‘หม่องชิตตู’เฮ
ดีเอสไอถกอัยการรอบ 3 ไม่คืบ
วืดออกหมายจับคดีค้ามนุษย์
นายกฯมอบนโยบายตำรวจปราบยาเสพติด-แก๊งคอลฯ วาง 3 มาตรการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม กำชับร่วมมือ “อินเตอร์โพล-ตำรวจอาเซียน” ปราบอาชญากรรมข้ามชาติยุคใหม่ สั่งผบ.ตร.ฟันวินัยเข้มกฎหมายเด็ดขาดตำรวจเอี่ยวอาชญากรรม ลั่นรบ.พร้อมซัพพอร์ตทำงานใกล้ชิดตำรวจระดับปฏิบัติ ให้คุยผ่าน “ผบ.ตร.”ฝากมาได้ “รมว.ทวี”เผยดีเอสไอถกอัยการคดีค้ามนุษย์ ยันพยานหลักฐานโยงถึง “หม่อง ชิตตู”ชัดเจน มั่นใจออกหมายจับได้แน่นอน ด้าน‘ภูมิธรรม’ ถกจีบีซีกับลาว ร่วมมือซีลชายแดนสกัดแก๊.คอลฯย้ายฐานเมียนมา เผย ‘ลาว’ ขอบคุณ ‘ไทย’ ช่วยเหยื่อชาวลาวพ้นเมียนมาส่งกลับปท.
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายรัฐบาล ในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติยุค Digital Disruption ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โครงการสัมมนาผู้บริหารระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าและผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณปี 2568
นายกฯขันน็อตตร.ปราบแก๊งคอล
นายกฯกล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจที่มาบอกแนวทางว่ารัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ และต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยทำด้านไหนบ้าง เพื่อให้ประเทศปลอดภัยและพัฒนาไปพร้อมรัฐบาล วันนี้ประเทศกำลังเผชิญสถานการณ์ความท้าทายเรื่องอาชญากรรมรูปแบบต่างๆโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงขอให้ทุกคนมั่นใจ ความตั้งใจปฏิบัติงาน เพื่อแก้ไขความเดือดร้อนให้ประชาชนจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเต็มที่ รวมถึงสนับสนุนงบประมาณจัดหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ปฏิบัติภารกิจด้วย จึงอยากให้ ตร.รับไปพิจารณาและขับเคลื่อนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม 3 ข้อคือ
ย้ำร่วมมืออินเตอร์โพล-ตร.อาเซียน
1.ให้พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้เชี่ยวชาญ รู้เท่าทันพัฒนาการของเทคโนโลยีปัจจุบัน ควบคู่กับผลักดันแก้กฎหมายหรือออกมาตรการช่วยปราบอาชญากรทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ยึดทรัพย์ผู้ทำผิดที่ถูกแปลงเป็นเงินสกุลดิจิทัลต่างๆ 2.อาชญากรรมทางเทคโนโลยีและยาเสพติด มักเกี่ยวกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และมีฐานปฏิบัติการในประเทศเพื่อนบ้านต้องแลกเปลี่ยนข้อมูล และฝึกอบรมบุคลากรร่วมกัน 3.ควรใช้ช่องทางตำรวจสากลองค์กรตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ(อินเตอร์โพล) และตำรวอาเซียน( ASEANAPOL) ประสานส่งต่อข้อมูลผู้ทำผิด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการปราบปรามอาชญากรรมได้ และสุดท้ายให้ดำเนินมาตรการทางวินัย และกฎหมายกับตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอย่างเคร่งครัดเข้มงวด โดยไม่เลือกปฏิบัติ
“ขอให้ทุกคนดำเนินการตามที่บอกไว้ ช่วยเป็นกำลังสำคัญสร้างความมั่นใจให้คนในประเทศและต่างชาติ มีอะไรยินดีพร้อมซัพพอร์ต คุยกันได้ผ่านผบ.ตร. เพราะอยากให้ทำงานใกล้ชิดมากขึ้น ทราบว่าระบบราชการมีขั้นตอน แต่อะไรที่ช่วยประชาชนได้รวดเร็ว ตนยินดีรับฟังและสนับสนุน” นายกฯ กล่าว
“ทวี”ยันหลักฐานชัดสาวถึงหม่องชิตตู
ด้านพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเผยความคืบหน้าการออกหมายจับ พันเอกหม่อง ชิตตูกับพวก ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และพนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์กำลังพิจารณาว่า คดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักร มีอัยการร่วมสอบกับดีเอสไอ ดังนั้น การที่มีผู้ทำผิดเรื่องการค้ามนุษย์กับคนต่างชาติและคนไทย คนที่ให้ที่พักพิงหรือคนที่เกี่ยวข้องกับฐานที่ตั้งสถานที่ทำความผิด ในตัวกฎหมายถือว่ามีความผิดด้วย เรื่องนี้ดีเอสไอประสงค์ขอออกหมายจับ เพราะมีพยานหลักฐานจากหลายหน่วยยืนยันว่าไปถึงจุดนั้นจริง ถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อน ทำให้อัยการไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วย อัยการเห็นด้วย แต่อยากให้รวบรวมประเด็นต่างๆ ตอนนี้เราได้ข้อมูลจาก EU เครือข่ายระหว่างประเทศรวมถึง FBI ว่ามีหลักฐานมีมูลน่าเชื่อเพียงพอ แต่ต้องรวบรวมให้อัยการดูให้เรียบร้อยก่อนเสนอศาลออกหมายจับ ถึงแม้พันเอกหม่อง ชิตตูจะออกมาแถลงยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซนเตอร์ เรารับฟังพยานหลักฐานได้ทุกทางอยู่แล้ว ไม่ว่าศูนย์ที่จะค้ามนุษย์หรือคอลเซ็นเตอร์ หรือสถานที่หลอกลวงอยู่ในพื้นที่ตรงนั้น มีพยานยืนยัน แต่ถ้าเขาจะหักล้างก็ส่งหลักฐานมาได้ วันนี้ทราบว่าอัยการได้คุยกับดีเอสไอประมาณ 10 ประเด็น ซึ่งมีในสำนวนแล้ว แต่ดีเอสไอต้องไปสกัดประเด็นให้อัยการดูชัดเจน ถือเป็นการทำงานร่วมกัน
บิ๊กอ้วนถกลาวปราบค้ามนุษย์
วันเดียวกัน ที่กระทรวงกลาโหม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้การต้อนรับพล.ท.คำเลียง อุทะไกสอน รัฐมนตรีกระทรวงป้องกันประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในโอกาสเดินทางเยือนไทยเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนทั่วไป หรือ GBC ไทย-ลาว ครั้งที่ 29 ระหว่าง 18 - 19 กุมภาพันธ์ โดยประเด็นหารือเน้นความร่วมมือด้านความมั่นคงทุกมิติ ทั้งปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติยาเสพติด แรงงานผิดกฎหมาย และขบวนการคอลเซนเตอร์ซึ่งเชื่อมโยงปัญหาค้ามนุษย์
จับมือซีลชายแดนสกัดย้ายไปเขมร
หลังประชุม นายภูมิธรรมกล่าวว่า ความร่วมมือขณะนี้คือ การซีลชายแดนร่วมกัน ตามกรอบงาน รมว.กลาโหมอาเซียน (ADMM) เพราะประเทศเพื่อนบ้านของไทยต่างประสบปัญหาอาชญากรรมตามแนวชานแดน ปัญหายาเสพติด สแกมเมอร์ ค้ามนุษย์ ปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งไทย เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม ต่างประสบปัญหานี้ ซึ่งไทยเคยตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์นี้ ได้ช่วยอบรมเจ้าหน้าที่ของลาว 30 กว่าคน และจะขยายการสนับสนุนต่อไป และอาจไปต่อที่กัมพูชา และการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือขึ้นมา สำหรับปัญหาสแกมเมอร์ หลังจัดการในเมียนมาเรียบร้อย ถ้ามีปัญหาต่อเราก็ขยายผลทั้งลาว กัมพูชาเพื่อความต่อเนื่อง ทั้งนี้ ลาวขอบคุณไทยที่แก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ เพราะมีชาวลาวได้รับการช่วยเหลือส่งกลับจากเมียนมาไปแล้ว 6 คน และที่เตรียมส่งกลับมาอีก 13 คน ทางลาวขอให้เราช่วยต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาคอลเซนเตอร์ตามชายแดนไทย-ลาว และพูดถึง ‘จ้าวเหว่ยโมเดล’ ในพื้นที่คิงส์โรมัน นายภูมิธรรมกล่าวว่า พื้นที่คิงส์โรมันก็ดี พื้นที่อื่นก็ดี ตนคิดว่ามีลักษณะต่างกัน แต่เราบอกไปแล้วว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นจะร่วมมือกัน ก็พยายามตรวจสอบไม่ให้หลุดไปจากเมียนมาไปยังประเทศต่างๆ
ติงโรมเตือนได้แต่อย่าให้เหมือนตำหนิ
นายภูมิธรรมกล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน และประธาน คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ขอให้รัฐบาลทบทวนการส่งขบวนการคอลเซ็นเตอร์ กลับประเทศโดยไม่มีการเก็บอัตลักษณ์ ห่วงกลับมาทำผิดซ้ำอีกว่า ควรเข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ได้ทำมาอยู่แล้ว ขอย้ำว่า กรณีทางการจีนเดินทางมาก็ไม่ได้เป็นการรุกล้ำอธิปไตยไทย เป็นการพูดคุยกันมาเป็นเดือนแล้ว และการเข้ามาต้องขออนุญาตฝ่ายไทย จึงอยากให้เข้าใจการทำงานของทุกฝ่าย บางครั้งการตักเตือนและแนะนำก็อย่าให้เป็นภาพที่ออกมาเหมือนการตำหนิติเตียน เพราะข้อเท็จจริงเราได้คุยกันมาตลอด แต่ทางจีนมีข้อเสนอเรื่องตั้งสำนักงานเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์ แต่ไทยไม่ได้เห็นด้วยถึงขนาดนั้น จึงเห็นควรตั้งในรูปแบบไตรภาคี เพราะแก้ปัญหาได้มากกว่าการตั้งสำนักงาน การดำเนินการต่างๆต้องมีการพูดคุยกันทั้งสามฝ่ายคือ ไทย-จีน-เมียนมา ซึ่งไทยเป็นคนประสานให้ ขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจได้ว่าการปฎิบัติต่างๆคำนึงถึงอธิปไตยของไทย ส่วนการที่จีนจะดำเนินการอะไรก็มีสิทธิ์เสนอเข้ามา ส่วนเราก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศและประชาชนไทยเป็นหลัก ตามที่นายฯย้ำ
ไทยช่วยจีนแก้แก๊งคอลฯไม่เสียตัวตน
“จีนไม่ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ แต่ไทยเป็นคนที่ช่วยจีนแก้ปัญหาส่วนที่เกี่ยวข้องกับดินแดนของไทย เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ ซึ่งสถานทูตในหลายประเทศก็ติดต่อมาที่ไทย เพื่อแก้ปัญหา การแก้ปัญหาจะจบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสามฝ่ายที่มาร่วมแก้ปัญหา ส่วนที่อยู่นอกเหนืออธิปไตยของไทย เราจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดคุยกับจีนไปถึงเรื่องการของบประมาณสนับสนุนแต่อย่างใด แต่ย้ำว่าถ้าเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับจีน จีนต้องรับผิดชอบ ส่วนไทยก็สนับสนุนตามความเหมาะสม และคำนึงถึงมนุษยธรรม ตราบใดที่ไทยยังไม่เสียความเป็นตัวของตัวเองก็พร้อมช่วยเหลือมิตรประเทศ”นายภูมิธรรมกล่าว
21กพ.ส่งเหยื่อชุดแรกกลับได้หมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มณฑลทหารบกที่ 310 (ค่ายวชิรปราการ) อ.เมือง จ.ตาก นายชูชีพ พงษ์ไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก พร้อมด้วย ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 310 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่ถูกส่งตัวจากฝั่งเมียนมามาฝั่งไทย จำนวน 260 คน เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อเข้าสู่การคัดกรองตามกระบวนการส่งต่อข้ามชาติ หรือ NRM ก่อนประสานสถานทูตแต่ละประเทศรับตัวกลับโดยผู้ว่าฯตากเผยว่า การคัดกรองผู้เสียหายทั้ง 260 คนเสร็จแล้ว จึงมาพบปะพูดคุยให้กำลังใจผู้เสียหาย จากการคัดกรองของจ.ตาก พบเป็นผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.ค้ามนุษย์ 258 คน ส่วนอีก 2 คนไม่ใช่ผู้เสียหาย ซึ่งได้ส่งตัวให้ตำรวจสอบสวนต่อไปแล้ว ที่ผ่านมา ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ รวม 24 คน ที่มีสถานทูตมารับตัวกลับไปแล้วหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ปากีสถาน อินเดีย และศรีลังกา ส่วนผู้เสียหายที่เหลือ คาดว่าภายในสัปดาห์นี้ จะส่งตัวให้แต่ละสถานทูต รับตัวกลับประเทศต้นทางได้ทั้งหมด ทั้งนี้ หากมีผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ หรือแก๊งคอลเซนเตอร์ชุดต่อไปจากฝั่งเมียนมา ที่จะส่งเข้ามายังฝั่งไทยอีกนั้น ขั้นตอนรับตัวผู้เสียหายชุดต่อไป จะรับตัวและคัดกรองตามขั้นตอน NRM ให้แล้วเสร็จ ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ที่ อ.แม่สอด และจะส่งตัวผู้เสียหายให้สถานทูต รับตัวกลับประเทศต้นทางต่อไป
สื่อพม่าตีข่าวไทยยึดน้ำมัน500ล.
สื่ออิสระของเมียนมารายงานข่าวทหารและตำรวจของไทยร่วมกันยึดน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่า 500 ลิตรที่จะลักลอบขนจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตากของไทย ไปขายในเมืองเมียวดีที่ถูกตัดไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงเพราะมีการทำผิดกฎหมาย โดยเฟซบุ๊กของสำนักข่าวท่าขี้เหล็ก (Tachileik News Agency) รายงานวันนี้ว่า เจ้าหน้าที่ไทยพบถังบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงขนาด 20 ลิตร ทั้งหมด 27 ถัง บนรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำในหมู่บ้านดอนไชย อำเภอแม่สอด ชายแดนไทย-เมียนมา จึงยึดน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมด 540 ลิตร เมื่อเวลา 04.30 น.วันนี้ (19 กุมภาพันธ์) ส่วนเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์กองทัพบกของไทยรายงานว่า หน่วยเฉพาะกิจราชมนู กองกำลังนเรศวร จัดชุดปฏิบัติการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจบริเวณช่องทางบ่อนาทะ ม.9 ต.แม่จัน อ.อุ้มผาง จ.ตาก ป้องกันและสกัดกั้นการทำผิดกฎหมาย ตรวจพบถังน้ำมันสีน้ำเงินขนาด 200 ลิตร 10 ถัง เจ้าหน้าที่จึงตรวจยึดเพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี