‘เสรีพิศุทธ์’พร้อมลงถนน
ซัด‘แม้ว’หนีแน่!
ข้อมูลชั้น 14 มัดดิ้นไม่หลุด
ปปช.ยังไม่สอบเทวดา
โยนกก.ไต่สวนชี้ขาด
“เสรีพิศุทธ์”พร้อมร่วมลงถนนผดุงความยุติธรรม มัดเทวดาชั้น 14 ชี้หลักฐานแน่นคงดิ้นยาก ในขณะที่เลขาฯป.ป.ช.ยังไม่เรียกสอบ“ทักษิณ” ระบุเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไต่สวนด้าน“ทักษิณ” ขึ้นศาลรายงานตัวรับเงินประกัน5 ล้านคืนหลังได้รับอนุญาตให้บินไปมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นการไปเยี่ยมนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วงที่นายทักษิณถูกจำคุกแต่ได้รับอนุญาตให้ไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยอ้างปัญหาสุขภาพ ว่า ในครั้งแรกหลังจากนัดหมายกับบุคคลที่ประสานเรื่องการขึ้นไปเยี่ยม ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้ไปจอดรถที่ชั้นใต้ดินแล้วรอให้บุคคลดังกล่าวมารับ จากนั้นก็ถูกพาเข้า-ออก ลัดเลาะไปตามลิฟต์ต่างๆ จนถึงชั้น 13 จากนั้นเดินขึ้นบันไดหนีไฟไปชั้น 14
ซึ่งเวลานั้นตนก็ไม่เห็นใคร ที่บอกว่ากรมราชทัณฑ์จัดเจ้าหน้าที่มาเฝ้านั้นตนไม่เห็นสักคนหนึ่ง หรือที่บอกว่าป่วยตนก็ไม่เห็นแพทย์ บรรยากาศบนชั้น 14 จะมี 2 ฟาก ตนก็ถูกเชิญให้ไปนั่งในฟากที่เป็นพื้นที่รับแขก สักพักนายทักษิณก็เดินมาหาจากอีกฟากหนึ่ง โดยวันที่พบกันนั้นนายทักษิณสวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ส่วนการพูดคุยกันซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนั้นก็เป็นเรื่องบ้านเมืองและเรื่องการเมือง แต่ก็ไม่เห็นว่านายทักษิณดูมีอาการเจ็บป่วย
เผยไปพบ”แม้ว”ถึง2รอบ
จากนั้นตนยังมีโอกาสได้ไปเยี่ยมนายทักษิณเป็นครั้งที่ 2 ผู้ประสานงานได้แจ้งทางไลน์ว่าขอให้ตนเดินทางไปคนเดียว เมื่อไปถึงก็ไปนั่งรอที่จุดเดิม แต่ครั้งนี้นายทักษิณได้ชวนตนไปอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องรับแขก มีทีมงานนำขนมและกาแฟมาเสิร์ฟ สามารถรับประทานไปพลางมองบรรยากาศสนามม้าที่อยู่ข้างๆ ไปด้วยได้ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เข้าไปยังห้องพักผู้ป่วย
ส่วนการที่ตนไปให้ข้อมูลกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึง 2 ครั้งเช่นกัน ในครั้งแรกตนไปเล่าเรื่องความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ รวมถึงสมัยที่นายทักษิณต้องไปอยู่ต่างประเทศ ตนก็มีโอกาสไปพบเมื่อครั้งนายทักษิณเดินทางไปประเทศจีน เพื่อให้ทาง ป.ป.ช. เชื่อว่าตนได้รับความไว้วางใจจนได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ได้อย่างไร
จี้ปปช.ไปตรวจชั้น14
อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกที่ไปให้ข้อมูล มีเพียงเจ้าหน้าที่มาสอบถามและรับฟังเท่านั้น ยังไม่ใช่กรรมการ ป.ป.ช. กลายเป็นว่าตนต้องเป็นคนแนะการซักถาม แม้เจ้าหน้าที่จะบอกว่าตนเองเป็นข้าราชการระดับ 8 ไม่ใช่เด็กแล้วก็ตาม อีกทั้งตนก็ย้อนถามไปด้วยว่าได้ไปชั้น 14 มาแล้วหรือยัง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่ายัง เมื่อถามต่อว่าจะไปหรือไม่ก็ได้รับคำตอบว่าต้องรอสอบถามผู้ใหญ่ก่อน กระทั่งต่อมาเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่ามีมูล จึงตั้งคณะกรรมการไต่สวน แต่ครั้งนี้ผู้ไต่สวนจะเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งคณะด้วยตนเอง
“เจอผู้ใหญ่ยังคุยกันรู้เรื่องง่ายกว่า ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่คุยกัน ศีลเสมอกัน คุยกันรู้เรื่อง เราก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ครั้งที่แล้วเราไปเยี่ยมมา 2 ครั้ง ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก ถ้าคิดมากป่านนี้เก็บพยานหลักฐานเยอะแยะเลย ทีนี้ก็กลับมานั่งคิด คิวท่านเสรี แสดงว่ามีคนอื่นด้วย มันต้องมีคิวคนนั้นคนนี้ แล้วคุณทักษิณนัดพบพวกนี้ นอกจากจะไม่ป่วยแล้วนัดพบพวกนี้ เวลาผมไปจะขึ้นจะลง 4 เที่ยวเลย ไปครั้งหนึ่งก็ 2 เที่ยว อีก 2 ครั้งก็ 4 ไม่พบใครเลย ไม่มีใครเห็นผม แล้วถ้าคุณทักษิณจะลงขึ้นบ้างจะมีใครเห็นไหม? มันก็ไม่น่าจะมีเหมือนกัน” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ตนเชื่อว่าชั้น 14 รพ. ตำรวจ น่าจะถูกใช้รับแขกมากกว่า เพราะข่าวออกทั้งประเทศว่านายทักษิณป่วยพักอยู่ชั้น 14 จะให้ไปรับแขกที่บ้านก็คงไม่ได้ แต่พอไม่มีแขกก็กลับบ้าน ก็แนะนำกรรมการ ป.ป.ช. ไปว่า ให้ตรวจสอบกิจกรรมระหว่างนั้นว่ามีอะไรข้างนอกหรือไม่ นอกจากนั้น ตามที่ปรากฏว่า มีการอนุญาตให้เพียงคนในครอบครัวของนายทักษิณ จำนวน 10 คน เช่น คุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว เท่านั้นที่เข้าเยี่ยมได้ ตนก็แนะนำว่าให้ ป.ป.ช. เชิญบุคคลเหล่านั้นมาให้ข้อมูล
หาหลักฐานการป่วยเพิ่ม
แต่ทาง ป.ป.ช. ก็ตอบว่าอย่าหาเรื่องให้พวกตนเลย แต่ตนก็แย้งไปว่านี่เป็นหลักการ อย่างไรก็ต้องเชิญ อย่างที่บอกว่าพ่อป่วยวิกฤติ ลูกไปเฝ้าหรือไปเที่ยว ไปหาหลักฐานมาประกอบ หรืออย่างเรื่องการตรวจรักษาของแพทย์ อย่างตนเคยป่วยต้องไปนอนโรงพยาบาล 23 วัน เมื่อแรกเข้าไปแพทย์ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร ก็มีทั้งแพทย์ด้านสมอง หัวใจและปอดมาตรวจ ซึ่งจะมีการบันทึกในเวชระเบียน ปรากฏว่าตนติดเชื้อโควิด-19 และมีอาการน้ำท่วมปอด เมื่อรู้แล้วแพทย์ด้านสมองและหัวใจก็ถอยออกไป อีกทั้งตลอด 23 วันของการรักษาแทบไม่ได้นอนเพราะแพทย์มาตรวจถี่มาก และการนอนโรงพยาบาล 23 วัน ตนพบว่ามวลกล้ามเนื้อหายไปมาก พอลุกเดินแทบจะเป๋เลย ซึ่งในช่วงบ่ายๆ พอคนใน รพ. ไม่มาก แพทย์ก็จะพาตนไปเดินแถวๆ หน้าห้องผู้ป่วยเพื่อเป็นการทำกายภาพบำบัด ในขณะที่นายทักษิณออกมาในสภาพกระโดดโลดเต้น ซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัย ดังนั้นตั้งแต่ที่ รพ.ราชทัณฑ์ หากมีผู้ป่วยก็จะต้องตรวจแบบที่ตนยกตัวอย่าง และเมื่อส่งตัวมาที่ รพ.ตำรวจ ตอนแรกก็ยังไม่ใช่การส่งไปชั้น 14 แต่ต้องไปห้อง ICU ก่อน มีการตรวจรักษาซึ่งต้องบันทึกในเวชระเบียน เมื่ออาการดีขึ้นจึงค่อยส่งไปพักฟื้นที่ชั้น 14 การป่วยวิกฤติจะต้องเป็นแบบนี้
เชื่อจุดจบ”ทักษิณ”หนีแน่
ส่วนจุดจบของการออกมาต่อสู้ในครั้งนี้ ตนเคยให้สัมภาษณ์ไปหลายรายการแล้วว่า น่าจะจบลงที่การหลบหนี โดยปัจจุบัน ป.ป.ช. และแพทยสภากำลังทำงานกันอยู่ ซึ่งแพทยสภาขอเวชระเบียนไป ได้บ้างไม่ได้บ้างทั้งที่ระเบียบบอกว่าต้องให้ แต่แพทย์ก็ไม่ยอมให้ ซึ่ง ป.ป.ช. ต้องกล้าตัดสินใจ เพราะมีกฎหมายอยู่แล้วว่าใครไม่ให้มีความผิดโทษจำคุก 6 เดือน สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีกับแพทย์ใหญ่ที่ไม่ให้เวชระเบียนได้เลยหรือหากแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ไม่ให้ ก็ต้องส่งเรื่องไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้สั่งการ หรือไล่ขึ้นไป เช่น นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็จะมีความผิดด้วย แต่ที่ไม่ทำกันเพราะกลัวจะต้องไปดำเนินคดีกับบุคคลต่างๆ ที่กล่าวมา นี่คือการใช้กฎหมายที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ หากเป็นตนป่านนี้ดำเนินการไปหมดแล้ว
ไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้องให้หมด
ส่วนการที่ ป.ป.ช. สอบสวนบุคคลจำนวน 12 คน ที่อาจมีส่วนช่วยเหลือนายทักษิณ ตนเชื่อว่าอย่างไรก็ต้องขยายผลไปถึงนายทักษิณได้ แต่ยังต้องสอบอีกเยอะ โดยตามขั้นตอนคือกล่าวหาตามที่พบเห็น แต่หากมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมไปถึงใครก็สามารถเพิ่มเข้าไปได้อีก ทั้งนี้ ป.ป.ช. มีห้วงเวลาสอบสวนตามกฎหมายคือ 2 ปี และขอขยายเพิ่มได้อีก 1 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จก็ต้องถูกลงโทษด้วย เท่ากับต้องรอ เรื่องช้าก็ตรงนี้
พร้อมลงถนนสู้กับทักษิณ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตอบคำถามเรื่องการออกมาเคลื่อนไหวตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร และผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่า หากให้มาเป็นแกนนำม็อบในเรื่องนี้จะมาหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ขณะที่เขามีแกนนำอยู่แล้ว แต่ตนมองว่าม็อบทุกวันนี้ไม่เหมือนในอดีต
กล่าวคือ สมัยก่อนเรียกคนมากันเยอะๆ มาต่อต้านรัฐบาล มีการเดินขบวนไปตามจุดต่างๆ แต่การที่มีคนมารวมตัวกันมากๆ แกนนำต้องคุมให้ถึง ไม่เช่นนั้นก็จะเห็นผู้ชุมนุมเข้าไปทุบกระจกร้านค้าหยิบฉวยสิ่งของมีค่า กลายเป็นม็อบอะไรก็ไม่รู้ ทั้งที่แกนนำไมได้คิดอะไร หรือมีการบริจาคเงินให้ม็อบกันมากๆ แต่ก็มีข่าวเงินบริจาคหาย เมื่อประกอบกับการที่มีศาลรัฐธรรมนูญ หากผิดอะไรก็เป็นศาลที่ตัดสิน
. “แต่ก่อนคนไทยไม่มีทางออกก็มาทางม็อบ แต่ทีนี้มีทางออกแล้ว เรื่องนี้ก็ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คัดสิทธิ์ทางการเมืองไป ทีนี้ภารกิจของม็อบก็ลดน้อยลงแล้ว แต่ทีนี้เรื่องก็ยังช้าอยู่ อย่างเรื่องครอบงำพรรค เรื่องที่ดินอัลไพน์ เรื่องอื่นๆ ก็ยังค้างอยู่ กกต. มันก็ไม่ถึงศาล มันก็คือปัญหา มันก็เกิดม็อบเกิดอะไรขึ้น แต่ผมเคยบอกไว้แล้วว่าถ้าเกิดม็อบจริง เรารู้ว่าม็อบเคลื่อนไหว ประเด็นหรือทิศทางมันถูกต้องอยู่แล้ว แต่ถ้าเคลื่อนไหวจริงๆ ผมอาจจะไปสนับสนุนบางครั้งบางคราวก็ได้ ในการที่จะให้ความจริงปรากฏต่อพี่น้องประชาชน แต่จะไม่เป็นผู้นำ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
แม้วรายงานตัวต่อศาล
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ไปรายงานตัวหลังศาลอนุญาติให้ไปมาเลเซียและกลับมาแล้ว พร้อมกับรับหลักทรัพย์ประกันเงินสด 5 ล้านบาท
นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเรียกนายทักษิณ และครอบครัวมาให้ถ้อยคำว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะต้องเชิญนายทักษิณมาให้ถ้อยคำด้วยหรือไม่ นายสาโรจน์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะหากมีพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนหรือต่อให้ไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลย ก็ไม่มีเหตุไปเชิญ แต่ขึ้นอยู่กับคณะไต่สวน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี