นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ ”หลิว จงอี“ เดินทางเข้า-ออกถี่เกินไป อาจหมิ่นเหม่ทำให้ “ไทย” สุ่มเสี่ยงเสียอิสระในการจัดการปัญหา แนะรัฐบาลประกาศท่าทีจริงจัง ให้ความมั่นใจว่าจัดการปัญหาเองได้ ป้องกันจีนเข้ามาชี้นำ
รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา เปิดเผยว่า จากที่ นายหลิว จงอี ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ประเทศจีน พร้อมคณะ เดินทางไป จ.เมียวดี เมื่อวันที่ 16 ก.พ. ที่ผ่านมา และจะพบกับ พ.อ.หม่อง ชิตตู เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ในพื้นที่ จ.เมียวดี ในวันที่ 17 ก.พ. 2568 นั้น สามารถมองได้ 2 มิติ โดยมิติแรก เป็นผลพวงมาจากการที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยือนและพบปะกับผู้นำรัฐบาลของจีน จนก่อให้เกิดความร่วมมือในการจัดการและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทว่าในอีกมิติหนึ่ง ถือเป็นความน่ากังวล เพราะการเดินทางของ นายหลิว จงอี ถือเป็นการเดินทางมาเยือนในลักษณะที่ถี่เกินไป ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนเริ่มจะเข้ามาชี้นำ ควบคุมสั่งการ และมีบทบาทอย่างแข็งแรงมากขึ้น ทั้งบริบทของประเทศไทยและประเทศพม่า เห็นได้จากสามารถเข้านอกออกทั้งสองประเทศได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้อาจมีการประสานในระดับกระทรวงหรือระดับหน่วยตำรวจมา แต่ก็ทำให้ผู้ติดตามข่าวเกิดคำถามว่า นายหลิว จงอี เข้ามามีบทบาทมากจนเกินไปหรือไม่
“นี่เป็นการเริ่มส่งสัญญาณว่าการเข้ามาของจีนนั้น อาจหมิ่นเหม่ต่อการทำให้ไทยขาดอิสระในการบริหารจัดการชายแดนและความมั่นคงภายในเพราะมีตัวอย่างของประเทศที่เคยมีปัญหาระหว่างชายแดนขึ้น (พม่าและปากีสถาน) และรัฐบาลจีนไม่มีความเชื่อมั่นในการจัดการ จนเสนอแนวคิดจัดส่งหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของจีนเข้าไปในพื้นที่ ทำให้หมิ่นเหม่ต่อหลักอธิปไตยของหลายประเทศ ดังนั้น หากประเทศไทยให้ทางจีนควบคุม สั่งการ เราก็อาจจะสูญเสียอิสระในการบริหารจัดการกับปัญหา เราอาจจะดึงจีนเข้ามาช่วยได้ แต่ต้องช่วยในสัดส่วนที่เหมาะสม” รศ. ดร.ดุลยภาค กล่าว
รศ. ดร.ดุลยภาค กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยควรจะต้องชูบทบาทนำให้โดดเด่นในภูมิภาคอาเซียน หรือแม้กระทั่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงว่าเป็นประเทศแรกในการเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามกลุ่มจีนเทา รวมถึงการมีจังหวะที่ดีในการขอร่วมมือจากทางการจีนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และประเทศไทยยังคงเป็นแกนหลัก เป็นเบอร์หนึ่งในจัดการชายแดนของตนเอง การแสดงท่าทีและบทบาทที่ชัดเจนเช่นนี้ จะทำให้เกิดการยืดระยะเวลาออกไป ไม่ให้ประเทศจีนเข้ามาชี้นำ หรือควบคุมในลักษณะที่รวดเร็วเกินไป
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการผลักดันชาวต่างชาติซึ่งทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา จำนวน 260 คน กลับเข้ามาในประเทศไทย และผลปรากฏว่าประเทศปลายทางบางแห่ง ไม่ยอมรับการส่งตัว ทั้งที่หลังจากนี้จะมีการส่งชาวต่างชาติเข้ามาเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยควรจะรับมืออย่างไร นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา ตอบว่า คงจะต้องเร่งการประสานงานทางการทูตกับประเทศต้นทางโดยเร็ว
ทั้งนี้ ในระหว่างนี้ ควรจะต้องมีการดูแลเรื่องแหล่งกักกันให้มีประสิทธิภาพ และกันพื้นที่เอาไว้ให้อยู่ในเฉพาะพื้นที่ชายแดน หรือ อ.แม่สอด โดยไม่ควรจะเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ชั้นในของ จ.ตาก หรือพื้นที่อื่นๆ จนกว่าจะเกิดความแน่ชัดในการประสานงานจากประเทศต้นทาง ว่าสามารถรับบุคคลกลับสู่ประเทศต้นสังกัดของตนเองได้ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า งบประมาณในการจัดการเหล่านี้ ส่วนหนึ่งคงมาจากประเทศไทย ร่วมกับงบประมาณสนับสนุนจากองค์กร หรือหน่วยงานที่ทำงานด้านมนุษยธรรมเข้ามาเสริมอีกทางหนึ่ง
เมื่อถามต่อถึงกรณีที่พบว่าจากการช่วยเหลือชาวต่างชาติ 260 คน มีผู้เดินทางมาทำงานด้วยความสมัครใจ 2 – 3 คน นายกสมาคมภูมิภาคศึกษา กล่าวว่า กรณีผู้ที่มีความสมัครใจ อาจจะดูรายละเอียดเรื่องของหลักจริยธรรมระหว่างประเทศ ว่ามีหลักการข้อใดให้ประเทศไทยสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ในการควบคุมพฤติกรรม หรือส่งตัวบุคคลเหล่านี้ได้
“ถ้าเขายอมรับแล้วว่าเขาเต็มใจและไม่ได้ถูกหลอกในการไปประกอบอาชญากรรมร่วมกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ให้ยืนพื้นเอาไว้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีเจตนาที่ไม่ดี ก็ต้องมีการเตรียมภาคโทษเอาไว้ว่าเป็นเจตนาที่ขัดต่อหลักจริยธรรม หรือมนุษยธรรมพื้นฐาน และไม่ได้เป็นคนที่ต้องดูแลอย่างเต็มที่ หรือฟื้นฟูเยียวยาอะไร เพราะเขาไม่ใช่เหยื่อที่ถูกหลอก แต่เต็มใจจะเข้าไปทำสิ่งผิดกฎหมาย” รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี