศึกษาไทยยังไม่ได้รับการพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านทักษะดิจิทัล การคิดเชิงวิเคราะห์และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว อว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้จัดทำโครงการระบบแฟ้มสะสมทักษะฯ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1) วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักศึกษาสามารถจัดเก็บ สะสม และโอนย้ายหน่วยกิตข้ามสถาบันและหลักสูตรได้อย่างสะดวก ช่วยลดขั้นตอนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ขณะเดียวกันนายจ้างและภาคธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวในการประเมินสมรรถนะของบัณฑิตได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานการศึกษาและผู้กำหนดนโยบายได้เห็นภาพรวมของทักษะกำลังคน สามารถวางแผน และปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งช่วยให้นักศึกษาก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2) แนวทางการดำเนินโครงการ อว. จะดําเนินการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะฯ ด้วยวิธีการเช่าใช้บริการเป็นรายปี ระยะเวลาดําเนินโครงการ 4 ปี (พ.ศ. 2569 - 2572) โดยระบบแฟ้มสะสมทักษะฯ จะมีระบบงานภายในอย่างน้อย 19 ระบบ เช่น
ระบบ |
รายละเอียด |
ระบบจัดการผู้ใช้งาน (User Management) |
เป็นระบบที่สามารถรองรับการยืนยันตัวตนด้วยวิธีที่หลากหลาย เช่น การตั้งค่ารหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูง การยืนยันตัวตน ผ่านรหัสแบบใช้ครั้งเดียว (One Time Password: OTP) ที่ส่งถึงผู้ใช้โดยตรง การใช้ระบบตรวจสอบผ่านข้อมูลชีวมาตร (Biometric) และบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) รวมทั้งกําหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและฟังก์ชันต่าง ๆ ตามบทบาทของผู้ใช้งาน และยังมีฟังก์ชันสําหรับการติดตามและบันทึกการใช้งาน ทั้งนี้ ระบบจะรองรับการเข้าถึงบริการที่รวดเร็ว และปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยีทันสมัย |
ระบบโปรไฟล์ผู้เรียนรู้แห่งชาติ (National Learner Profile) |
ใช้ในการรวบรวมข้อมูลโปรไฟล์นักศึกษาอย่างครบถ้วนและเป็นระบบ โดยระบบนี้รองรับการจัดเก็บข้อมูลในหลายมิติ เช่น ผลการเรียนกิจ กรรมพิเศษ ความถนัด ทักษะเฉพาะตัวและความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ ของนักศึกษา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสําคัญสําหรับการติดตามพัฒนาการ และวางแผนอนาคตของผู้เรียน |
ระบบการเรียนรู้ผ่านคอร์สออนไลน์ (Online Course Learning)
|
เป็นระบบที่ช่วยให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้และทักษะที่ต้องการได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพ โดยผู้เรียนสามารถค้นหาและเลือกเรียนคอร์สที่ตอบโจทย์ความสนใจและความต้องการพัฒนาทักษะของตนเอง นอกจากนี้ ยังมีฟังก์ชันสําหรับการทบทวนเนื้อหาและการเรียน ย้อนหลังเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาที่สะดวก |
ระบบสมุดบันทึกนักเรียน (Student Passbook) |
ใช้ในการติดตามและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมและความก้าวหน้าของนักศึกษาในมิติที่หลากหลาย ช่วยให้อาจารย์และผู้ปกครองสามารถ ตรวจสอบข้อมูลที่สําคัญได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ โดยครอบคลุมตั้งแต่การบันทึกผลการเรียนในแต่ละวิชา พฤติกรรมในชั้นเรียน และการเข้าร่วมกิจกรรมภายในและภายนอกโรงเรียน รวมถึงรายงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของนักศึกษา |
ระบบสร้าง e-Portfolio (e-Portfolio Creation) |
ใช้สําหรับจัดเก็บและนําเสนอข้อมูลผลงานของนักศึกษาในรูปแบบดิจิทัลที่มีความสวยงามและน่าสนใจ รองรับการรวบรวมข้อมูลที่สําคัญ เช่น ใบรับรองที่ได้รับจากการเข้าร่วมกิจกรรมหรือการอบรม ผลงานที่สร้างสรรค์ กิจกรรมที่เคยเข้าร่วม รวมถึงทักษะและความสามารถที่โดดเด่น |
ระบบค้นหาจุดเด่น (Strengths Finder) |
เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักศึกษาค้นพบและเข้าใจ จุดเด่น ทักษะ และความสามารถพิเศษที่มีในตัวเองผ่านการประเมินที่หลากหลาย ทั้งการประเมินบุคลิกภาพ ความสามารถเฉพาะทาง ทักษะด้านการสื่อสาร และศักยภาพในการทํางาน โดยใช้แบบทดสอบ ที่พัฒนาขึ้นอย่างพิถีพิถัน ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาสามารถระบุได้ว่าอะไรคือจุดแข็งของตนเอง และควรมุ่งพัฒนาในด้านใดเพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในอนาคต |
ระบบจับคู่ทักษะ (Skill Mapping) |
เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยนักศึกษาเชื่อมโยงทักษะที่มีอยู่กับโอกาสที่เหมาะสมในโลกการเรียนและการทํางาน โดยระบบนี้ จะทําการเปรียบเทียบทักษะปัจจุบันของผู้เรียนกับทักษะที่จําเป็น ในตลาดแรงงานและเส้นทางการศึกษาที่กําลังเป็นที่ต้องการในอนาคตด้วยวิธีการที่ง่ายต่อการใช้งานและมีความแม่นยําสูง ทําให้นักศึกษา สามารถเห็นภาพรวมของทักษะที่ตนเองมีและสามารถเปรียบเทียบกับความต้องการที่แท้จริงของตลาดได้อย่างชัดเจน |
ระบบบริหารจัดการเครดิต |
เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้นักศึกษาสามารถจัดการและติดตามหน่วยกิตการเรียนรู้ที่สะสมจากการเรียนคอร์สต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยระบบนี้จะรวบรวมข้อมูลหน่วยกิตจากคอร์สที่นักศึกษาเข้าร่วมและเรียนรู้ในแต่ละภาคการศึกษา รวมถึงการคํานวณผลการเรียนเพื่อให้ได้หน่วยกิตที่ถูกต้องและสมบูรณ์ตามข้อกําหนดของหลักสูตร โดยนักศึกษาสามารถตรวจสอบสถานะหน่วยกิตที่สะสมได้ผ่านระบบที่มีการอัพเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ รวมทั้งมีการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยกิตกับฐานข้อมูลกลางของสถาบันการศึกษาด้วย |
ระบบโอนย้ายหน่วยกิต (Credit Transfer) |
เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่ออํานวยความสะดวกในการเทียบโอนหน่วยกิตระหว่างสถาบันการศึกษาให้รวดเร็วขึ้น ด้วยฟังก์ชันที่ครอบคลุมตั้งแต่การส่งคําขอโอนย้ายหน่วยกิต การอัปโหลดเอกสารที่จําเป็นและการติดตามสถานะคําร้องแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์ม |
ระบบจับคู่งาน (job Matching) |
ใช้สําหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อจับคู่ความต้องการและคุณสมบัติได้อย่างแม่นยําและรวดเร็ว โดยผู้ใช้งานสามารถสร้างโปรไฟล์ที่ครอบคลุม ข้อมูลส่วนตัว ทักษะ ความเชี่ยวชาญ และความสนใจในตําแหน่งงาน ขณะเดียวกันนายจ้างสามารถลงรายละเอียดเกี่ยวกับตําแหน่งงานและทักษะและคุณสมบัติที่ต้องการได้อย่างครบถ้วน รองรับการค้นหาและสมัครงานได้ง่ายด้วยระบบค้นหางานที่ช่วยจับคู่ตําแหน่งงานตามความสนใจ |
ทั้งนี้ ระบบแฟ้มสะสมทักษะฯ จะรองรับการเชื่อมโยงกับระบบคลังหน่วยกิตแห่งชาติด้วย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ เช่น
(1) ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยเด็กไทยสามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม และลดปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา ลดข้อจํากัดด้านพื้นที่ห่างไกลในการเข้าถึงการศึกษา รวมทั้งเพิ่มการเข้าถึงแหล่งข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาและข้อมูล
ด้านทุนการศึกษา
(2) ลดปัญหาเด็กจบไม่ตรงสาย โดยช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองแนวทางการเรียนที่เหมาะสมในอนาคต และค้นหาอาชีพที่เหมาะสม รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะที่ขาดเพื่อเตรียมความพร้อมของนักศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน
(3) ลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครองและผู้เรียน โดยช่วยลดภาระเกี่ยวกับค่าเทอมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการเรียน รวมทั้งช่วยลดค่าใช้จ่าย การทําพอร์ตโฟลิโอและค่าออกใบรับรองผลการศึกษา (Transcript) และช่วยให้นักศึกษาสามารถเรียนจบได้รวดเร็วขึ้น
(4) สนับสนุนการ (Lifelong Learning) ที่นักศึกษาสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพ การศึกษาต่อเนื่อง หรือการเรียนรู้ตามความสนใจส่วนตัว
16. เรื่อง ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ (The Digital Skill/Credit Portfolio: Empowering Educations)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ ศธ. โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดําเนินโครงการส่งเสริมการศึกษาเท่าเทียมด้วยระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอ (The Digital SklUCredit Portfolio: Empowering Educations) (โครงการระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะ และเครดิตพอร์ตโฟลิโอฯ) งบประมาณจํานวน 4,214.74 ล้านบาท
2. อนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดําเนินโครงการระบบดิจิทัล พัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอฯ เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2573 วงเงินทั้งสิ้น 4,214.74 ล้านบาท โดยขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จํานวน 1,906.53 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการระบบดิจิทัลพัฒนาทักษะและเครดิตพอร์ตโฟลิโอฯ และส่วนที่เหลือ จํานวน 2,308.21 ล้านบาท ขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2570 - 2573
ประโยชน์ที่จะได้รับ
(1) ผู้เรียนได้รับการเสริมสร้างให้มีทักษะและคุณลักษณะที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 พร้อมทั้งฝึกฝนความสามารถที่สามารถนําไปใช้ในการทํางาน และสร้างเสริมทักษะด้านอาชีพให้สอดคล้องกับความต้องการที่สําคัญของประเทศ
(2) ครูและบุคลากรทางการศึกษามีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัยสําหรับการจัดการเรียนรู้ โดยปรับบทบาทสู่การเป็นผู้สนับสนุนที่กระตุ้นความสนใจชี้แนะแนวทาง และส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
(3) สร้างโอกาสให้กับนักเรียนในการเตรียมความพร้อมและทักษะเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
(4) ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและขยายโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม
(5) สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ค้นหาความสนใจ เพิ่มพูนทักษะและสามารถเข้าถึงการศึกษาและหลักสูตรตามความถนัดที่มีความสอดคล้องตรงตามความต้องการของตลาด
(6) สร้างมาตรฐานและลดภาระของผู้เรียนในการเตรียมตัวและจัดทําพอร์ตโฟลิโอสําหรับใช้ประกอบการสมัครเข้าเรียนในระดับที่สูงขึ้น
17. เรื่อง ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลาระยะที่ 2
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ตามที่ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ ศธ. ดําเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 (โครงการจัดหาอุปกรณ์ฯ ระยะที่ 2) งบประมาณจํานวน 29,765.25 ล้านบาท
2. อนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดําเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์ฯ ระยะที่ 2 เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2573 วงเงินทั้งสิ้น 29,765.25 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ขอรับงบประมาณรายจ่ายประจําปี จํานวน 5,953.05 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดําเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์ฯ ระยะที่ 2 และส่วนที่เหลือจํานวน 23,812.20 ล้านบาท ขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจํา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 - 2573 ต่อไป
สาระสำคัญ
1. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับจัดสรรงบประมาณ 482.26 ล้านบาท เพื่อดําเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน
ทุกที่ทุกเวลา : กิจกรรมพัฒนาระบบนิเวศทางด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (เป็นรายการปีเดียว ไม่ผูกพันงบประมาณ) โดยมีผลการดําเนินงาน เช่น เช่าใช้ระบบคลาวด์ จ้างที่ปรึกษาพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แห่งชาติ โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นฐาน (NDLP) สําหรับโรงเรียนคุณภาพในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จํานวน 349 โรงเรียน [ไม่มีการดําเนินการเกี่ยวกับการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอน (อุปกรณ์)] ต่อมาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับจัดสรรงบประมาณรวมจํานวน 3,395.47 ล้านบาท เพื่อดําเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่
ทุกเวลา ระยะที่ 2 : กิจกรรมจัดหา อุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย (Anywhere Anytime) ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 (ผูกพัน 5 ปี) เพื่อดําเนินกิจกรรม ดังนี้ (1) การส่งเสริมการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 เช่น การเช่าใช้ระบบประมวลผลแบบคลาวด์ การจัดทํานวัตกรรมสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ และ (2) การจัดหาอุปกรณ์ฯ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทําเอกสารร่างขอบเขตของงาน (Terms of Reference: TOR) เพื่อดําเนินกิจกรรมดังกล่าว
2. ในครั้งนี้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้กระทรวงศึกษา โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดําเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา ระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการดําเนินการต่อเนื่องจากโครงการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในส่วนของการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยวิธีการเช่า โดยขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2573 วงเงินทั้งสิ้น 29,765.25 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน 5,953.05 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ และส่วนที่เหลือจำนวน 23,812.20 ล้านบาท ขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 – 2573 ต่อไป (ปีละ 5,953.05 ล้านบาท)
ประโยชน์ที่จะได้รับ
(1) นักเรียนและครูผู้สอนมีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่สามารถเข้าใช้ NDLP สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลออนไลน์ที่มีคุณภาพ
(2) นักเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ใหม่ได้อย่างทั่วถึง ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาและมีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ตลอดจนสามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อกับโลกการทํางาน รวมถึงทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
(3) ส่งเสริมสนับสนุนการเปลี่ยนบทบาทครูให้เป็นครูยุคใหม่ โดยปรับบทบาทจาก “ครูสอน” เป็น “โค้ช” หรือ “ผู้อํานวยการการเรียนรู้” ทําหน้าที่กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ แนะนําวิธีเรียนรู้และวิธีจัดระเบียบการสร้างความรู้ รวมทั้งออกแบบกิจกรรม และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ตลอดจนมีเครื่องมือและระบบการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและทันสมัย
18. เรื่อง ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไปโครงการส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาทุกที่ทุกเวลา : จัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ ดังนี้ 1. เห็นชอบให้ ศธ. โดย สอศ. ดำเนินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาทุกที่ทุกเวลา (โครงการส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาฯ) งบประมาณจำนวน 3,302.13 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) กิจกรรมการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา (กิจกรรมการจัดหาอุปกรณ์ฯ) งบประมาณจำนวน 3,212.13 ล้านบาท และ (2) กิจกรรมการผลิตสื่อวีดิทัศน์หรือสื่อโทรทัศน์เพื่อการศึกษาอาชีวศึกษาสำหรับการเรียนรู้แบบออนไลน์ และบริการหน่วยประมวลผลและพื้นที่หรืออุปกรณ์จัดเก็บสื่อดิจิทัล และการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบงานหรือระบบฐานข้อมูลภายนอกเพื่อขยายช่องทางเผยแพร่สื่อดิจิทัล งบประมาณจำนวน 90 ล้านบาท
2. อนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์การเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา (โครงการจัดหาอุปกรณ์ฯ) เป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2572 วงเงินทั้งสิ้น 3,212.13 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี จำนวน 803.03 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์ฯ และส่วนที่เหลือจำนวน 2,409.10 ล้านบาท ขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 – 2572 ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ศธ. เห็นถึงความสำคัญของการปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงศตวรรษที่ 21 โดยจะมีการปรับรูปแบบการเรียนรู้และการสอนเพื่อพัฒนาทักษะและอาชีพของทุกคนช่วงวัยด้วยการปรับโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาให้ทันสมัยและนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการจัดการเรียนการสอน มีการพัฒนาศักยภาพของครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัด ศธ. ให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งขยายประสิทธิภาพการทำงานของดิจิทัลแพลตฟอร์มเพื่อการเรียนรู้แห่งชาติ (National Digital Learning Platform: NDL) จากการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการสื่อสารและการเรียนแบบสองทาง (มีการโต้ตอบ) โดยนำดิจิทัลแพลตฟอร์มมาสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลของ ศธ. ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา รวมถึงการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะของครูและบุคลากรทางการศึกษาในกำกับ ศธ. ให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ศธ. โดย สอศ. จะดำเนินการขอตั้งงบประมาณ สำหรับโครงการส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาฯ งบประมาณจำนวน 3,302.13 ล้านบาท เพื่อดำเนิน 2 กิจกรรมหลัก สรุปได้ ดังนี้
2.1 กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมการจัดหาอุปกรณ์ฯ
(1) ดำเนินการเช่าใช้อุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอน (เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา จำนวน 159,332 เครื่องระยะเวลา 48 เดือน (4 ปี)
เป้าหมายความต้องการ |
อุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอน |
|
สำหรับนักเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปีที่ 1 – 3 |
สำหรับครูผู้สอน |
|
สถานศึกษาอาชีวศึกษา 77 แห่ง |
151,930 คน |
7,602 คน |
รวม |
159,332 เครื่อง |
(2) งบประมาณและระยะเวลาดำเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์ฯ ใช้วงเงินงบประมาณรวม 3,212.13 ล้านบาท ระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2572 โดยปีงบประมาณ
พ.ศ. 2569 ขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จำนวน 803.03 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา และส่วนที่เหลือจำนวน 2,409.10 ล้านบาท ขอผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 – 2572 ต่อไป (ปีละ 803.03 ล้านบาท) ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารและจัดหาหาระบบคอมพิวเตอร์ของ ศธ. [รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (นายวรัท พฤกษาทวีกุล) เป็นประธานการประชุม] มีมติเห็นชอบหลักการของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้อาชีวศึกษาทุกที่ทุกเวลา : จัดหาอุปกรณ์การสอนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา (การเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา) เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2568 และให้หน่วยงานเสนอโครงการต่อคณะกรรมการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐพิจารณาต่อไป
2.2 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมการผลิตสื่อวีดิทัศน์หรือสื่อโทรทัศน์เพื่อการศึกษาอาชีวศึกษาสำหรับการเรียนรู้แบบออนไลน์ และบริการหน่วยประมวลผลและพื้นที่หรืออุปกรณ์จัดเก็บสื่อดิจิทัล และการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลกับระบบงานหรือระบบฐานข้อมูลภายนอกเพื่อขยายช่องทางเผยแพร่สื่อดิจิทัล สำหรับสนับสนุนการเรียนการสอนอาชีวศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2567 หรือหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง พุทธศักราช 2567 หรือหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น ของ สอศ. หรือสื่อดิจิทัลเพื่อพัฒนาทักษะด้านอาชีพสำหรับเสริมสร้างความพร้อมให้นักเรียนนักศึกษาในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือการเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ วงเงินงบประมาณ 90 ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2659)
3. ประโยชน์ที่จะได้รับ เช่น
1) นักเรียนและครูผู้สอนมีอุปกรณ์ที่มีคุณภาพในการเข้าใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้อาชีวศึกษา สนับสนุนการจัดเรียนการสอนผ่านระบบเทคโนโลยีดิจิทัลออนไลน์ที่มีคุณภาพ
2) ผู้เรียนได้รับการเรียนการสอนที่เหมาะสม สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ใหม่ได้อย่างทั่วถึง และลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา
3) ผู้เรียนมีคุณลักษณะและทักษะอาชีพระยะสั้น ตลอดจนพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่เชื่อมต่อกับโลกการทำงาน รวมถึงทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
4) ส่งเสริมสนับสนุนการเปลี่ยนบทบาทครูให้เป็นครูยุคใหม่โดยปรับบทบาทจาก “ครูสอน” เป็น “โค้ช” หรือ “ผู้อำนวยการเรียนรู้” ทำหน้าที่กระตุ้นสร้างแรงบันดาลใจ แนะนำวิธีเรียนรู้และวิธีจัดระเบียบการสร้างความรู้ รวมทั้งออกแบบกิจกรรมและสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ตลอดจนมีเครื่องมือและระบบการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและทันสมัย
ทั้งนี้ ศธ. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรับต้องเสนอพร้อมกับการอนุมัติคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
19. เรื่อง การขอก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับโครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ทดแทนและเพิ่มเติม และโครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น เพื่อการควบคุมทางศุลกากร
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลัง (กค.) โดยกรมศุลกากร ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ [รวมวงเงินโครงการ จำนวน 4,431,80 ล้านบาท (ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 1,694.74 ล้านบาท)] ดังนี้
1. โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ทดแทนและเพิ่มเติม (โครงการจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ฯ) วงเงินรวม 2,931.80 ล้านบาท (ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569) จำนวน 1,669.74 ล้านบาท) ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการก่อหนี้ผูกพัน |
ปีงบประมาณ พ.ศ. |
รวมวงเงิน |
|
2569 |
2570 |
||
- ระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ แบบ CT Scan จำนวน 2 เครื่องพร้อมระบบวิเคราะห์และประมวลผลภาพอัจฉริยะ จำนวน 1 ระบบ - ระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์แบบขับผ่าน (Drive - Through) เพิ่มเติม จำนวน 2 ระบบ |
1,669.74 |
1,262.06 |
2,931.80 |
2. โครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น เพื่อควบคุมทางศุลกากร (โครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ) วงเงินรวม 1,500 ล้านบาท [ขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 25 ล้านบาท (สำหรับ 1 งวดงาน เดือนกันยายน 2569)] ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการก่อหนี้ผูกพันฯ |
ปีงบประมาณ พ.ศ. |
รวมวงเงิน |
|||||
2569 |
2570 |
2571 |
2572 |
2573 |
2574 |
||
- เช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อการควบคุมทางศุลกากรระยะเวลา 60 เดือน (5 ปี) จำนวนกล้องโทรทัศน์วงจรปิด 3,130 ตัว |
25 |
300 |
300 |
300 |
300 |
275 |
1,500 |
สาระสำคัญของเรื่อง
กรมศุลกากรได้มีการนำระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์มาใช้ปฏิบัติงานแทนการเปิดตรวจทางกายภาพด้วยเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามแนวทางขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization : WCO) และศุลกากรต่างประเทศในการควบคุมทางศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า ตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งปัจจุบันกรมศุลกากรมีระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์รวมทั้งสิ้น 33 ระบบ โดยมีเครื่องเอกซเรย์แบบติดตั้งประจำที่ จำนวน 2 ระบบ ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Digital Radiography (DR) ตั้งเดิมแบบ 2 มิติ ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 18 ปี ได้สิ้นสุดอายุการใช้งานและหมดสัญญาการซ่อมบำรุงแล้ว ทำให้ไม่สามารถซ่อมแซมแก้ไขได้เมื่อเกิดข้อขัดข้องประกอบกับปัจจุบันได้มีเทคโนโลยี Computed Tomography (CT) ที่ใช้หลักการฉายรังสีเอกซ์จากหลายมุม ทำให้สามารถสร้างภาพ 3 มิติ ที่สามารถใช้ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าได้ ซึ่งจะแสดงความละเอียดของภาพได้สูงและแม่นยำยิ่งขึ้นจากเดิม ดังนั้น กรมศุลกากรจึงมีความจำเป็นต้องจัดหาระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์ เพื่อเปลี่ยนทดแทนระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์แบบติดตั้งประจำที่ (Fixed System) เดิมที่เสื่อมสภาพการใช้งาน รวมถึงจัดระบบตรวจสอบดังกล่าวเพิ่มเติมในจุดยุทธศาสตร์การค้าที่สำคัญ เพื่อรองรับการปฏิบัติงานด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าในการผ่านพิธีการทางศุลกากรแก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
รายการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
(1) การติดตั้งระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์แบบ CT Scan จำนวน 2 เครื่อง พร้อมระบบวิเคราะห์และประมวลผลภาพอัจฉริยะ จำนวน 1 ระบบ ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเปลี่ยนทดแทนระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่อง |
2,260.00 |
(2) การติดตั้งระบบตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าด้วยเครื่องเอกซเรย์แบบขับผ่าน (Drive - Through) เพิ่มเติม รวมจำนวน 2 ระบบ ณ ด่านศุลกากรเชียงของและด่านศุลกากรแม่สอด ซึ่งระบบดังกล่าวสามารถปฏิบัติงานตรวจสอบได้มากกว่า 150 ตู้ต่อชั่วโมง เพื่อลดระยะเวลาในกระบวนการขนส่งและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์สินค้าขาเข้า ขาออก และการผ่านแดน |
480.00 |
(3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม [คำนวณจาก (1) + (2) X ร้อยละ 7] |
191.80 |
รวมทั้งสิ้น |
2,931.80 |
โดยในแต่ละปีงบประมาณใช้วงเงิน ดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ. |
วงเงิน (ล้านบาท) |
2569 |
1,669.74 |
2570 |
1,262.06 |
รวมทั้งสิ้น |
2,931.80 |
2. ตั้งแต่ปี 2550 กรมศุลกากรได้เริ่มจัดหาระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV System) และเทคโนโลยีอื่น (กล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ) เช่น ระบบยานพาหนะผ่านแดน ระบบตรวจสอบเลขทะเบียน ระบบตรวจจับใบหน้า และระบบสื่อสารทางไกลผ่านเว็บ เป็นต้น โดยปัจจุบันมีการใช้งานกล้องโทรทัศน์วงจรปิดจำนวน 2,204 ตัว และได้ดำเนินโครงการบำรุงรักษาระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ เพื่อการควบคุมทางศุลกากร สำหรับรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 – 2567 จำนวน 2 สัญญา และ พ.ศ. 2568 – 2569 จำนวน 1 สัญญา ซึ่งจะสิ้นสุดระยะเวลาการบำรุงรักษาในวันที่ 30 กันยายน 2569 ประกอบกับระบบเทคโนโลยีของระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ ในโครงการดังกล่าวมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เช่น คุณภาพของภาพจากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดมีความละเอียดสูงและคมชัดมากขึ้น การตรวจจับใบหน้าบุคคลแม่นยำมากขึ้นแม้จะสวมใส่แว่นตาหรือหน้ากากอนามัย ดังนั้น เพื่อให้ระบบงานใช้งานได้อย่างต่อเนื่องและเพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น กรมศุลกากรจำเป็นต้องดำเนินการจัดหาอุปกรณ์เพื่อทดแทนระบบเดิมที่จะสิ้นสุดสัญญาการซ่อมบำรุงรักษาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 และติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิดเพิ่มเติมให้แก่ด่านศุลกากรที่มีการปรับปรุงและการขยายด่านศุลกากรแห่งใหม่ ซึ่งกรมศุลกากรได้มีการศึกษาเพิ่มเติมในด้านความคุ้มค่าของงบประมาณโดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการจัดหาและบำรุงรักษาและการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด จำนวน 3,130 ตัว (จากการสำรวจความต้องการการใช้งานจากระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของหน่วยงานภายในกรมศุลกากร) สรุปได้ ดังนี้
แนวทางดำเนินการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย |
|
รายเดือน (ล้านบาท) |
ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด 1 1 1 ตัว/เดือน (บาท) |
||
แนวทางเดิมสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2561- 2569 (ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด จำนวน 2,204 ตัว) |
|||
การจัดหาและบำรุงรักษากล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ |
1,938.91 |
20.20 |
9,163.78 (วงเงิน 1,938.91 ล้านบาท/ 8 X12 เดือน/2,204 ตัว) |
แนวทางเดิมสำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2561- 2569 (ระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด จำนวน 3,130 ตัว) |
|||
กรณีการจัดหาและบำรุงรักษากล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ |
1,721.00 |
28.68 |
9,163.78 (ใช้ฐานราคาเดียวกับแนวทางเดิม) |
กรณีการเช่าบริการระบบโทรทัศน์วงจรปิดฯ (เสนอในครั้งนี้) |
1,500.00 |
25.00 |
7,987.22 (วงเงิน 1,500 ล้านบาท/ 5X12 เดือน/3,130 ตัว) |
ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบราคาข้างต้นพบว่า กรมศุลกากรจะต้องใช้งบประมาณเฉลี่ยเดือนละ 28.68 ล้านบาท สำหรับการจัดซื้อและการบำรุงรักษากล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ ซึ่งสูงกว่าวงเงินการเช่าบริการระบบโทรทัศน์วงจรปิดฯ ที่จะใช้งบประมาณเฉลี่ยเพียงเดือนละ 25 ล้านบาท ดังนั้น กรมศุลกากรจึงได้จัดทำโครงการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ เพื่อการควบคุมทางศุลกากร โดยมีระยะเวลาในการเช่าบริการ 60 เดือน (5 ปี) จำนวนกล้องโทรทัศน์วงจรปิด 3,130 ตัว พร้อมเทคโนโลยีอื่น วงเงินงบประมาณ 1,500 ล้านบาท (คิดเป็นค่าเช่าบริการเฉลี่ยต่อเดือน 25 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าเช่าบริการเฉลี่ยต่อปี 300 ล้านบาท) ซึ่งการเช่าบริการจะช่วยให้กรมศุลกากรประหยัดงบประมาณแทนการจัดซื้อและบำรุงรักษา รวมจำนวน 221 ล้านบาท ทั้งนี้ การเช่าบริการจะเกิดความคุ้มค่ามากกว่า เนื่องจากผู้ให้บริการจะต้องเป็นผู้จัดหา บำรุงรักษา และซ่อมแซมแก้ไขระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดตลอดอายุสัญญา รวมถึงมีความคล่องตัวในการจัดหาระบบใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปและลดภาระผูกพันในการจัดตั้งงบประมาณเพื่อจ่ายค่าบำรุงรักษาในแต่ละปี โดยโครงการดังกล่าวจะใช้วงเงินในแต่ละปีงบประมาณ ดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ. |
งวดงาน |
วงเงิน (ล้านบาท) |
2569 |
1 งวดงาน (เดือนกันยายน 2569)* |
25.00 |
2570 |
12 งวดงาน (เดือนตุลาคม 2569 - กันยายน 2570) |
300.00 |
2571 |
12 งวดงาน (เดือนตุลาคม 2570 - กันยายน 2571) |
300.00 |
2572 |
12 งวดงาน (เดือนตุลาคม 2571 - กันยายน 2572) |
300.00 |
2573 |
12 งวดงาน (เดือนตุลาคม 2572 - กันยายน 2573) |
300.00 |
2574 |
11 งวดงาน (เดือนตุลาคม 2573 – สิงหาคม 2574) |
275.00 |
รวมทั้งสิ้น |
|
1,500.00 |
หมายเหตุ : *กค. แจ้งว่า เนื่องจากการเช่าบริการระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดฯ จะต้องมีการเตรียมการติดตั้งระบบก่อนเริ่มใช้งาน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องขอก่อหนี้ผูกพันฯ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2569 เพื่อให้สามารถเริ่มใช้งานระบบได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569
ทั้งนี้ กค. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลประกอบการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว
20. เรื่อง ขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน รายการ (ภายใต้โครงการ จำนวน 4 โครงการ) วงเงินรวม 1,633.39 ล้านบาท (จากวงเงินที่ขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรวมจำนวน 8,166.97 ล้านบาท) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญ
กษ. มีรายการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกรมชลประทานที่จะก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณและมีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 4 รายการ (อยู่ภายใต้โครงการ จำนวน 4 โครงการ) วงเงินรวม 1,633.39 ล้านบาท มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน ใช้เป็นแหล่งกักเก็บน้ำในฤดูแล้งและบรรเทาปัญหาอุทกภัย (เขื่อนหัวงานและอาคารประกอบพร้อมส่วนประกอบอื่น) จำนวน 2,441.65 ล้านบาท ดำเนินการออกแบบเสร็จแล้วได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบรายงาน Environmental Impact Assessment (EA) แล้ว
2. โครงการปรับปรุงคลองชักแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย เป็นแหล่งกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนและช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัย (ปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา สัญญาที่ 1) จำนวน 1,215.32 ล้านบาท ดำเนินการออกแบบเสร็จแล้วจะดำเนินการจัดหาที่ดินเพิ่มเติมประมาณ 850 แปลงเนื้อที่ประมาณ 1,386-3-35 ไร่และไม่เข้าข่ายจัดทำรายงาน EIA
3. โครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้พื้นที่ชลประทานบริเวณ 2 ฝั่งคลองชลประทาน (ระบบส่งน้ำสายซอยพร้อมอาคารประกอบพื้นที่ฝั่งซ้าย สัญญาที่ 1) จำนวน 2,050.00 ล้านบาท ดำเนินการออกแบบเสร็จแล้ว สำรวจรังวัดที่ดินแล้ว 2,637 แปลง จ่ายค่าที่ดินและค่ารื้อย้ายสิ่งก่อสร้างแล้ว 117 แปลง เนื้อที่ 121 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้พื้นที่จากสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเห็นชอบรายงาน EIA แล้ว
4. โครงการบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเพชรบุรีตอนล่างอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดเพชรบุรี เพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำออกทะเลอ่าวไทยให้รวดเร็วขึ้น (ปรับปรุงคลองระบายน้ำ D1 พร้อมอาคารประกอบ สัญญาที่ 1) จำนวน 2,460.00 ล้านบาท ดำเนินการออกแบบเสร็จแล้วจะดำเนินการจัดหาที่ดินประมาณ 682 แปลง เนื้อที่ประมาณ 637-1-80 ไร่ เมื่อได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการจากคณะรัฐมนตรีและไม่เข้าข่ายจัดทำรายงาน EIA
การขออนุมัติการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป จำนวน 4 รายการ (ภายใต้โครงการจำนวน 4 โครงการ) ที่ กษ. เสนอมาในครั้งนี้ มีจำนวน 3 รายการ ที่เคยขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายเมื่อปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ ได้แก่ โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำกิ จังหวัดน่าน โครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จังหวัดสุโขทัย และโครงการเขื่อนทดน้ำผาจุก จังหวัดอุตรดิตถ์ กษ. จึงเสนอขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้กรอบวงเงินเดิม
21. เรื่อง ขออนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 2 คลองหก
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569-2571 จำนวน 1 รายการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 2 คลองหก จำนวนเงิน 4,586.74 ล้านบาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (26 กรกฎาคม 2565) เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ บริเวณคลองหก จังหวัดปทุมธานี เพื่อทดแทนสถานที่เดิมที่มีความแออัดและคับแคบ โดยมีแนวคิดจัดทำเป็นสวนสัตว์ที่ทันสมัยระดับนานาชาติและเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ครบถ้วนในระดับสากล ในกรอบวงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น 10,974.65 ล้านบาท โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 ระยะ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) (องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์) ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566 เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 ในกรอบวงเงินทั้งสิ้น 5,383.82* ล้านบาท ผูกพันงบประมาณปี พ.ศ. 2566-2568 โดยในครั้งนี้องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เสนอขออนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 2 คลองหก วงเงินทั้งสิ้น 4,586.74 ล้านบาท โดยสามารถสรุปภาพรวมของโครงการได้ ดังนี้
งบประมาณที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ |
การดำเนินการ |
|
ปีงบประมาณ |
จำนวน (ล้านบาท) |
|
โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 11 |
||
ปี 2566 |
1,076.76 |
(1) งานปรับระดับ ถมดิน ขุดบ่อน้ำ เขื่อนกันดินถนนและรางระบายน้ำรอบโครงการ (2) งานก่อสร้างอาคาร สำนักงาน (3) งานสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า น้ำบาดาล เป็นต้น (4) งานส่วนจัดแสดงสัตว์ 2 ทวีป (5) งานส่วนภูมิสถาปัตยกรรมและ HARDSCAPE (6) งานระบบอื่น ๆ และ Smart Zoo |
ปี 2567 |
4,307.06 |
|
ปี 2568 |
||
รวมวงเงินระยะที่ 1 |
5,383.82 |
|
โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 2 (ข้อเสนอในครั้งนี้) |
||
ปี 2569 |
454.04 |
(1) งานสาธารณูปโภค (2) งานส่วนจัดแสดงสัตว์ 4 ทวีป และสวนสัตว์เด็ก (3) งานส่วนภูมิสถาปัตยกรรมและ HARDSCAPE (4) งานระบบอื่น ๆ และ Smart Zoo ส่วนที่เหลือ |
ปี 2570 |
1,802.17 |
|
ปี 2571 |
2,330.53 |
|
รวมวงเงินระยะที่ 2 |
4,586.74 |
|
รวมวงเงินทั้งสิ้น |
9,970.56 |
|
หมายเหตุ : 1 โครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ลงนามสัญญาว่าจ้างกับคู่สัญญาเอกชนในวงเงิน 5,414.00 ล้านบาท โดยมีความคืบหน้าในการก่อสร้างของโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 คิดเป็นร้อยละ 35 ของแผนการดำเนินการ |
2. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 2 คลองหก ได้แก่
1) มูลค่าเพิ่มจากการส่งเสริมการเรียนรู้ในสวนสัตว์แห่งใหม่ที่นักเรียนและประชาชนได้รับจากการเข้าชมสวนสัตว์แห่งใหม่
2) มูลค่าเพิ่มจากการส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสวนสัตว์สีเขียว (Green Zoo) ที่ลดก๊าซเรือนกระจก
3) มูลค่าเพิ่มจากการเป็นสวนสาธารณะของชุมชนในพื้นที่ที่ประชาชนจะมาใช้บริการจากส่วนที่เป็นสวนสาธารณะ ในการพักผ่อนและออกกำลังกาย
4) สวนสัตว์แห่งใหม่จะเป็นแหล่งข้อมูลงานอนุรักษ์และวิจัยสัตว์ป่าทั้งในและนอกถิ่นอาศัยหลักของประเทศ
5) สวนสัตว์เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญที่จะทำให้รายได้เข้าสู่ประเทศโดยจะมีนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเข้าเยี่ยมชมซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชน
6) มีมาตรการการป้องกันและแก้ไขผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมทั้งในระยะก่อสร้าง และระยะให้บริการอย่างครบถ้วน ทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
__________________
*ไม่รวมค่าควบคุมงานก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่จำนวน 161.51 ล้านบาท
22. เรื่อง การเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกระทรวงมหาดไทย สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณและมีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ของกระทรวงมหาดไทย สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณและมีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา 26 ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 3 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 15,693.44 ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
มท. มีความประสงค์ขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณ สำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 2 หน่วยงาน 3 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 15,693.44 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) กรมการปกครอง จำนวน 1 โครงการ และ (2) กรุงเทพมหานคร (กทม.) จำนวน 2 โครงการ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1. โครงการจัดหาระบบคอมพิวเตอร์เพื่อให้บริการประชาชนทางด้านการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน ของกรมการปกครอง วงเงิน 4,782.44 ล้านบาท มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
|||||||||||||||||||||
1.1 กิจกรรม |
จัดหาและเช่าระบบคอมพิวเตอร์ทดแทนสําหรับการให้บริการงานทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชนให้แก่ประชาชน พร้อมด้วยอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน เนื่องจากระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เดิมจะครบกําหนดอายุตามสัญญาเช่า (สัญญาสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568) โดยจะติดตั้ง ณ สถานที่ เช่น สํานักทะเบียนอําเภอ/ท้องถิ่น จํานวน 1,028 แห่ง หน่วยบริการเคลื่อนที่ จํานวน 77 แห่ง ทั้งนี้ การเช่าระบบคอมพิวเตอร์ในครั้งนี้ ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพระบบการให้บริการประชาชนทางด้านการทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชนมากกว่าระบบเดิมด้วยอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และสามารถรายงานสถิติการดําเนินการด้านทะเบียนและบัตรประจําตัวประชาชน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานการบริการแก่ประชาชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1.2 ระยะเวลา |
6 ปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2574 |
|||||||||||||||||||||
1.3 งบประมาณ |
วงเงินรวม 4,782.44 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หมายเหตุ : เนื่องจากมีการปรับเป็นทศนิยมสองหลัก ดังนั้น จึงส่งผลต่อการคำนวณผลรวมในตาราง |
|||||||||||||||||||||
1.4 ประโยชน์ที่จะได้รับ |
(1) ประชาชนได้รับบริการด้านการทะเบียนอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดชะงัก สะดวก รวดเร็วและปลอดภัย รวมทั้งมีช่องทางในการรับบริการเพิ่มมากขึ้น สามารถทําธุรกรรมได้ด้วยตนเองทําให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้ (2) กรมการปกครองจะเป็นศูนย์กลางในการดําเนินการต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบยืนยัน ข้อมูลบุคคล การแลกเปลี่ยนข้อมูล การมีข้อมูลเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของบุคคล (ภาพใบหน้า ลายพิมพ์นิ้วมือ) (3) สามารถนําข้อมูลด้านการทะเบียนมาจัดทําเป็นเอกสารดิจิทัล แล้วจัดเก็บในระบบกระเป๋าเอกสารดิจิทัลของกรมการปกครองได้ (จัดเก็บเอกสารสําคัญของประชาชน เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สูติบัตร) |
2. โครงการก่อสร้างอุโมงค์ส่วนต่อขยายจากบึงหนองบอนถึง คลองประเวศน์บุรีรมย์และคลองสี่ ของ กทม. วงเงินรวม 9,561 ล้านบาท มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
||||||||||||||||||||||||
2.1 กิจกรรม |
(1) ก่อสร้างอาคารสถานีสูบน้ำ ขนาด 60 ลูกบาศก์เมตร/วินาที จํานวน 1 แห่ง (2) ก่อสร้างอาคารรับน้ำ (เพื่อรับน้ำและส่งน้ำเข้าสู่ระบบอุโมงค์ระบายน้ำ) จํานวน 3 แห่ง (3) ก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.70 เมตร ความยาวประมาณ 13.25 กิโลเมตร |
||||||||||||||||||||||||
2.2 ระยะเวลา |
5 ปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2569 - 2573 |
||||||||||||||||||||||||
2.3 งบประมาณ
|
วงเงินรวม 9,561 ล้านบาท โดย กทม. จะขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนรัฐบาลจํานวน 6,692.70 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 70) และงบประมาณ กทม. สมทบ จํานวน 2,868.30 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 30) มีรายละเอียดดังนี้ หน่วย: ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
2.4 ประโยชน์ที่จะได้รับ |
แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังเมื่อเกิดฝนตกหนัก ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดและลดความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน บ้านเรือน การประกอบอาชีพ และการใช้ชีวิตประจําวันได้ โดยโครงการนี้จะป้องกันน้ำท่วมได้กว่า 152.90 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่เขตลาดกระบัง เขตสะพานสูง เขตมีนบุรี และเขตประเวศ กรุงเทพมหานคร |
3. โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อจากถนนรัชดาภิเษกถึงคลองลาดพร้าว ของ กทม. วงเงินรวม 1,350 ล้านบาท มีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
||||||||||||||||||||
3.1 กิจกรรม |
(1) ก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.50 เมตร ความยาวประมาณ 1.7 กิโลเมตร (2) ก่อสร้างอาคารรับน้ำคลองลาดพร้าว จํานวน 1 แห่ง (3) งานเชื่อมต่ออุโมงค์กับอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จํานวน 1 แห่ง |
||||||||||||||||||||
3.2 ระยะเวลา |
4 ปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2572 |
||||||||||||||||||||
3.3 งบประมาณ
|
วงเงินรวม 1,350 ล้านบาท โดย กทม. จะขอรับการสนับสนุนเงินอุดหนุนรัฐบาลจํานวน 675 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 50) และงบประมาณ กทม. สมทบ จํานวน 675 ล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 50) มีรายละเอียดดังนี้ หน่วย: ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||
3.4 ประโยชน์ที่จะได้รับ |
แก้ไขปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่เขตห้วยขวาง เขตลาดพร้าว และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขัง ลดปัญหาการจราจรติดขัดจากปัญหาน้ำท่วมผิวจราจร |
23. เรื่อง ขออนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่วงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท ขึ้นไปกระทรวงยุติธรรม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาท ขึ้นไป จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธร พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบตำบลสำราญ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร (โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธรฯ) จำนวนเงินทั้งสิ้น 1,623.1565 ล้านบาท เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ยธ. ขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 สำหรับโครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธรฯ วงเงินรวมทั้งสิ้น 1,623.1565 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2571 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนเรือนจำเดิมที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมและถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน ขาดความมั่งคงปลอดภัย ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล พื้นที่ภายในมีความแออัดและคับแคบอันส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่และการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ ที่ตั้งของเรือนจำเดิมซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยประชาชนและชุมชน รวมทั้งก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนโดยรอบ เช่น ปัญหากลิ่นรบกวนจากการบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น ทั้งนี้ การก่อสร้างเรือนจำแห่งใหม่ที่กรมราชทัณฑ์ได้จัดเตรียมพื้นที่ก่อสร้างบนเนื้อที่ 200 ไร่ ตั้งอยู่ที่เรือนจำชั่วคราวบ้านบาก ตำบลสำราญ อำเภอยโสธร จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นพื้นที่ใช้ประโยชน์ของกรมราชทัณฑ์ โดยสามารถรองรับจำนวนผู้ต้องขังได้ถึง 3,000 คม จะทำให้เรือนจำมีโครงสร้างและส่วนประกอบอาคารที่ได้มาตรฐาน สามารถควบคุมและป้องกันการหลบหนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีพื้นที่เอื้อต่อการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังสำหรับการฟื้นฟูและพัฒนาพฤตินิสัยอย่างเป็นสัดส่วนตามหลักสากล รวมทั้งมีระบบกำจัดขยะมูลฝอยและน้ำเสียซึ่งป้องกันไม่ให้เกิดปัญหามลภาวะและสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน ตลอดจนสามารถอำนวยความสะดวกและให้บริการประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สาระสำคัญของโครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธรฯ สรุปได้ ดังนี้
โครงการ |
วงเงิน (ล้านบาท) |
|||
คำขอ ตั้งงบประมาณ พ.ศ. 2569 |
ผูกพัน งบประมาณ พ.ศ. 2570 |
ผูกพัน งบประมาณ พ.ศ. 2571 |
วงเงินรวม |
|
โครงการก่อสร้างเรือนจำจังหวัดยโสธรฯ (ผูกพันงบประมาณ 3 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2571 |
324.6313* |
649.2626 |
649.2626 |
1,623.1565 |
*หมายเหตุ: วงเงินที่ ยธ. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีแรกคิดเป็นร้อยละ 20 ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนดังกล่าว และมีระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณไม่เกินกว่า 5 ปี ตามที่กำหนดไว้ในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง)
2. ยธ. ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามนัยมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว
24. เรื่อง ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกระทรวงคมนาคม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกรมทางหลวง (ทล.) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร.) รวม 35 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 286,791.84 ล้านบาท (ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569-2574) โดยมีวงเงินที่จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 55,003.85 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
หน่วยงาน |
จำนวนโครงการ |
วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) |
||||||
ปี 2569 |
ปี 2570 |
ปี 2571 |
ปี 2572 |
ปี 2573 |
ปี 2574 |
รวม |
||
ทล. |
30 |
12,126.00 |
23,762.00 |
23,762.00 |
980.00 |
- |
- |
60,630.00 |
ทช. |
2 |
720.00 |
1,440.00 |
1,440.00 |
- |
- |
- |
3,600.00 |
รฟท. |
1 |
21,014.92 |
37,557.68 |
35,065.81 |
31,594.04 |
- |
125,232.45 |
|
รฟม. |
1 |
20,223.13 |
22,505.48 |
12,949.95 |
39,753.48 |
95,432.04 |
||
สทร. |
1 |
919.80 |
787.05 |
190.50 |
- |
- |
- |
1,897.35 |
รวม |
35 |
55,003.85 |
231,787.99 |
286,791.84 |
สาระสำคัญของเรื่อง
ในครั้งนี้ คค. โดย ทล. ทช. รฟท. รฟม. และ สทร. ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 35 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2569-2574 รวมวงเงินทั้งสิ้น 286,971.84 ล้านบาท โดยจะขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 55,003.85 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่มีความพร้อมในการเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สรุปได้ ดังนี้
3. รฟท. ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 1 โครงการ คือ รายการเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569-2573 วงเงินรวม 125,232.45 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเป็นการ ดำเนินการให้สอดคล้องกับการแก้ไขเงื่อนไขของสัญญาในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน จากเดิมรัฐจะแบ่งจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง เป็นรัฐจะจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ รฟท. ตรวจรับ ซึ่ง รฟท. จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 21,014.92 ล้านบาท ดังนี้
โครงการ |
วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) |
||||
ปี 2569 |
ปี 2570 |
ปี 2571 |
ปี 2572-2573 |
รวม |
|
รายการเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน |
21,014.92 |
37,557.68 |
35,065.81 |
31,594.04 |
125,232.45 |
4) รฟม. ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน 1 โครงการ คือ รายการเงินสนับสนุนค่างานโยธาตามสัมปทานฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - ศูนย์วัฒนธรรม ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569-2574 วงเงินรวม 95,432.04 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (28 มกราคม 2563) อนุมัติให้ดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยกำหนดให้การก่อสร้างงานโยธาในช่วงตะวันตก (สถานีบางขุนนนท์ - สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) งานจัดหาระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถไฟฟ้าและการซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มทั้งระบบจัดอยู่ภายใต้สัญญาเดียวกันในรูปแบบ PPP Net Cost โดยภาครัฐลงทุนค่างานก่อสร้าง งานโยธาในช่วงตะวันออก (สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย - สถานีสุวินทวงศ์) และค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับการก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตก และเอกชนลงทุนค่างานก่อสร้างงานโยธาในช่วงตะวันตก และค่างานระบบรถไฟฟ้า ขบวนรถไฟฟ้า บริหารการเดินรถ และซ่อมบำรุงรักษาทั้งเส้นทาง รวมทั้งค่าจ้างที่ปรึกษา และเห็นชอบสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามที่เกิดขึ้นจริง โดยกำหนดวงเงินค่างานโยธาที่รัฐจะสนับสนุนตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ภายในวงเงิน 91,983 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นวงเงินสำรองจ่าย (Provisional Sum) จำนวน 4,029 ล้านบาท หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายให้พิจารณาตามขั้นตอน ทั้งนี้ รฟม. จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 20,223.13 ล้านบาท ดังนี้ วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) ดังนี้
โครงการ |
วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) |
||||
ปี 2569 |
ปี 2570 |
ปี 2571 |
ปี 2572-2574 |
รวม |
|
รายการเงินสนับสนุนค่างานโยธาตามสัมปทานฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรม |
20,223.13 |
22,505.48 |
12,949.95 |
39,753.48 |
95,432.04 |
5) สทร. ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในแผนงานยุทธศาสตร์พัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการพัฒนารถไฟต้นแบบตามมาตรฐานสากลด้วยเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569-2571 วงเงินรวม 1,897.35 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและนโยบาย คค. ที่มุ่งเน้นผลักดันให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการออกแบบและผลิตรถไฟด้วยตนเอง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีมาตรฐานระดับโลก เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเพื่อขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาค รวมถึงสามารถออกแบบการผลิตให้ตรงกับความต้องการภายในประเทศ นอกจากนี้การก่อสร้างรถไฟยังช่วยส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการด้านการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่ภายในประเทศด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ให้มีศักยภาพพร้อมขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรมราง เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน และกระจายรายได้ไปสู่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่ง สทร. จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จำนวน 919.80 ล้านบาท ดังนี้
โครงการ |
วงเงินงบประมาณ (ล้านบาท) |
|||
ปี 2569 |
ปี 2570 |
ปี 2571 |
รวม |
|
โครงการพัฒนารถไฟต้นแบบตามมาตรฐานสากลด้วยเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก |
919.80 |
787.05 |
190.50 |
1,897.35 |
25. เรื่อง ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของสำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม (สป.คค) จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569 – 2571 วงเงินรวม 4,500 ล้านบาท ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. |
วงเงินงบประมาณ |
2569 |
900 |
2570 |
1,800 |
2541 |
1,800 |
รวมทั้งสิ้น |
4,500 |
สาระสำคัญ
คค. รายงานว่า อาคารที่ทำการ สป.คค. ปัจจุบัน ตั้งแต่อยู่บนถนนราชดำเนินนอก มีรูปแบบอาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามและสมควรที่จะอนุรักษ์ไว้โดยเป็นส่วนหนึ่งของถนนสายวัฒนธรรมที่ควรมีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกันตลอดแนวถนนราชดำเนินนอก จึงไม่เหมาะสมที่จะต่อเติม ขยาย หรือทุบ เพื่อสร้างอาคารขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม คค. มีภารกิจในการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลด้านการคมนาคมและโลจิสติกส์ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้บุคลากร ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ที่ทันสมัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้พื้นที่ใช้สอยในปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานในสังกัด สป.คค. ได้อย่างครบถ้วนโดยมีบางหน่วยงานต้องไปปฏิบัติงานยังพื้นที่ภายนอกแห่งอื่น รวมถึงต้องมีพื้นที่สำนักงานรองรับหน่วยงานที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น กรมการขนส่งทางราง ดังนั้น สป.คค. จึงเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 1 โครงการ คือ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ ระยะเวลาดำเนินการ ปี 2569 - 2571 (3 ปี) วงเงินรวม 4,500 ล้านบาท
26. เรื่อง การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568
สาระสำคัญ
นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบกำหนดการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568 ณ จังหวัดสงขลา ในวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี และสงขลา) ระหว่างวันอาทิตย์ที่ 16 – วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งมีประเด็นการตรวจราชการสำคัญ ประกอบด้วย (1) การพัฒนาการเกษตรสู่เกษตรทันสมัยและเกษตรมูลค่าสูง (ด้านพืช ประมง ปศุสัตว์ สมุนไพร และไม้เศรษฐกิจ) (2) การพัฒนาการท่องเที่ยวและท่องเที่ยวชุมชนสู่การท่องเที่ยวมูลค่าสูงอย่างยั่งยืน (3) การพัฒนาอุตสาหกรรม เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) การค้า การลงทุนและการค้าชายแดน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของกลุ่มจังหวัด (4) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่งโลจิสติกส์ เครือข่ายการสื่อสาร และพลังงาน เพื่อเป็นฐานการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของกลุ่มจังหวัด (5) การพัฒนาสังคมสู่สังคมเป็นสุข และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและ (6) การฟื้นฟูอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้
ต่างประเทศ
27. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนครั้งที่ 18 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 11 รวมทั้งการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 18 (18th ASEAN Defence Ministers’ Meeting:18th ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่11 (11th ASEAN Defence Ministers’ Meeting Plus: 11th ADMM-Plus) รวมทั้งการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ
สาระสำคัญ
กห. รายงานว่า รัฐมนตรีกลาโหมได้เข้าร่วมการประชุม ADMM ครั้งที่ 18 และการประชุม ADMM-Plus ครั้งที่ 11 รวมทั้งการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 19 - 22 พฤศจิกายน 2567 ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยมี พลเอก จันสะหมอน จันยาลาด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ สปป.ลาว เป็นประธานการประชุม มีผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้แทนจากประเทศสมาชิกอาเซียน ประเทศคู่เจรจา เลขาธิการอาเซียนและผู้แทนจากติมอร์-เลสเต ในฐานะผู้สังเกตการณ์ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. การประชุม ADMM ครั้งที่ 18
1.1 รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการรับรองและอนุมัติเอกสารผลลัพธ์ปี 2567 จำนวนทั้งสิ้น 4 ฉบับ ได้แก่ (1) ปฏิญญาร่วมเวียงจันทน์ของการประชุม ADMM ว่าด้วยความร่วมมือเพื่อให้อาเซียนเกิดสันติสุข ความมั่นคง และความเข้มแข็งของภูมิภาค (2) ระเบียบการปฏิบัติสำหรับประเทศผู้สังเกตการณ์ในกิจกรรมของคณะทำงาน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในกรอบการประชุม ADMM-Plus (3) เอกสารยุทธศาสตร์เพื่อการเตรียมความพร้อมในอนาคตของการประชุม ADMM และการประชุม ADMM-Plus และ (4) เอกสารการจัดการฝึกผสมทางทะเลระหว่างอาเซียน - สหรัฐอเมริกา ครั้งที่ 2
1.2 ที่ประชุมฯ รับทราบพัฒนาการความร่วมมือที่เกี่ยวข้องได้แก่ (1) การจัดการประชุมความร่วมมือทางทะเลและความเชื่อมโยงภายใต้เอกสารแนวความคิดว่าด้วยแนวทางการปฏิบัติด้านการป้องกันประเทศเกี่ยวกับมุมมองอาเซียนต่ออินโด - แปซิฟิก (2) การนำระเบียบปฏิบัติประจำของกองกำลังเตรียมความพร้อมอาเซียนในด้านการให้ความช่วยเหลือ ด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ เสนอต่อคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ และ (3) เอกสารผนวกประกอบเอกสารแนวความคิดว่าด้วยการเสริมสร้างความประสานสอดคล้องของกิจกรรมความร่วมมือภายใต้กรอบ ADMM และ ADMM-Plus
2. การประชุม ADMM-Plus ครั้งที่ 11
รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิก ADMM-Plus ได้มีการรับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุม ADMM-Plus ว่าด้วยความพร้อมในการรับมือต่อภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติธรรมชาติ และได้มีการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีและการพัฒนาขีดความสามารถร่วมกัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนมุมมองสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงของภูมิภาคและระหว่างประเทศในประเด็นที่สำคัญ เช่น (1) การแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจ (2) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (3) ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การก่อการร้ายอาชญากรรมข้ามชาติ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นพ้องต่อการแสวงหาแนวทางความร่วมมือที่ยั่งยืนบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ และการขับเคลื่อนผ่านกลไกความร่วมมือที่อาเซียนมีบทบาทนำ รวมทั้งการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับอาเซียน
[เอกสารที่ได้มีการรับรอง/อนุมัติ/รับทราบ ตามข้อ 1 และข้อ 2 รวม 5 ฉบับ มีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากฉบับที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 (เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ครั้งที่ 19 และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ครั้งที่ 11)]
3. การเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น งานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อาเซียน - เครือรัฐออสเตรเลีย ครบรอบ 50 ปี และงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์อาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครบรอบ 35 ปี โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกล่าวยืนยันความพร้อมสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างปี 2567 ถึงปี 2570
4. การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศคู่เจรจา จำนวน 5 ประเทศ ประกอบด้วย สปป.ลาว กัมพูชา มาเลเซีย จีน และเกาหลีใต้ เช่น
ประเทศ |
ประเด็นความร่วมมือ |
สปป.ลาว |
- การแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดน เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ - การส่งเสริมความร่วมมือเจ้าหน้าที่ในการปราบปรามและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ |
กัมพูชา |
- การส่งเสริมความร่วมมือชายแดน โดยเฉพาะการพัฒนาพื้นที่ชายแดน การเปิดใช้สะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา แห่งที่ 2 และการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 - การแก้ไขปัญหายาเสพติด การค้ามนุษย์ และการฉ้อโกงออนไลน์ |
มาเลเซีย |
- การเร่งรัดพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 จังหวัดนราธิวาส - การพัฒนาเส้นทางบริเวณด่านสะเดา จังหวัดสงขลา |
ในการนี้ กระทรวงป้องกันประเทศ สปป.ลาว ได้ส่งมอบตำแหน่งประธาน ADMM และ ADMM-Plus ในปี 2568 ให้แก่ กระทรวงกลาโหมมาเลเซีย โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียได้ประกาศแนวคิดหลักในการเป็นประธานฯ เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนในการสร้างความมั่นคงและเจริญรุ่งเรือง (ASEAN Unity for Security and Prosperity
28. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน และ 11 เดือนแรกของปี 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย ประจำเดือนพฤศจิกายน และ 11 เดือนแรกของปี 2567 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญ
การส่งออกของไทยในเดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่า 25,608.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (849,069 ล้านบาท) ขยายตัวร้อยละ 8.2 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัยการส่งออกขยายตัวที่ร้อยละ 7.0 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญจากการส่งออกสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ที่เติบโตในระดับสูง สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของโลก ขณะที่การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตยังคงขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวเชิงรุกของประเทศต่าง ๆ เพื่อรับมือกับพลวัตทางการค้ารูปแบบใหม่และความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารในตลาดโลก ยังเป็นแรงหนุนสำคัญที่ผลักดันให้การส่งออกของไทยเติบโตได้อย่างมีศักยภาพ ทั้งนี้ การส่งออกไทย 11 เดือนแรกของปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 5.1 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวร้อยละ 4.9
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 51,440.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 4.4 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 25,608.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 8.2 การนำเข้า มีมูลค่า 25,832.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว ร้อยละ 0.9 ดุลการค้า ขาดดุล 224.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้ารวม มีมูลค่า 557,796.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 5.4 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออก มีมูลค่า 275,763.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 5.1 การนำเข้า มีมูลค่า 282,033.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 5.7 ดุลการค้า ขาดดุล 6,269.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท เดือนพฤศจิกายน 2567 มีมูลค่าการค้ารวม 1,716,526 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 4.1 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออก มีมูลค่า 849,069 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 0.6 การนำเข้า มีมูลค่า 867,456 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 7.2 ดุลการค้า ขาดดุล 18,387 ล้านบาท ภาพรวม 11 เดือนแรกของปี 2567 มูลค่าการค้ารวม มีมูลค่า 19,728,005 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การส่งออก มีมูลค่า 9,695,455 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 10,032,550 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.8 ดุลการค้า ขาดดุล 337,096 ล้านบาท
การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 5.7 โดยสินค้าเกษตร ขยายตัวร้อยละ 4.1 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 7.7 ทั้งนี้ สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ยางพารา ขยายตัวร้อยละ 14.1 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น มาเลเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และตุรกี) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 12.0 (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร จีน เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้) ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 44.8 (ขยายตัวในตลาดจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฮ่องกง) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 3.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ แคนาดา อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย และอิสราเอล) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 18.1 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย มาเลเซีย อิตาลี และไต้หวัน) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 24.6 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และเนเธอร์แลนด์) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าวหดตัวร้อยละ 20.6 (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น แคนาดา และฝรั่งเศส) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 6.3 (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีได้ และอินโดนีเซีย) น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 23.3 (หดตัวในตลาดกัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย จีน และไต้หวัน) และไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 8.3 (หดตัวในตลาดเมียนมา จีน เกาหลีได้ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัวร้อยละ 5.7
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 9.5 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 40.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เยอรมนี ญี่ปุ่น และมาเลเซีย) รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 4.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวียดนาม เม็กชิโก และอินโดนีเซีย) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 24.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 16.7 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย และสิงคโปร์) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 24.3 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เคมีภัณฑ์ ขยายตัวร้อยละ 10.7 (ขยายตัวในตลาดจีน อินเดีย อินโดนีเซีย กัมพูชา และเมียนมา) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 35.8 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย อิตาลี อินเดีย และเวียดนาม) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 13.8 (ขยายตัวในตลาดเม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ ไต้หวัน มาเลเซีย และสาธารณรัฐเช็ก) ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 34.3 (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และอาร์เจนตินา) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์และไดโอด หดตัวร้อยละ 71.5 (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน เวียดนาม อินโดนีเซีย และสาธารณเช็ก) ทั้งนี้ 11 เดือนแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 5.5
ตลาดส่งออกสำคัญ
การส่งออกไปตลาดสำคัญส่วนใหญ่ยังขยายตัวได้ดีตามอุปสงค์การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นของประเทศคู่ค้า ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์โลกและความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าในอนาคต ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก ขยายตัวร้อยละ 8.3 โดยขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ร้อยละ 9.5 จีน ร้อยละ 16.9 สหภาพยุโรป (27) ร้อยละ 11.2 และ CLMV ร้อยละ 21.0 ขณะที่ญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 3.7 และอาเซียน (5) หดตัวร้อยละ 1.5 (2) ตลาดรอง ขยายตัวร้อยละ 7.1 โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ร้อยละ 18.3 ทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 1.0 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 1.7 แอฟริกา ร้อยละ 13.8 ลาตินอเมริกา ร้อยละ 31.8 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 12.0 ขณะที่ตลาดรัสเซียและกลุ่ม CIS หดตัวร้อยละ 5.3 (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 29.0
กระทรวงพาณิชย์คาดว่าการส่งออกทั้งปี 2567 จะทำสถิติใหม่ด้วยมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท สะท้อนความสำเร็จที่เหนือกว่าเป้าหมายที่วางไว้ อันเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการดำเนินนโยบายเชิงรุก ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ สำหรับแนวโน้มในปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 2-3 ภายใต้บริบทความท้าทายที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ แนวโน้มการค้าโลกที่อาจชะลอตัว ความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ยังไม่คลี่คลายอัตราดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ตลอดจนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อย่างไรก็ตาม ด้วยการขับเคลื่อน 10 นโยบายยุทธศาสตร์การส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต การขยายฐานตลาดการค้าใหม่ ไปจนถึงการเร่งผลักดันความตกลงการค้าเสรี (FTA) ให้ครอบคลุมพันธมิตรทางการค้าในทุกภูมิภาค ประกอบกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า จะเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและรักษาการเติบโตของภาคการส่งออกไทยในระยะต่อไป
แต่งตั้ง
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายปรีชา เวชศาสตร์ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่ง ครูวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ วิทยาลัยเทคโนโลยีการเกษตรและประมงปัตตานี สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรกรรมและประมง (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
30. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับการบริหารราชการ สั่งและปฏิบัติราชการสำนักงาน ก.พ.ร. ขอให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง เลขาธิการ ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ.ร.สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบการต่อเวลา 1 ปี (ครั้งที่ 1) ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 2) ตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2569
31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นางสาวภคนันท์ ศิลาอาสน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
32. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เสนอแต่งตั้ง นางศศิพร ปาณิกบุตร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน กปร. ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงาน กปร. เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
33. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายพิสิฐ พูลพิพัฒน์ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายอุเทน ชนะกุล รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
34. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ราย ดังนี้
1. นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
2. นายวิศรุต ปู่เพ็ง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล)
3. นายพิษณุ พลธี ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล)]
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง นายกองเอก วิสาร เตชะธีราวัฒน์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว
36. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดิน (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดที่ดิน จำนวน 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้
1. นายสมมาตร มณีหยัน (ด้านการจัดการที่ดิน)
2. นายสมโสถติ์ ดำเนินงาม (ด้านทรัพยากรดิน)
3. นายนภดล ตันติเมฆิน (ด้านการปฏิรูปที่ดิน)
4. นายมนต์สังข์ ภู่ศิริวัฒน์ (ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
5. นายณรงค์ สืบตระกูล (ด้านกฎหมาย)
6. นางศุปกิจ สกลเสาวภาคย์ (ด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ)
7. นายจุมพล ริมสาคร (ด้านเศรษฐศาสตร์)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 เป็นต้นไป
37. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอแต่งตั้ง นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการบริหารจัดการและทรัพยากรบุคคล) ในคณะกรรมการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล แทน นายวุฒิรักษ์ เดชะพงษ์พันธุ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี