(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)

ก.พ.ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้นี้ได้กระทำผิด เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2530 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและสั่งลงโทษตัดเงินเดือนผู้นี้เมื่อวันที่ 6ตุลาคม 2530 ไปนั้น เป็นการสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว กรณีจึงอยู่ในเกณฑ์ได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมพรรษา 60 พรรษา พ.ศ.2530แล้ว กระทรวงยุติธรรมจึงไม่อาจดำเนินการทางวินัยแก่ผู้นี้ได้อีกต่อไป การที่กระทรวงยุติธรรมได้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นใหม่ และสั่งลงโทษผู้นี้เป็นให้ออกจากราชการจึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบ ดังนั้น เมื่อผู้นี้ได้รับการล้างมลทินแล้ว กระทรวงยุติธรรมจะต้องออกคำสั่งยกเลิกคำสั่งที่สั่งให้ผู้นี้ออกจากราชการ และสั่งให้ผู้นี้กลับเข้ารับราชการต่อไป (หนังสือสำนักงานก.พ.ที่ นร 0711/ล 782 ลงวันที่ 16มิถุนายน 2531)

(9) กระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งว่า จังหวัด อ.ได้มีคำสั่งลงวันที่ 10 กันยายน 2530 สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ เจ้าหน้าที่ธุรการรายหนึ่ง กรณีถูกกล่าวหาว่ายืมยาเม็ดคุมกำเนิดจากเจ้าพนักงานส่งเสริมสุขภาพ ประจำโรงพยาบาลจำนวน 300 แผงแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยนำไปฝากขายที่ร้านขายยาเอกชน คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานผลการสอบสวนต่ผู้ว่าราชการจังหวัดว่า พฤติการณ์ของผู้นี้เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 81 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 ควรลงโทษให้ออกจากราชการ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้นี้กระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ตามมาตรา 81 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 จังหวัด อ. จึงได้สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ผู้นี้โดยไม่ส่งให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ. พิจารณาก่อนตามมาตรา 86 ทวิ (2)แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2518 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2520จึงขอหารือไปยัง ก.พ. รวม 3 ประการนั้น

สำนักงาน ก.พ.ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นดังนี้

ปัญหาข้อที่ 1 การที่จังหวัดอ.มีคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ผู้นี้ไปโดยไม่ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. จังหวัด อ.พิจารณาก่อน ถูกต้องหรือไม่ และคำสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น

(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)