ผบ.ตร.ยันไม่ลอยตัว ปมป.ป.ช.ขอเวชระเบียน“ทักษิณ”ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เผยสั่ง แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ ทำตามกฎหมาย ยึดประโยชน์ส่วนรวม ด้าน“สว.อังคณา” แนะ “ทักษิณ”ไม่ควรปิดบัง หยุดอ้างสิทธิส่วนบุคคลชี้ต้องยอมเสียสละเพราะเป็นบุคคลสาธารณะ จี้ กรมแพทย์-รพ.ตำรวจ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ
เมื่อวันที่ 29 มกราคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และอดีต ผบ.ตร.ออกมาระบุว่า หลังจากเข้าให้ข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เกี่ยวกับการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ รพ.ตำรวจ หากไม่ส่งผลการรักษาให้ ป.ป.ช.อาจถูกฟ้องได้ว่า เป็นเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่บอกว่ายุคไหน แต่เมื่อตนเป็น ผบ.ตร.เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้อง ได้บอกไปแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอำนาจหน้าที่ของแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ ที่จะพิจารณาในรูปคณะกรรมการ และต้องเป็นไปตามกฎหมาย ตามระเบียบ ซึ่งหนังสือที่มีการยื่นมา ตนได้สั่งการไปแล้ว ป.ป.ช.ก็มีหนังสือมา จึงสั่งการไปที่แพทย์ใหญ่ ให้ดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วทางโรงพยาบาลตำรวจ มีการส่งเวชระเบียนไปให้ ป.ป.ช.แล้วหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แต่แพทย์ใหญ่ ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา กล่าวถึงกรณีที่นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท.ได้ขอหลักฐานการรักษาตัวของนายทักษิณ จากโรงพยาบาลตำรวจ และทางโรงพยาบาลตำรวจได้ส่งหนังสือกลับโดยปะหน้าเอกสารว่า “ลับ ต้องระมัดระวังระเบียบการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ” ว่าเรื่องของนายทักษิณ นั้น ไม่ควรเป็นเรื่อง เพราะในความเห็นส่วนตัวมองว่า นายทักษิณ เป็นผู้ใหญ่ และการเจ็บป่วยของบุคคลสาธารณะไม่ควรต้องปิดบัง หากไม่ได้เป็นโรคติดต่อ หรือโรคที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ตนพูดมาตลอด อีกทั้ง รมว.ยุติธรรม และ ผอ.โรงพยาบาลตำรวจ ก็พูดว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล
นางอังคณา กล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากจะบอกก็คือสิทธิส่วนบุคคล ต้องมาชั่งน้ำหนักกับประโยชน์สาธารณะ ซึ่งผู้ที่เป็นบุคคลสาธารณะ ต้องยอมละสิทธิส่วนบุคคลบางประการ เพื่อจะให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งสาธารณะก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ เพราะเดี๋ยวนี้ต่อให้เป็นโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ก็ไม่มีอะไรที่น่าจะต้องปิดบัง นายทักษิณ เป็นถึงอดีตนายกฯ เป็นบุคคลสาธารณะ ก็น่าจะมีความเสียสละในเรื่องสิทธิส่วนบุคคลบางประการ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ให้เกิดความกังขา และยังเกิดความโปร่งใสต่อสังคมด้วย
เมื่อถามว่าหลังจากนี้ ทาง กมธ.จะเคลื่อนไหวเรื่องนี้หรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า กรรมาธิการฯ ของสภาผู้แทนฯ กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ โดยส่วนตัวมองว่า หากจะให้ตรวจสอบก็จะเสียเวลามาก แต่อยากจะบอกกับนายทักษิณ ว่าในเมื่อสังคมพูดถึงเรื่องนี้มาตลอด ก็ควรจะออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นความสง่างามด้วยซ้ำ
“สิ่งที่คนสงสัยก็คือพอเข้าเรือนจำ นายทักษิณ ไม่ต้องนอนเรือนจำแม้แต่คืนเดียว คนอื่นยังต้องมีการตรวจสอบ แต่นายทักษิณ ได้รับการตรวจที่ไม่เหมือนกับคนอื่น จะถือเป็นการเลือกปฏิบัติได้ ที่สำคัญระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล ก็ไม่มีใครรู้ แต่พอครบกำหนดการพักโทษ เมื่อออกมา นายทักษิณ ก็เหมือนคนธรรมดา ดูไม่เหมือนคนเคยเจ็บป่วยร้ายแรง ซึ่งเป็นธรรมดาที่สังคมจะต้องสงสัย และเรื่องของประโยชน์สาธารณะ เป็นสิ่งสำคัญมาก กรมการแพทย์ และโรงพยาบาลตำรวจ ควรจะเปิดเผย และหยุดอ้างเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว เพราะเมื่อเทียบกับการปกป้องประโยชน์สาธารณะ เรื่องประโยชน์สาธารณะต้องมาก่อน เพราะเกี่ยวข้องกับการไม่เลือกปฏิบัติ” นางอังคณา กล่าว
ทางด้าน ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย อดีต สว.โพสต์ข้อความระบุว่า “คนป่วยวิกฤตช่วยตัวเองไม่ได้ เพิ่งพ้นระยะเวลาต้องขังไม่กี่วัน วันนี้ประกาศความแข็งแรง พร้อมเป็นผู้บริหารประเทศได้อีก 17 ปี ถึงอายุ 92 ปี สบายๆ จึงน่าสงสัยมาก ว่าเคยป่วยวิกฤต อยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จริงหรือไม่? และวิญญูชนทั่วไปจะเชื่อหรือไม่?
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี