“พิชัย” ระบุเงินหมื่น เฟส 3 ยังอยู่ในไทม์ไลน์เดิม ยันไม่จ่ายเป็นเงินสด แต่จะจ่ายเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ส่วนนิด้าโพล ชี้ผู้สูงวัยนำเงินหมื่น ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ยอมรับมีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวถึงความคืบหน้าเงินดิจิทัลเฟส 3 ว่า อันนั้นเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของการที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาเหมือนอย่างที่เราเคยรุ่งเรืองมาก่อน เป็นแค่ส่วนเดียว อย่างที่ทราบ บ้านเรามีคนที่อยู่ข้างล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครัวเรือน และ SME เขาเรียกว่าอยู่ในสภาพที่กรอบมานาน
อันนั้นไม่ใช่แค่การกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากการลงทุนการจ้างงานแล้ว เราอาจจะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อไปสู่การแก้ไข เพราะว่ายังไงเศรษฐกิจจะไปข้างหน้าได้ก็ต้องอาศัยกำลังคน และถ้าคนฟื้นได้ อันนั้นจะเป็นเรื่องดี
“ดิจิทัลวอลเล็ต ผมว่าสำคัญมากที่สุด มากกว่าการที่จะให้เงินสด คือเราคงจะรู้ว่าทั่วโลกเขาไปเรื่อง Digital Economy เดี๋ยวนี้ธุรกิจทุกอย่างไปทางดิจิทัลหมด ของที่อยู่รอบตัวเรานี้ ไม่มีอะไรที่มันไม่เป็นดิจิทัล แล้วมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ของใช้อะไรทั้งหมดเป็นอย่างนั้น เพราะนั่นแปลว่าเราจะต้องทำให้คนในประเทศ มีความคุ้นเคยกับกลไกของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยดิจิตอลให้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนต้องเรียนรู้การใช้ การขับเคลื่อนผ่านดิจิทัล มิฉะนั้นเราก็จะไม่ทันชาวโลก” นายพิชัยกล่าว
เมื่อถามว่า ขณะนี้เงินดิจิทัลเฟส3 มีการทดลองระบบไปถึงไหนแล้ว นายพิชัยกล่าวว่า ทั้งหมดนี้ เราจะขับเคลื่อนผ่านระบบที่เรียกว่า “ดิจิทัลวอลเล็ต” ก็มีความคืบหน้าไปเยอะแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องของการตรวจสอบระบบว่าเรียบร้อยดี ส่วนการจะใช้ระบบอย่างไร มันไม่ใช่ทำทีเดียว ใช้ทีเดียวแล้วเสร็จ ระบบนี้เป็นระบบที่จะอยู่กับเราอีกนาน ระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เพราะฉะนั้นเป็นระบบที่เราจะต้องค่อยๆ ปรับไปเรื่อยๆ เพื่อให้มันสอดคล้องกับเรื่องที่เราจะเชื่อมต่อกับประชาชน ขณะนี้ได้มีการทดสอบเล็กๆ แล้วบางระบบย่อย เพราะในนั้นมีหลายระบบ ทั้งระบบการจ่าย ระบบเช็ก อะไรต่างๆ เหล่านี้ เขาก็ค่อยๆ เทสต์ดู มันเป็นระบบใหญ่ ก็ค่อยๆ ปรับขึ้นไป ระบบไม่ได้เสร็จวันเดียว
วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “ผู้สูงอายุรับเงินสด 10,000 บาท แล้วจะสนับสนุนรัฐบาลไหม” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ทั้งตนเอง และ/หรือคนในครอบครัว ได้รับเงิน 10,000 บาท จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง
จากการสำรวจเมื่อถามถึงการนำเงินไปใช้จ่ายของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือ คนในครอบครัวที่ได้รับเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่าตัวอย่างร้อยละ 86.18 ระบุว่า ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ น้ำมันเชื้อเพลิง) รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค หาหมอ) ร้อยละ 13.66 ระบุว่า ใช้หนี้ ร้อยละ 11.98 ระบุว่า เก็บออมไว้สำหรับอนาคต ร้อยละ 9.24 ระบุว่า ใช้ลงทุนการค้า ร้อยละ 8.70 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ร้อยละ 4.35 ระบุว่า ใช้ซื้อหวย สลากกินแบ่งรัฐบาล ร้อยละ 1.76 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 0.53 ระบุว่า ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ใช้จ่าย เพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ เป็นต้น)
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการสนับสนุนรัฐบาลของผู้ที่ได้รับเงิน 10,000 บาท ไม่ว่าจะเป็นตนเอง และ/หรือคนในครอบครัวที่ได้รับผลประโยชน์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 44.89 ระบุว่า มีส่วนทำให้สนับสนุนรัฐบาล รองลงมา ร้อยละ 30.69 ระบุว่า จะมีหรือไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว ร้อยละ 14.35 ระบุว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 10.07 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี