ไม่ใช่พลเมืองไทย-ปัดค้ามนุษย์
‘หม่องชิตตู’โต้ลั่น
ต่างชาติมาเองแล้วอ้างตกเป็นเหยื่อ
ตอกกลับไทยรู้ดีว่าเข้าช่องทางไหน
จ่อ‘ตัดไฟ-เนต’ชายแดนไทย-เขมร
ลุยสร้างรั้วชายแดนสระแก้ว165กม.
“ภูมิธรรม”ลุยสระแก้วติดตามมาตรการซีลชายแดน-ปราบแก๊งคอลฯ-ตัดไฟ-เนตย้ำ“กสทช.”งัดมาตรการ“ซิม-สาย-เสา”เน้นสัญญาณเนต เหตุเขมรผลิตไฟเองได้ รับข้อเสนอผวจ.สระแก้ว ชงของบ385 ล้าน ผุดรั้วชายแดนไทย-เขมรสั่งขยายพื้นที่ ‘ตัดไฟ-สัญญาณเน็ต’อีก 3 อำเภอ 1 เกาะ 4 จังหวัด สั่งจนท.ทุกหน่วยเข้มชายแดน ส่วนปมหมายจับ “หม่องชิตตู”ว่าตามกระบวนการและหลักฐาน ถ้ามีหมายแวะเข้าไทยพร้อมจับทันที ขณะที่ “หม่องชิตตู”โต้ไทย ลั่นไม่ได้เป็นพลเมืองไทย –ไม่ได้ค้ามนุษย์ ยันต่างชาติเข้าเมียนมาเอง แล้วอ้างตัวเป็นเหยื่อ
เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สนามบินกองบินตำรวจ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายก รัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เดินทางไปสนามเฮลิคอปเตอร์ ร.13 พัน3 รอ.ลงพื้นที่ตรวจราชการที่อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้เกี่ยวข้องร่วมคณะ ติดตามความคืบหน้าการซีลชายแดน การตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ต
ผวจ.สระแก้วชง3ข้อเสนอผุดรั้วชายแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเดินทางถึงจ.สระแก้ว นายภูมิธรรมเป็นประธานประชุมติดตามการปฏิบัติงานและมอบนโยบายแก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ รวมถึงปัญหาการปราบปรามยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ อาชญากรรมไซเบอร์ การเปิดบัญชีม้า
โดยนายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วรายงานว่า สถานการณ์ภาพรวมในจ.สระแก้ว การข้ามแดนตามข้อตกลงไทย-กัมพูชา กำหนดใช้พาสปอร์ตและหนังสือผ่านแดนชั่วคราว และการเดินทางเข้าออกได้ติดตามตรวจสอบเข้มข้น มีรายงานว่าขณะนี้คนไทยอยู่ในพื้นที่ปอยเปตกว่า 3 หมื่นคน จากปัญหาที่เกิดขึ้นจังหวัดขอเสนอรัฐบาล 3 เรื่องคือ 1.เรื่องเสาสัญญาณบริเวณชายแดน ขอให้ กสทช.และหน่วยงานความมั่นคง แจ้งจังหวัดสระแก้วให้ทราบถึงระยะห่างจากชายแดน เพื่อกำหนดระยะความสูงของเสาในการอนุญาตให้ก่อสร้างได้ 2.การทำรั้วแนวชายแดนติดกับจ.สระแก้วระยะทาง 55 กิโลเมตร งบประมาณ 385 ล้านบาท พร้อมกล้องซีซีทีวี ป้องกันลักลอบข้ามแดน เนื่องจากยังมีปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิด จึงอยากให้ออกแบบรั้วป้องกันการข้ามแดนผิดกฎหมาย 3.ขอให้ติดตามความคืบหน้าการตั้งสถานกงสุลที่มีแนวคิด ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เพื่อดูแลช่วยเหลือคนไทยใน 8 จังหวัดกัมพูชา ให้การช่วยเหลือและแก้ปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว
กสทช.ลดความสูง-ตั้งเสา-สายส่งใหม่
ด้านผู้แทนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. )กล่าวว่า กสทช.จะประสานให้ลดความสูง และกำหนดระยะห่างของเสาที่ห่างไม่ถึง 1 กิโลเมตร (กม.) ให้ล้มหมด และจะเข้าไปกำหนดกำลังส่ง สายส่งใหม่ และหันเสาและตัดกำลังส่งลง ลดสัญญาณที่ไปทางกัมพูชา และจะตั้งกำลังส่งต่ำกว่ามาตรฐาน ขณะที่ซิมที่ใช้กับโทรศัพท์และเอสเอ็มเอส จะกำหนดให้จดเลขหมายประจำเครื่อง ทั้งการส่งเอสเอ็มเอสและที่ส่งจากซิมบ็อกซ์ รวมถึงกำหนดให้ลงทะเบียนอีซิม จากเดิมสามารถลงทะเบียนด้วยตัวเองได้ ให้ไปลงทะเบียนที่ตั้ง และกำหนดให้ส่งได้แค่ภายในประเทศไทย
ย้ำ6เดือนเห็นผล-รับแผนทำรั้วชายแดน
ขณะที่นายภูมิธรรมกล่าวมอบนโยบายและข้อสั่งการว่า รัฐบาลคิกออฟเรื่องซีลชายแดน หวังว่าใช้เวลา 6 เดือนจะเห็นผลในการดำเนินการ และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทหาร ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องและจะเป็นมาตรการเริ่มต้นสกัดกั้นยาเสพติด ป้องกันการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นผู้ประสานงาน ส่วนจ.สระแก้ว ขอชื่นชม และให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่มีความพร้อมและตั้งใจปฏิบัติงาน ส่วนข้อเสนอของจังหวัดทั้งเรื่องทำรั้วชายแดนจะนำกลับไปหารือ ทั้งนี้ มาตรการทางการเงินสำคัญที่สุดที่จะช่วย อยากให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐใช้มาตรการยึดทรัพย์
ฮึ่มจนท.เกียร์ว่างต้องย้าย
“ที่เฉยชาหรือไม่ปฏิบัติตามอย่างแข็งขัน มีจุดโหว่ที่เกิดขึ้น ได้ตกลงกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของทุกหน่วย หากเพิกเฉยต้องดึงออกมาก่อน เข้าใจว่าเป็นเรื่องลำบากเพราะชายแดนกว้าง หากใช้ข้อมูลและการข่าว เทคโนโลยีบูรณาการร่วมกันจะประสบความสำเร็จ และรัฐบาลพร้อมสนับสนุนเทคโนโลยีให้ใช้เพื่อแก้ปัญหา ที่สำคัญคือต้องร่วมมือกันและทำทันที หากทำแล้วมีข้อติดขัดให้รายงานกลับมาเพื่อหาทางแก้ไข รวมถึงเรื่องของซิมการ์ด ถ้าสกัดตรงนี้ได้จะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ขอฝากทุกหน่วยไปดู ส่วนมาตรการชายแดน เช่น ตัดไฟและอินเตอร์เน็ต เป็นเรื่องเฉพาะหน้า เพื่อให้หน่วยงานและประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลเอาจริง อาจแก้ไม่ได้เต็ม 100 แต่เป็นจุดเริ่มต้นกวาดบ้านให้สะอาด”นายภูมิธรรม กล่าว
กำชับทหาร-ตำรวจคุมเข้มชายแดน
นายภูมิธรรมยังมอบนโยบายสั่งการให้หน่วยงานในพื้นที่ต้องปฎิบัติเคร่งครัดคือ 1.กองทัพภาคที่1ให้เพิ่มความเข้มข้น ลาดตระเวนและเสริมกำลังป้องกันชายแดนคุมพื้นที่เข้มงวด เพิ่มกำลังพลให้มากขึ้น ใครที่มีส่วนทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นให้ปัญหาบานปลาย ถือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย 2.ให้ตำรวจภูธรภาค 2 บูรณาการทำงานรับมือขบวนการป้องกันลักลอบข้ามแดน ลักลอบลำเลียงคน สิ่งของ และปัจจัยอื่น ที่จะถูกนำไปสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ 3.กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ให้เน้นปฏิบัติภาคสนาม เฝ้าระวัง กวดขันและตรวจการใช้พื้นที่ชายแดนลักลอบขนส่งสินค้า และปัจจัยอื่นไปสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ ควบคุมจุดผ่านแดน กวาดล้างเครือข่ายผู้มีอิทธิพลที่สนับสนุนการทำงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ายาเสพติด และเน้นสืบสวนทางเทคโนโลยี เพื่อติดตามเครือข่ายออนไลน์ นำไปสู่การปิดกั้นเส้นทางการเงินของอาชญากร
“ผมชื่นชมและขอบคุณในความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความกล้าหาญของทุกท่านในการปฏิบัติภารกิจ ส่วนผู้ที่ปล่อยปละละเลย ละเว้นหน้าที่ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริต ละเลยหน้าที่หรือปล่อยให้ขบวนการผิดกฎหมายดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ หากพบมีผู้ใดทำผิด ละเลยหรือสมรู้ร่วมคิดต้องถูกดำเนินการถึงที่สุด ไม่มีข้อยกเว้น” นายภูมิธรรม กล่าว
เข้มมาตรการ“ซิม-สาย-เสา”ต่อเนื่อง
4.ฝ่ายปกครอง ต้องดำเนินมาตรการเชิงรุก ทั้งควบคุมพื้นที่ ปราบปรามอาชญากรรม เฝ้าระวังชุมชน ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนดึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อาสาสมัคร และชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วมเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส ถ้าบูรณาการการทำงานกับหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้สามารถสกัดกั้นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ลดปัญหาค้ายาเสพติด และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เป็นรูปธรรม
5.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ให้เตรียมพร้อมหากจำเป็นต้องตัดสินใจงดจ่ายไฟฟ้า หากทำผิดวัตถุประสงค์กระทบความมั่นคงแห่งชาติ โดยทำความเข้าใจกับบริษัทคู่สัญญา 6.กสทช.ให้หันเสาส่งสัญญาณ หรือตัดสัญญาณในพื้นที่ชายแดนที่นำสัญญาณโทรคมนาคมไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ กระทบความมั่นคง โดยใช้มาตรการ“ซิม เสา สาย” ตามที่มีการรายงานเข้าไปแก้ไข 7.กรมศุลกากร ให้เข้มงวดในการตรวจสอบ ควบคุม และป้องกันการลักลอบนำเข้าส่งออกสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าที่จะถูกนำไปสนับสนุนอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการค้ามนุษย์และค้ายาเสพติด 8.ให้สมช. ติดตามความคืบหน้าพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเสนอรัฐบาลพิจารณาสั่งยกระดับมาตรการแก้ปัญหา และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
พร้อมจับ“หม่องชิตตู”หากมีหมายจับ
วันเดียวกัน นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการเตรียมออกหมายจับพันเอกหม่อง ชิดตู่ ผู้นำคนปัจจุบันของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงว่า ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ เมื่อออกหมายจับแล้วคงไปจับในประเทศเขาไม่ได้ เพราะถือเป็นอธิปไตย แต่ถ้าออกหมายจับแล้วมีการขยับเข้ามาพื้นที่ของไทยจับได้เลย ซึ่งหากมีการออกหมายจับจะไปเฝ้าดูที่พักที่มีข่าวว่าอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ
เด้งแล้ว6ตร.-ย้ำทำตามขั้นตอน
ส่วนการออกคำสั่งย้ายข้าราชการที่พัวพันกับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ที่ขณะนี้มี 2 ราย จะออกคำสั่งเพิ่มอีกหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้มีคำสั่ง 5-6 ตำแหน่งคือผู้กำกับ 3 สถานี ซึ่งเป็นพื้นที่ตามรายงานข่าว คือสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาด และสถานีตำรวจภูธรพบพระให้ย้ายไปกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ส่วนอีกสองรายเป็นผู้การฯ จังหวัด และนายพล ต. สั่งย้ายมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดมีความผิด แต่มีความเกี่ยวข้องในพื้นที่ ซึ่งตำรวจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบแล้ว หากมีข้อมูลหลักฐานชัดเจนจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ที่นำออกมาเพื่อให้ทำงานสะดวกและปลอดภัยขึ้น ถือว่าอยู่ในกระบวนการ “SEAL STOP SAFE” ใน 51 อำเภอ 14 จังหวัด หากพบมีปัญหาจังหวัดและผู้การฯจังหวัดต้องรับผิดชอบ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับท้องที่ใน 76 สถานีจะดำเนินการแนวนี้
“ไม่ว่าจะเกี่ยวหรือไม่ จะเอาออกมาจากพื้นที่ก่อน ซึ่งการเกี่ยวข้องอาจไม่เกี่ยวโยงผลประโยชน์ อาจปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้เกิดปัญหามาก ตามเงื่อนไขที่คุยเรื่องซีลชายแดนสามส่วน ถ้าไม่ชัดเจนว่าจะทำไหวก็ให้แจ้งมา แต่ถ้ายืนยันว่าทำไหวก็ต้องทำให้เกิดผล”นายภูมิธรรมกล่าว
เมียนมาไม่ไหวส่ง53เหยื่อพักที่ไทย
นายภูมิธรรมเปิดเผยถึงกรณีเมียนมาขอส่งผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกมาพักไว้ที่ไทย เพื่อตรวจสอบก่อนส่งกลับว่า ได้รับการประสานวันนี้จะส่งเข้ามา 53 คน จาก 8 ประเทศ อาทิ เอธิโอเปีย ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ เคนยา โดยได้รับการติดต่อมา เนื่องจากเมียนมาดูแลไม่ไหว ขณะเดียวกันเราประสานงานภายในกับเมียนมาว่าถ้าต้องการลดความกดดันลงเรื่องการตัดน้ำมัน ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ต้องทำให้เราเห็นว่าประเทศเขาปลอดภัยจากเรื่องนี้ ดังนั้น เขาต้องจัดการตามแรงกดดัน ตรงนี้เรามาถูกทางแล้ว
ไม่ตั้งศูนย์อพยพ สอบเสร็จส่งกลับปท.
นายภูมิธรรมยังยืนยันว่า เราจะไม่ตั้งศูนย์อพยพ การส่งเข้ามา เมื่อแจ้งเรามา เราแจ้งประเทศเขา ก็จะตรวจสอบกัน เวลาเมียนมาส่งมาจะมีรายชื่อมีพาสปอร์ตชัดเจน เราก็ส่งประเทศนั้นๆ ซึ่งนอกเหนือจากจีน ก็มีประเทศในภูมิภาคต่างๆที่มีสถานทูตติดต่อมาว่าได้รับข้อมูลว่าคนของเขามีปัญหา เราก็บอกว่าเราพยายามทำให้ หากได้คนเมื่อไหร่จะประสานสถานทูตมาเคลียร์ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา เมื่อผ่านกระบวนการตรวจสอบของเรา คาดใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือนเสร็จแล้วให้รับตัวไป แต่ถ้าประเทศเขาไม่ชัดว่าจะรับคนกลับ เราจะไม่ให้ส่งเข้ามา เราไม่รับ
ลุยท่าข้ามตรวจเสาสัญญาณเน็ต
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายภูมิธรรม และคณะลงพื้นที่ตรวจมาตรการดำเนินงานภายใต้ยุทธการอรัญ 68 จุดแรกเดินทางไปที่ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ โดยตรวจการใช้ยุทโธปกรณ์โดรนช่วยลาดตระเวนของกลองกำลังบูรพา จากนั้นเดินทางต่อไปตรวจเสาส่งสัญญาณผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ ที่บ้านโคกสะแบง โดยจุดนี้ลดความสูงของเสาลง และออกแบบเสาใหม่ ไม่ให้หันไปทางฝั่งกัมพูชา จากเดิมที่หันไปมีระยะห่างแค่ 300 เมตร ซึ่งระหว่างที่คณะรองนายกฯ มาได้สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าบริษัทที่ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์รับทราบเรื่องแล้วหรือไม่ เจ้าหน้าที่บอกว่ารับทราบ และช่วงนั้นพบ เจ้าหน้าที่บริษัท ทรู มาปีนเสาตัดสัญญาณและลดระดับการส่งสัญญาณ
ย้ำตัดทันทีสาย เคเบิ้ลไม่มีเจ้าของ
จากนั้นนายภูมิธรรมและคณะไปตรวจจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก ผู้กำกับการตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว ผู้บังคับการกองกำลังบูรพารายงานว่าขณะนี้เราห้ามคนเข้าได้ แต่ไม่สามารถห้ามคนออกได้ถ้าไปอย่างถูกต้อง ซึ่งไม่รู้ว่าเข้าไปแล้วจะถูกหลอกหรือไม่ จึงได้ทำการประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนอยู่ตลอดเวลา โดยนายภูมิธรรม กำชับเรื่องการเดินทางเข้าออก และไปดูจุดที่เจ้าหน้าที่ตัดสายเคเบิ้ลที่ลักลอบส่งข้ามฝั่งไปยังกัมพูชาเบื้องต้นได้ตัดสายแล้ว และเชื่อว่าสายที่ตัดต่อไปยังอาคาร 25 ชั้น ที่มีขบวนการไม่ถูกกฎหมาย นายภูมิธรรม โชว์สายเคเบิ้ลที่ถูกตัดแล้ว พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า สายเคเบิ้ลใดที่ตรวจสอบแล้วไม่มีเจ้าของให้ตัดเลย เบื้องต้นตัดไปแล้ว 3 เส้น จาก 32 เส้น เหลือ 29 เส้น หากตรวจไปเจอที่ไหนไม่ถูกต้องก็ตัดทันที
นายภูมิธรรมกล่าวว่า จากการลงพื้นที่วันนี้ทุกฝ่ายร่วมมือกันตามที่สภาความมั่นคงได้มีมติออกไป ทั้งการตัดไฟและอินเตอร์เน็ต แต่ละจุดที่ไปดูห่างจากชายแดนไม่มาก ส่วนเสาสัญญาณได้ลดระดับความสูงลง และหันเสาออกจากจุดชายแดน สัญญาณที่ส่งออกไปข้างนอกเราสั่งตัดอย่างเด็ดขาด เพื่อไม่ให้ขยายการกระทำผิด จุดผ่านแดนบ้านคลองลึกใกล้ชายแดนนิดเดียว มีแค่กำแพงรั้วที่สูงไม่มากขวางอยู่ หันไปดูก็จะเป็นตึก 25 ชั้น ที่ปรากฏออกมาตามสื่อฯ ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นจุดหนึ่งที่เป็นเป้าหมาย โดยสายสัญญาณที่เหลือรอให้เจ้าของมาแสดงตัว เพื่อติดสติกเกอร์ อันไหนบอกไม่ได้ว่าเป็นของใครจะตัดทิ้ง และให้ กสทช. ไปพิจารณาเรื่องสาย เสาซิม และลดกำลังส่งสัญญาณให้วิ่งถี่ขึ้น เพื่อดูว่ามีอะไรรั่วไหลหรือไม่
ฝั่งเขมรเน้นเข้มสัญญาณเน็ตมากกว่า
“ที่สระแก้ว ต้องเน้นเรื่องสัญญาณอินเตอร์เน็ต ไฟฟ้าอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ เนื่องจากกัมพูชาก็มีไฟฟ้าที่ผลิตเองส่วนหนึ่ง การจัดการต้องดูแต่ละพื้นที่ไป ในขณะที่ตลาดรวมถึงพญาตองซูที่ผมจะเดินทางไป ตรงนั้นไม่มีไฟฟ้า จึงเป็นเงื่อนไขของเราที่จะทำให้เห็นผล และเค้าก็ตื่นตัวมาก และพยายามสกัดกั้น ผลักดันคนที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ทำผิดกฎหมาย”นายภูมิธรรมกล่าว และว่า ที่เสนอขอทำรั้วให้สูงขึ้นคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และจะนำไปพิจารณา และไม่ต้องกลัวหากทำรั้วจะไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน เราทำในอธิปไตยของเรา พื้นที่ทับซ้อนต้องไว้ทีหลังเ พราะมีปัญหาอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้สัมภาษณ์นายบุญธรรม ได้หันมาพูดกับสื่อ พร้อมกับชี้ไปที่อาคารสูง 25 ชั้น ฝั่งปอยเปต พร้อมระบุว่า ตึกที่ปรากฏตามข่าวหรือไม่ สื่อได้มาเห็นแล้ว
เดินหน้าสร้างรั้ว165กม.-ตั้งจุดตรวจเข้ม
พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงกรณีรมว.กลาโหมลงพื้นที่จ.สระแก้วว่า รัฐบาลเดินหน้าก่อสร้างรั้วแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในจ.สระแก้ว ระยะทาง 165 กิโลเมตร (กม.) เพื่อควบคุมการเข้า-ออก ป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และลดปัญหาพื้นที่ทับซ้อนกว่า 55 กิโลเมตร โดยจัดสรรงบประมาณ 286 ล้านบาทดำเนินการ นอกจากนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 ได้เพิ่มความเข้มงวดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ด้วยการตั้งจุดตรวจ ตรวจค้นบุคคลและยานพาหนะ พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดไร้สายและเสาไฟพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวัง ด้านอาชญากรรมไซเบอร์ ตำรวจไซเบอร์ (CyberCopTH) ได้ใช้ระบบ AI วิเคราะห์เสียง ตั้ง Dummy Tower ดักสัญญาณปลอม และตั้งศูนย์ควบคุมปฏิบัติการเฉพาะกิจ ขณะเดียวกัน กสทช. ควบคุมสัญญาณโทรคมนาคมบริเวณชายแดน ป้องกันการใช้เครือข่ายโทรศัพท์ข้ามแดนผิดกฎหมาย
ตัดไฟเพิ่ม4จว.ชายแดนไทย-เขมร
ทั้งนี้ นายภูมิธรรมและคณะลงพื้นที่ตลาดเบญจวรรณติดตลาดโรงเกลือ เพื่อตรวจสอบผลดำเนินมาตรการ รื้อถอนเสาสัญญาณโทรศัพท์และตัดสายอินเทอร์เน็ตที่ผิดกฎหมายพบว่า เสาสัญญาณโทรศัพท์ที่เคยส่งสัญญาณข้ามไปยังฝั่งกัมพูชาถูกรื้อถอนแล้วทั้งหมด หลังพบว่าอาจถูกใช้เป็นช่องทางสนับสนุนเครือข่ายมิจฉาชีพ และสายอินเทอร์เน็ตที่ไม่มีการขออนุญาตก็ถูกตัดสัญญาณทั้งหมดแล้ว เพื่อสกัดกั้นการเชื่อมต่อของเครือข่ายผิดกฎหมาย
“นอกจากนี้ ล่าสุดรัฐบาลเตรียมขยายมาตรการตัดไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลงและสัญญาณโทรคมนาคมจากที่ทำไปก่อนหน้านี้ 5 จุด ขยายไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา ครอบคลุมพื้นที่อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว , พื้นที่ช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์, พื้นที่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และพื้นที่ จ.ตราด-เกาะกง” โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าว และว่ารัฐบาลยืนยันจะคุมเข้มมาตรการต่อเนื่อง ถ้าพบเจ้าหน้าที่รัฐกี่ยวข้อง หรือปล่อยปละละเลย จะถูกดำเนินการทางกฎหมายเด็ดขาด ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยแจ้งเบาะแส
ซีลชายแดนจันท์-เขมร แก๊งคอลฯย้ายฐาน
พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรี ร่วมกับตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานความมั่นคง เปิดปฏิบัติการ “ป้อมปราการพิทักษ์ชายแดนจันทบูร” ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ หลังข้อมูลสืบสวนสอบสวนพบความพยายามย้ายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มที่อยู่ฝั่งเมียวดี ประเทศเมียนมา มาชายแดนฝั่ง จ.ไพลิน ของประเทศกัมพูชา พื้นที่รอยต่อ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หลังรัฐบาลไทยกดดันแนวชายแดนเมียวดีเข้มข้น จับกุมผู้ทำผิดได้จำนวนมาก ตำรวจภูธรภาค 2 มีมาตรการซีลแนวชายแดนเข้มข้น สกัดกั้นการใช้ช่องทางธรรมชาติ ลอบข้ามแดนไปร่วมขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มิจฉาชีพออนไลน์ โดยเฉพาะชายแดนฝั่ง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และชายแดน จ.ไพลิน ของกัมพูชา พื้นที่ จ.จันทบุรี ซึ่งในจ.ไพลิน มีกาสิโนตั้งอยู่ 10 แห่ง ขณะเดียวกันพบสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการในประเทศไทยส่งข้ามไป ต้องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อมีมาตรการเด็ดขาดปิดประตูแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป
“หม่องชิตตู”โต้หมายจับ-ปัดค้ามนุษย์
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีความเคลื่อนไหวกรณีดีเอสไอเตรียมขอหมายจับพันเอกหม่องชิตตู ระบุมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องการค้ามนุษย์ โดยพันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับการกองกำลัง BGF ศูนย์เมียวดี ให้สัมภาษณ์สื่อเมียนมาถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ของประเทศไทย มีความพยายามออกหมายจับผู้นำ 3 คนคือ พันเอกหม่อง ชิตตู พันตรี เต่งวิน และพันโทเมาะโต่ง ทหารของกองกำลังรักษาชายแดนรัฐกะเหรี่ยง หรือ บีจีเอฟ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์นั้น พันโทหน่ายหม่อง โซตอบโต้ทางการไทยว่าเราไม่ใช่พลเมืองไทย และเราไม่ได้อยู่ในระดับการค้ามนุษย์ เราไม่ใช่พวกชอบโกงคนอื่นทำร้ายผู้อื่น ปัจจุบันนักธุรกิจชาวจีนที่มาหาเรา เดินทางมาตามเงื่อนไขของตนเองกับนายหน้า ที่ไม่ใช่ฝ่ายกำลังบีจีเอฟ ไม่มีการบังคับให้มาพวกเขามาในดินแดนของเรา
ขณะที่สำนักข่าว ดีวีบีรายงานว่า พันเอกหม่อง ชิตตูให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ตนและกองกำลังบีจีเอฟ ไม่ได้พาคนต่างชาติพวกนี้เข้ามาในเมียนมา พวกเขามาเอง เขามาทางไหนประเทศไทยรู้ดี คนพวกนี้ไม่ได้มีปีกหรือลอยมาจากอากาศ มีชาวต่างชาติที่อ้างตัวว่าเป็นเหยื่ออีกจำนวนมากมากันเองแล้วมาเป็นเหยื่อ หรือเป็นผู้ทำการค้ามนุษย์กันเองก็ไม่มีใครรู้ ซึ่งกองกำลังพิทักษ์ชายแดนส่วนหน้า บีจีเอฟยืนยันพร้อมส่งตัวบุคคลชาตินั้นๆ ทุกคนให้ทุกประเทศที่ประสานมาอยู่แล้ว
คาดอีก1สัปดาห์ออกหมายจับได้
ด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หลังนำหลักฐานคดีพันเอก หม่องชิต ตู่ ผู้นำกองกำลัง BGF อาจมีความผิดข้อหาค้ามนุษย์ หลังพบหลักฐานเชื่อมโยงกับคดีชาวอินเดีย 8 ราย ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยนำหลักฐานเข้าหรืออัยการแล้วเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ซึ่งอัยการขอให้ดีเอสไอกลับมาสอบสวนเพิ่มเติมนั้น คาดว่าดีเอสไอจะเร่งรวบรวมหลักฐานเพิ่ม ก่อนจะนำไปขอออกหมายจับอีกครั้งสัปดาห์หน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี