‘อิ๊งค์’จ้อ‘โอกาสไทยกับนายกฯ’
โว‘ปธน.จีน’ชม
มาตรการปราบแก๊งคอลฯเด็ดขาด
พร้อมตั้ง2ทีมงานร่วมมือ2ปท.
โพลล์หนุน‘ตัดไฟ-เนต’ท่วมท้น
นายกฯเปิดเทปแรกรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษสรุปผลการเยือนจีน ปลื้มได้พบผู้นำทั้ง 3 ระดับ และปธน.สี จิ้นผิง ชื่นชมไทยเดินหน้ามาตรการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้เด็ดขาด พร้อมจะตั้งทีมงานสองชุดร่วมมือไทยแก้ปัญหาเรื้องนี้ เพื่อบรรลุผลอย่างรวดเร็ว ด้าน “นิด้าโพล” เผย ปชช.ส่วนใหญ่เกิน 70% หนุนมาตรการตัดไฟ-เนต สกัดแก๊งคอลฯในเมียนมา
เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 16 กุมภาพันธ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” ตอนพิเศษ การเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ในโอกาส 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT2HD และวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ
โดยน.ส.แพทองธารกล่าวว่า การเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนครั้งนี้ ได้พบผู้นำจีนทั้ง 3 ระดับคือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประธานสภาประชาชนแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน นายจ้าว เล่อจี้ และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ซึ่งเป็นเรื่องน่าภูมิใจ เพราะการได้พบผู้นำประเทศจีนทั้ง 3 ระดับในการเยือน 1 ครั้ง ไม่ได้เกิดขึ้นทุกครั้ง ถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย โดยได้หารือถึงการส่งมอบหมีแพนด้ายักษ์ 2 ตัว มาไทย ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ ไทยเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อย เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น
นอกจากนี้ จีนตื่นเต้นกับเราคือ ครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน มีการสร้างซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ 72 พรรษา ในหลวง ตนเชิญชวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาชมความสวยงามของซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนที่มีเทศกาลสงกรานต์โดยนายกฯเน้นย้ำความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนว่า ตำรวจ และตำรวจท่องเที่ยวจะดูแลนักท่องเที่ยวจีนเป็นอย่างดี และได้เล่าเรื่องพระเขี้ยวแก้วให้สื่อมวลชนจีนรับทราบ ต่างฝ่ายชื่นชมซึ่งกันและกัน รวมถึงแผนงานความสัมพันธ์ระหว่างกันในอีก 50 ปีต่อจากนี้ของทั้งสองประเทศ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีและช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบบนี้ นี่คือเนื้อหาที่สองประเทศได้คุยกัน
น.ส.แพทองธารกล่าวต่อว่า สำหรับความร่วมมือการปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์นั้นทั้งสอง ประเทศได้พูดคุยอย่างจริงจัง ซึ่งประธานาธิบดีจีนชื่นชมไทยที่จัดการเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเด็ดขาด และจะตั้งทีมทํางาน2 ทีม เพื่อช่วยกันในเรื่องนี้ โดยจีนประสงค์จะช่วยมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ได้ขอแค่การตั้ง 2 ทีม ที่สามารถสั่งการได้อย่างรวดเร็ว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศช่วยกํากับดูแลในการพูดคุยของทั้ง 2 ทีม ให้คุยแล้วหาข้อสรุปได้ทันที นับว่าเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์
นอกจากนี้ ยังร่วมมือด้าน“ซอฟต์พาวเวอร์”เช่น มวยไทย ร้านอาหารไทย ว่าจะทำอะไรกับจีนได้บ้าง โดยจะมี working team มาติดต่อกันอีกครั้ง ส่วนสินค้าเกษตรของไทยนั้น จะให้จีนกับไทยร่วมกันกําหนดมาตรฐาน เพื่อให้มีมาตรฐานเท่ากัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะรับไปดำเนินการต่อ เพื่อให้ผู้ประกอบการเสียต้นทุนน้อยที่สุด มีกำไรมากขึ้น เกิดความสะดวกเพิ่ม เป็นการเปิดช่องทางสินค้าเกษตรไทย ซึ่ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้กล่าวว่า ชอบทุเรียนหมอนทอง และมะม่วง พอตนได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ
น.ส.แพทองธารยังกล่าวถึงรถไฟความเร็วสูง และโครงการแลนด์บริดจ์ รถไฟความเร็วสูงระยะที่ 1 และ 2 ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง หากเสร็จแล้วทั้งจีน ลาว ไทย จะส่งสินค้าได้รวดเร็ว และยังสามารถส่งทุเรียนหมอนทองไปมอบให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ เป็นการลดต้นทุน เพิ่มโอกาส SME และเกษตรกรไทย อีกทั้ง ยังเป็นอีกช่องทางสำหรับผู้ที่จะทำธุรกิจ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา ประหยัดต้นทุน ซึ่งจีนให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมากและขอให้ไทยเร่งดำเนินการ ซึ่งได้สั่งการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดเรื่องนี้แล้ว
นอกจากนั้น จีนยังให้ความสนใจโครงการแลนด์บริดจ์มากเช่นกัน และต้องการให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้น หากโครงการเกิดขึ้นจะเชื่อมกันและจีนได้ขอข้อมูลผลการศึกษาโครงการเนื่องจากจีนเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเกิดผลดีทั้งจีนและประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะมอบหมายให้ทีมที่ศึกษาโครงการดังกล่าวส่งข้อมูลเพิ่มเติมไปให้ รวมทั้งการเชิญชวนมาลงทุนด้วยการมีแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาส่งออกได้ 4 วัน ประหยัดต้นทุนของผู้ประกอบการได้ 15% ช่วยประหยัดน้ำมัน ทำให้ต้นทุนถูกลง ผู้บริโภคก็ซื้อของในราคาที่ถูกลงด้วย ได้ผลดีทั้งระบบ โดยจะดำเนินการควบคู่กับเรื่อง Green Energy ประหยัดพลังงานด้วย นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าให้ประเทศไทยเป็นฮับโลจิสติกส์ สร้างโอกาสการจ้างงาน และการซื้อขายสินค้า
นายกฯยังกล่าวถึงความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนว่า ได้เชิญชวน บริษัท Xiaomiให้มาสร้างโรงงานผลิตรถ EV ที่ประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสการจ้างงานในประเทศ ซึ่งไทยได้พูดคุยกับประเทศในอาเซียน และมีบทบาทในเวทีอาเซียน จะเป็นอีกข้อเสนอสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศทั้งนี้ มีการเซ็น MOU 14 ฉบับ ซึ่งเป็นสิ่งที่สื่อจีนให้ความสนใจและได้ประโยชน์ อาทิ ข้อมูลออนไลน์ต่างๆ ที่จะแชร์ร่วมกันระหว่างไทยกับจีน สแกมเมอร์ ข้อมูลการพัฒนาต่างๆ เช่น เครื่องมือทางการเกษตร ซึ่งจะสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้
นายกฯยังกล่าวถึงในส่วนการพบภาคเอกชนและสื่อมวลชนจีน เป็นการพบกับและพูดคุยกับอินฟลูเอนเซอร์ อย่าง POP MART Xiao Hong ShuMeituDianpingเรื่องการนำร้านอาหารไทย ขึ้นบนแพลตฟอร์มจีน โดยได้แนะนำ แอปฯ สำหรับนักท่องเที่ยว ที่ตำรวจไทยจัดทำขึ้น เพราะต้องการให้นักท่องเที่ยวใช้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปลอดภัย เพื่อให้นำไปไว้บนแพลตฟอร์มจีน และขอขอบคุณที่มาช่วยกันสื่อสารให้กับประชาชนจีนทราบ
นายกฯยังกล่าวถึงการร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ฤดูหนาว ครั้งที่ 9 ได้พบนักกีฬาไทย รู้สึกดีใจมาก ได้ร่วมชมและเชียร์การแข่งขัน Ice Hockey ชายทีมชาติไทย และคิดว่าน่าจะนำกองเชียร์ไทยไปร่วมเชียร์ พร้อมให้กำลังใจนักกีฬาที่ร่วมแข่งขันและรู้สึกประทับใจนิทรรศการน้ำแข็งที่มีสวยงามมาก รวมถึงพิธีเปิดการแข่งขัน อีกทั้ง ได้แสดงความยินดีกับความสำเร็จของ นายปอลฮองรี วิเยอร์ต๊องส์ นักกีฬาเอเชียนวินเทอร์เกมส์ ที่คว้าเหรียญทองแดงแรกจากกีฬา Freestyle skiing
ช่วงท้ายรายการ นายกฯสรุปผลการเยือนจีนว่า เรื่องแรก ความมั่นคง ได้ความร่วมมือการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งปัญหาดังกล่าวต้องลดลงและเห็นผลอย่างรวดเร็ว เรื่องที่สอง คือ การค้า Landbridgeการตรวจสอบคุณภาพ (QC) สินค้าที่จะส่งออกจะส่งออกสินค้าได้เร็วขึ้น ไม่เสียต้นทุนมาก โดยเฉพาะ Landbridgeเมื่อเกิดขึ้น ช่วยประหยัดพลังงาน มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มีการจ้างเพิ่ม สินค้าเกษตรที่ล้นตลาดก็จะไม่ล้น และสามคือ ความสัมพันธ์ระดับประชาชน-ประชาชน (People to people) เชื่อมสัมพันธ์ของไทย-จีน ที่มีต่อไปในอีก 50 ปีข้างหน้า ซึ่งต่างเห็นพ้องว่าจะเสริมสร้างความสัมพันธ์แบบนี้ให้ยาวนานต่อไป
นายกฯยังระบุด้วยว่า ขอให้ประชาชนติดตามรายการ “โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” อีกเทปประมาณช่วงต้นเดือนมีนาคม
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของประชาชน เรื่อง “War on Scam Gang” สำรวจระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปกระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ ทั่วประเทศ รวม 1,310 ตัวอย่าง เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีฐานในเมียนมา
จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตและระงับการส่งออกน้ำมัน เพื่อจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 70.54 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 21.07 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 5.34 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 3.05 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
ด้านมาตรการของรัฐบาลในการตัดไฟ ตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และระงับการส่งออกน้ำมันกับการช่วยแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.92 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้ในระดับหนึ่ง รองลงมา ร้อยละ 17.71 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้มาก ร้อยละ 15.95 ระบุว่า ช่วยแก้ไขปัญหาได้น้อยมาก และร้อยละ 5.42 ระบุว่า ไม่ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรเลย สำหรับการมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาจากเจ้าหน้าที่รัฐของไทยบางคนพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 69.85 ระบุว่า มีแน่นอน รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่แน่ใจ และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่มี
ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผู้ที่ทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมาถูกหลอกหรือสมัครใจมากกว่ากัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 49.77 ระบุว่า น่าจะมีจำนวนพอกันทั้งคนที่ถูกหลอกและเต็มใจไปทำงาน รองลงมา ร้อยละ 25.80 ระบุว่า ส่วนใหญ่ไปทำงานด้วยความเต็มใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ส่วนใหญ่ถูกหลอกไปทำงาน และร้อยละ 4.05 ระบุว่า ไม่แน่ใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการเฝ้าระวังชายแดนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หลังรัฐบาลดำเนินกมาตรการตัดไฟฟ้า สัญญาณอินเตอร์เน็ตว่า ระหว่างที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจราชมนู อ.แม่สอด จ.ตาก โดยกองร้อย 401 และทหารพรานชุด ชป.ทพ.36 กำลังปฏิบัติการลาดตระเวนตามแนวชายแดนด้าน อ.พบพระ เพื่อสกัดกั้นการลักลอบส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง และบุคคลต่างชาติลักลอบข้ามแดน ตามมาตรการของรัฐบาลที่ต้องการขจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในพื้นที่สีเทาฝั่งจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมาของกลุ่มชาวจีนสีเทา เจ้าหน้าที่ได้พบชาย 1 คน หญิง 2 คน ผลักถังเหล็กขนาด 200 ลิตร ลงบริเวณริมแม่น้ำเจ้าหน้าที่จึงเข้าไปควบคุมตัวคนทั้ง 3 คนไว้ และตรวจสอบพบเป็นถังบรรจุน้ำมันดีเซล 200 ลิตรน 4 ถัง รวมทั้งหมด 800 ลิตร โดยบุคคลทั้ง 3 คนรับสารภาพว่าลักลอบนำน้ำมันดังกล่าว เพื่อส่งไปขายประเทศเมียนมา เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวทั้งหมด พร้อมของกลาง ส่งตำรวจ สภ.พบพระ ดำเนินการตามกฎหมายต่อไปตรวจสอบบุคคลทั้ง 3 คนทราบชื่อคือ นายเจษฏา อายุ 41 สัญชาติไทย ชาวอ.พบพระ น.ส.ทูนู่นพร อายุ 30 สัญชาติเมียนมา น.ส.อารายา อายุ 20 สัญชาติไทย ชาวอ.พบพระ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี