‘อิ๊งค์’นั่งไม่ติด!เรียก‘พณ.-กษ.’ถกด่วน
สกัดม็อบชาวนา
แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
‘พิชัย’โวราคาขึ้นแน่นอน
ปชน.ซ้อมซักฟอกรัฐบาล
ถล่มแจก1หมื่น/แก้ศก.เหลว
นายกฯ“อิ๊งค์”เรียก“พิชัย-นฤมล”ถกด่วน สกัดม็อบชาวนา แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำกว่า 1 ชั่วโมง นายกฯห่วงชาวนาเกษตรกร เร่งแก้ข้าวตกต่ำ โพสต์ขอชาวนามั่นใจรัฐบาลให้ความสำคัญปัญหา จะแก้โดยเร็วที่สุด‘รมว.พณ.’ยันไม่ต้องห่วง โวราคาข้าวขึ้นแน่นอนขอประชุมอนุฯตลาดก่อน ‘นฤมล’เผยนบข.สัปดาห์หน้าจ่อประชุม‘พิชัย’ไม่กังวล หลัง‘สส.เพื่อไทย’เฉ่งการทำงานเคลียร์ใจแล้วบางคน!‘สุชาติ’เสียววาบ!‘ปชน.’เข้าชื่อชงถอดถอน‘ประธานป.ป.ช.’เซ่นปม‘คลิปหลุดวิ่งเต้น’ปัดเอาคืนคดี‘44สส.ลงชื่อแก้ม.112’อ้างทำตามหน้าที่ตรวจสอบ เตรียมแฉข้อร้องเรียนอื่นส่อประพฤติมิชอบ ยันถึงไม่มีคดี 44 สส.ก็ต้องทำอ้างมีหลักฐาน‘ฝ่ายค้าน’ซ้อมซักฟอก!‘ปชน.’ตั้งกระทู้ถล่ม‘เงินหมื่น’เย้ยรบ.สอบตก กระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เข้าหารือด่วนถึงปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ซึ่งล่าสุดกลุ่มเกษตรกรชาวนาจังหวัดพื้นที่ภาคกลางเดินทางมายื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาลเพื่อให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาอย่างเร่งด่วนซึ่งใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อน น.ส.แพทองธาร จะเดินทางกลับออกจากทำเนียบฯ
พณ.รับรองราคาข้าวขึ้นแน่นอน
จากนั้นเวลา 15.00 น.นายพิชัยและนางนฤมลร่วมแถลงข่าวภายหลังประชุมหารือกับนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นถึงการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยนายพิชัยกล่าวว่า ได้มีแนวทางแล้วว่าจะแก้ไขอย่างไรซึ่งตนจะต้องไปร่วมประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด(อนุนบข.)ที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่แน่นอนก่อนจะแถลง ไม่ต้องห่วงเรากำลังดำเนินการให้อยู่
เมื่อถามว่าพอที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกรชาวนาก่อนได้หรือไม่ว่าราคาข้าวจะขึ้นแน่ นายพิชัยกล่าวว่าพอประชุมอนุนบข.ฝ่ายตลาด เสร็จแล้วจะมีข้อสรุป รับรองได้ขึ้นแน่นอน เพียงแต่ตนไม่สามารถให้ข้อมูลก่อนการประชุมได้
นายกฯห่วงชาวนาเร่งแก้ข้าวตกต่ำ
ด้านนางนฤมล กล่าวว่านายกฯมีความเป็นห่วงพี่น้องชาวนาเป็นอย่างมากและได้ฝากกระทรวงเกษตรฯที่มีข้อมูลการผลิตให้ประสานงานกับรมว.พาณิชย์ เพื่อทำงานร่วมกันซึ่งคณะอนุกรรมการนบข.มี 2 ชุด โดยนายพิชัย เป็นประธานอนุนบข.ฝ่ายตลาด ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดูอนุ นบข.ฝ่ายผลิต และเราได้มีการรายงานให้นายกฯ รับทราบปริมาณพันธุ์ข้าวที่จะออกมาทั้งหมด สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอมาเกษตรกรจะพอใจหรือไม่ โดยนายพิชัยจะไปร่วมประชุมนบข.ฝ่ายตลาด และส่งไปที่นบข.เพื่อนำเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) ต่อไป
ถกนบข.สัปดาห์หน้า-ชงครม.
เมื่อถามว่า เป็นมาตรการตลาด หรือช่วยเกษตรกรโดยตรง นางนฤมล กล่าวว่า มีหลายออปชั่นที่จะเคาะกันในที่ประชุมฯ ด้านการตลาด บ่ายวันเดียวกันนี้ โดยออปชั่นหนึ่งจะเอามาใช้กับนาปรัง ซึ่งนายกฯ เน้นย้ำให้เป็นกลไกที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถดำเนินการได้จริงๆขั้นตอนต่างๆ มีความชัดเจน ทั้งเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนว่าปลูกพันธุ์อะไรไว้ พื้นเท่าไหร่ และเรื่องยุ้งฉางที่จัดเก็บ ซึ่งต้องมีความพร้อม
เมื่อถามว่าปริมาณข้าวที่ต้องดูดซับมีกี่ล้านตัน นางนฤมล กล่าวว่าคาดว่าประมาณ 1.5-2ล้านตัน ส่วนจะใช้งบประมาณเท่าไหร่จะมีการเคาะสรุปกันในที่ประชุมอนุกรรมการฯบ่ายวันเดียวกันจากนั้นจะนำเข้าที่ประชุมนบข.ต่อไปโดยจะพยายามประชุมนบข.สัปดาห์หน้าเพื่อที่จะได้นำผลสรุปเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในสัปดาห์ถัดไป จะได้ทันฤดูกาลที่ข้าวพันธุ์ดีของไทย จะออกในช่วงเดือนมีนาคม
‘อิ๊งค์’โพสต์ถกด่วนแก้ข้าวตกต่ำ
จากนั้น เวลา 15.53น.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์X ระบุว่า “รัฐบาลอยู่ข้างชาวนาและพี่น้องเกษตรกรมาโดยตลอด เราพร้อมรับฟังและจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุด
วันนี้ดิฉันได้เชิญท่านพิชัย รมว.พาณิชย์ และท่านนฤมล รมว.เกษตรฯ เข้าพบหารือเรื่องราคาข้าวและสินค้าเกษตร เร่งแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและยาว
ขอชาวนามั่นใจรบ.แก้โดยเร็วที่สุด
“โดยส่วนหนึ่ง คือการแก้ปัญหาการปลูกข้าวพันธุ์ที่ไม่ได้รับการรับรอง ทำให้ข้าวไม่ได้คุณภาพและราคาต่ำกว่าปกติ ส่งผลต่อราคาข้าวในภาพรวม จึงได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวและแจกจ่ายแก่พี่น้องเกษตรกรให้เพียงพอ ส่วนมาตรการระยะสั้นเรื่องการพยุงราคาข้าว วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) จะออกมาตรการที่ชัดเจน นำเข้าสู่ ครม.เพื่ออนุมัติต่อไปค่ะ
ขอให้พี่น้องชาวนาและเกษตรกรมั่นใจค่ะว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหานี้ และจะมีมาตรการออกไปโดยเร็วที่สุดค่ะ”นายกฯระบุทิ้งท้าย
‘พิชัย’เคลียร์ใจพท.บางคนแล้ว!
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า หลังจาก นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ แถลงถึงความคืบหน้ากรณีราคาข้าว ตามที่กลุ่มชาวนาเรียกร้อง ผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามนายพิชัยถึงกรณีที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทย(พท.)เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ได้มีสส.หลายคนแสดงความเป็นห่วงเรื่องการทำงานของนายพิชัยและวิพากษ์วิจารณ์ว่าสนใจแต่การเดินสายต่างประเทศอย่างเดียวแต่ไม่สนใจบริหารจัดการราคาสินค้าภายในประเทศ ปรากฏนายพิชัยปฏิเสธที่จะตอบคำถาม และพยายามเดินเลี่ยงออกจากวงสัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าได้ชี้แจงกับสมาชิกในพรรคบ้างหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า “มีคุยกันบ้างบางคนแล้ว”
ไม่กังวลหลังสส.เฉ่งทำงาน
เมื่อถามว่าวันนี้ที่นายกรัฐมนตรีเรียกมาเพราะเรื่องปัญหาของ สส.หรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า”ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ไม่มี พูดแต่เรื่องข้าวอย่างเดียว”เมื่อถามว่ากังวลเสียงวิพากษ์วิจารณ์ครั้งนี้หรือไม่นายพิชัย กล่าวว่า “ไม่กังวล”เมื่อถามย้ำอีกว่า เป็นเรื่องทางการเมืองหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า “ไม่มี ไม่มีความเห็น”
‘สุริยะ’ปัด’สส.พท.’เขย่าเก้าอี้’พิชัย’
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสมาชิกพรรคเพื่อไทยออกมาแสดงความไม่พอใจนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ที่ไม่สามารถทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรดีขึ้นได้ว่าเรื่องนี้เราต้องรับฟังความเห็นของสส.ด้วย ตนเชื่อว่านายพิชัย ก็พยายามรับฟังความเห็นโดยเฉพาะเรื่องราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำและคงหาเวลาเพื่อชี้แจงกับสส.
เมื่อถามว่าสมาชิกในพรรคสะท้อนว่านายพิชัยมัวแต่เดินสายต่างประเทศไม่สนใจราคาพืชผลในประเทศที่ตกตํ่า นายสุริยะ กล่าวว่า ความจริงต้องทำควบคู่กันไป เวทีต่างประเทศก็สำคัญเพราะมีการประชุมระดับทวิภาคี รวมถึงเวทีอื่นๆซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีบทบาทสำคัญ ทั้งนี้หากนายพิชัยไม่ได้เดินทางไปประชุมเวทีต่างประเทศ ก็น่าจะมีเวลามาฟังความเห็นของ สส.ในพรรคได้แต่เชื่อว่าไม่มีอะไร ไม่นานสถานการณ์ก็น่าจะดีขึ้น
ยํ้าปรับครม.อำนาจนายกฯคนเดียว
เมื่อถามว่า เสียงสะท้อนของสมาชิกพรรคที่ออกมา จะทำให้รัฐมนตรีคนอื่นของพรรคเพื่อไทย ต้องตื่นตัวในการทำงานยิ่งขึ้นหรือไม่ นายสุริยะกล่าวว่า หน้าที่สำคัญของรัฐมนตรีอันดับแรกคือพยายามปฎิบัติหน้าที่ในส่วนที่รับผิดชอบ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล หากงานของตัวเองไปได้ดีก็จะได้ผลตอบรับจากประชาชนดี
เมื่อถามย้ำว่า มองว่าไม่ใช่การเขย่าเก้าอี้รัฐมนตรีในพรรคใช่หรือไม่นายสุริยะ กล่าวว่า“ไม่ใช่การเขย่า”
เมื่อถามว่าส่วนตัวคิดว่าขณะนี้ถึงเวลาเหมาะสมที่จะปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.)หรือยัง นายสุริยะ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกแล้วว่ายังไม่มีความคิดที่จะปรับครม. ดังนั้นคนอื่นจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ทั้งหมดอยู่ที่นายกฯซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการปรับครม.เพียงคนเดียวเท่านั้น
ปชน.ชงถอดถอนประธานปปช.
ที่รัฐสภา นายพริษฐ์วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน(ปชน.)กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคประชาชนจะร่วมกันใช้สิทธิ์ตามมาตรา 236 ในการเข้าชื่อไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของรัฐสภา เพื่อถอดถอนประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากกรณีคลิปหลุดว่า เป็นเรื่องจริง ซึ่งพรรคประชาชนมีมติพรรคแล้ว ตอนนี้จึงอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมรายชื่อ เพราะเรามีประมาณ 141 คน เป็นจำนวนเฉียดฉิวมั่นใจว่าเพียงพอ
ปัดเอาคืนคดี44อดีตสส.ก้าวไกล
นายพริษฐ์ยืนยันว่าไม่ใช่การเอาคืนกรณีป.ป.ช.เรียก 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล รับทราบข้อกล่าวหาคดีร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา112เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของสส.ในการที่เราเข้าชื่อตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และต้องชี้แจงอย่างตรงไปมาว่าในข้อร้องเรียน ที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์หน้า ไม่ได้มีแค่คลิปวิดีโอ ระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานป.ป.ช. ตามที่ปรากฏ แต่ยังมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในส่วนอื่นด้วย ซึ่งพรรคประชาชนเราได้รวบรวมข้อมูลมาอย่างต่อเนื่อง
ลั่นถึงไม่มีคดี44สส.ทำตามหน้าที่
“ถึงแม้ไม่มีคดี44 สส.ก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำเพราะมีหลักฐานและไม่ใช่แค่พรรคประชาชนทำได้เท่านั้น แต่เป็นสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภาทุกคนทุกฝ่าย ดังนั้นถ้ามีสส.พรรคอื่นและ สว.เห็นตรงกันว่าปัญหาทุจริตเป็นเรื่องสำคัญก็ใช้กลไกนี้ ในการตรวจสอบและสามารถร่วมลงชื่อสนับสนุนได้ ขอย้ำว่าเราไม่ได้คิดถึงผลกระทบต่อคดีหรือหากพรุ่งนี้(21ก.พ.)คดี44 สส.ถูกยกไปหมด เราก็ยังยืนยันในการทำหน้าที่ตรวจสอบ”นายพริษฐ์ กล่าว
วัดใจโยน’ปธ.รัฐสภา’ส่งศาลฎีกา
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า ในทางคู่ขนาน เรายังได้ยื่นแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญรายมาตรา 236 ด้วย ซึ่งกฎหมายระบุว่า หากสมาชิกรัฐสภา ต้องการตรวจสอบการทำงานหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องยื่นเรื่องไปที่ประธานรัฐสภา เพื่อให้ประธานรัฐสภา มีดุลพินิจในการพิจารณาว่าสมควรส่งเรื่องไปที่ศาลฎีกาเพื่อตั้งกรรมการสอบสวนพิเศษหรือไม่ ซึ่งจะเกิดความสุ่มเสี่ยง ที่จะเกิดการฮั้วกันซึ่งหวังว่าจะเป็นร่างฉบับหนึ่ง ที่เราสามารถหยิบยกมาพิจารณาร่วมกันในที่ประชุมรัฐสภาได้ ส่วนขั้นตอนทางกฎหมายหลังจากนี้ ต้องรอการชี้แจงอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า ส่วนเรื่องดังกล่าวจะสามารถไปถึงศาลฎีกาได้หรือไม่นั้น ต้องไปถามประธานรัฐสภา
ยังไม่ลามสอย‘วันนอร์’รอคุยพรรค
เมื่อถามว่าจะมีการยื่นตรวจสอบประธานรัฐสภาด้วยหรือไม่นายพริษฐ์ กล่าวว่า เรื่องการตรวจสอบผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่น ขณะนี้อยู่ในช่วงที่พรรคกำลังหารือกันถึงความเป็นไปได้ เพราะกลไก มาตรา 236 เป็นกลไกเฉพาะสำหรับการร้องเรียน ป.ป.ช.
เมื่อถามถึงการไปรับทราบข้อกล่าวหาคดี 44 สส. ทางพรรคจะส่งใครไปเป็นชุดแรกบ้าง นายพริษฐ์ กล่าวว่า รอให้แต่ละคนชี้แจงน่าจะดีกว่า แต่ในเชิงหลักการของพรรค เราต้องยืนยันว่า สิ่งที่สส.ของพรรคได้กระทำไป ไม่มีอะไรที่เข้าข่ายผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง และเราจะทำเต็มที่ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ผ่านกระบวนการที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับคนที่เตรียมแนวทางการต่อสู้ คือ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาชนฝ่ายกฎหมาย
เมิน‘พท.-ภท.’จ้องดูดสส.งูเห่า
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ หากพรรคแตก จะมีการดูด สส.ของพรรคไป นายพริษฐ์ กล่าวว่า ยืนยันว่า สส.พรรคประชาชน มีความเป็นเอกภาพในการเดินหน้าต่อ ผลักดันงาน ซื่อสัตย์ต่อประชาชน กรณีการยุบพรรคก้าวไกล ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่า สส. ทุกคนร่วมกันเดินทางต่อ ไม่ว่าความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นอย่างไร ก็ไม่กระทบต่อการทำหน้าที่ของพรรคประชาชน
ปชน.ซ้อมซักฟอก/บี้แก้ศก.สอบตก
วันเดียวกัน ที่รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 1 เป็นประธานวาระพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของนายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เรื่องแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจีดีพี โต 2.5 % ในปี 22567 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย ถามนายกรัฐมนตรีซึ่งมอบหมายให้นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ชี้แจงแทน
โดยนายวรภพกล่าวว่าเพิ่งมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของไทย ปรากฏว่าเป็นปีแรกภายใต้การบริหารของพรรคเพื่อไทย ที่จีดีพี ปี 67 โต 2.5 %น้อยที่สุดในอาเซียน ถือว่าน้อยกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายหรือไม่ จะมองได้หรือไม่ว่ารัฐบาลสอบตกในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ เหมือนคนที่ตั้งคะแนนเต็ม 100 คะแนน สอบได้ 50 คะแนน อย่าลืมว่านี่คือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเคยอวดว่าเศรษฐกิจจะโตถึง 5 % ต่อปี แต่ครบปีแรกทำได้แค่ 2.5 % ขอถามว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ถือว่าสอบตกหรือไม่ เพราะมาตรการเรือธงของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจคือดิจิทัลวอลเล็ต หรือแจกเงินหมื่นและ 90 %ในการกระตุ้นเศรษฐกิจของมาตรการทั้งหมดอยู่ที่มาตรการนี้
เย้ยแจกเงินหมื่นไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ
และว่า การแจกเงินหมื่น ทำมาแล้วในเฟสที่1 จำนวน 1.5 แสนล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวพันในการกระตุ้นเศรษฐกิจในอนาคต เพราะการแจกเงินหมื่นก็ยังคงเป็นมาตรการหลักต่อจากนี้ ในเฟส2 และ 3 ที่ต้องใช้เงินอีกประมาณเพิ่มอีก 2 แสนกว่าล้านบาท จึงอยากทราบว่ามาตรการแจกเงินหมื่นที่ผ่านมาจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามเป้าหมายอย่างที่รัฐบาลคาดการไว้หรือไม่ ถึงยังคงเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจแบบเดิมในปี 2568 ด้วยงบประมาณที่มากขึ้น และรัฐบาลจะยอมรับหรือไม่ว่าเศรษฐกิจปีแรกของรัฐบาลเพื่อไทยโตน้อยกว่าเป้าหมาย
ข้อมูลของทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)และสภาพัฒน์ ก็ยืนยันเหมือนกันว่ามาตรการแจกเงินหมื่นกู้เงินมา 3 บาทกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1 บาท ในเมื่อเฟส 1 มีผลลัพธ์แล้วว่าไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ทำไมยังเดินหน้าเฟส 2 เฟส 3 ที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง สรุปแล้วรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรกันแน่ต่อจากนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่อวดอ้างว่าเชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจแต่ก็ทำไม่ได้ ทั้งที่รัฐบาลช่วยสร้างความมั่นใจได้ แต่ไม่เห็นทำอะไรในการแก้ปัญหาเรื่องเร่งด่วนเลย และทำไมรัฐบาลไม่ทำให้มาตรการช่วยเหลือเกิดขึ้นในปีนี้เลย
นอกจากเรื่องเร่งด่วนที่ยังไม่มีอะไรใหม่เรื่องสำคัญที่เป็นเรื่องโครงสร้างของประเทศไทยคือขีดความสามารถการแข่งขันที่บอกว่าประเทศไทยส่งออกมากขึ้น แต่ส่งออกโตน้อยกว่าโลก สะท้อนถึงปัญหาใหญ่ๆที่ต้องขอความชัดเจนในเรื่อง จึงอยากถามว่าเมื่อไหร่รัฐบาลจะทำเรื่องการพัฒนาคน การสร้างนวัตกรรม การกำกับตลาดทุน การทะลายทุนผูกขาด ที่ยังไม่มีความคืบหน้า
คลังยันแรงเหวี่ยงศก.ผงกหัวขึ้นต่อเนื่อง
ด้านนายเผ่าภูมิ ชี้แจงว่าแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นรายไตรมาสซึ่งมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถือว่าเป็นการที่ทิศทางเศรษฐกิจผงกหัวขึ้นทุกปี ตัวเลขที่ออกมานั้น หากย้อนกลับไปในช่วงต้น หลายสำนักปรามาสว่า จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ที่ 2.1% หรือ 2.2% แต่สุดท้ายเราปิดได้ที่ 2.5% โดยส่วนต่าง 0.3-0.4% นี้ ถือว่ามหาศาลในทางเศรษฐกิจ เป็นการเติบโตสูงสุด ในรอบ 9 ไตรมาส รวมถึงตัวเลขด้านอื่นๆ ก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน และปี 68 ไตรมาสแรกก็คาดการณ์ว่า ตัวเลขจะออกมาดี มีแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง และยังมีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกหลายเรื่อง
ยันเฟส1สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้
ส่วนโครงการแจกเงินหมื่นเฟส1นั้น ยืนยันว่าเป็นการกระจายที่ถูกฝาถูกตัว ลงไปในจังหวัดที่มีสัดส่วนคนยากจนสูงเป็นจังหวัดแรกๆ และกระจายไปทุกพื้นที่ ส่วนข้อกังวลที่ว่า เงินจะกระจุกอยู่ที่รายใหญ่นั้น กว่า 68%ลงไปที่รายย่อยและการที่ประชาชนใช้เงินหมดอย่างรวดเร็วภายใน 3 เดือน ถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รวดเร็วรุนแรงทันท่วงทีรวมถึงการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในไตรมาสที่ 4 ก็เพิ่มขึ้นถึง 11% สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส
“ถ้าดูแค่ที่ตัวเลข ไม่ได้มีอคติ ผมคิดว่าคำตอบ เราคงเป็นคำตอบเดียวกัน โครงการนี้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดี รัฐบาลสามารถปิดการบริหารเศรษฐกิจในปี 67 ได้ดีและมีแรงเหวี่ยงเชิงบวกส่งต่อไปถึงปี 68 ยืนยันว่าการกระจายเงินเฟส1ที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ 0.01% หากเปรียบเทียบกับระยะเวลา ถ้าไม่มีการทำอะไรเลย คือเวลาถึง 3 ปี ดังนั้นโครงการนี้ร่นระยะเวลาให้น้อยลง” นายเผ่าภูมิ กล่าวและว่าส่วนการที่ยังใช้งบประมาณไม่หมดนั้นเนื่องจากเราให้งบประมาณที่สูงจะได้ไม่ต้องมาขอเรื่อยๆและเรามีแผนจะขยายให้ครอบคลุมสินเชื่ออื่นๆด้วย
‘ชูศักดิ์’เชื่อภท.หนุนญัตติไม่น่าสะดุด
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานฝ่ายกฎหมาย พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี สส.พรรคเพื่อไทยยื่นญัตติถึงประธานรัฐสภาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับการทำประชามติ ว่า เป็นญัตติธรรมดา เมื่อเสนอไปประธานรัฐสภาสามารถบรรจุได้ เพื่อพิจารณาว่าจะบรรจุเมื่อไหร่ ซึ่งวิป3 ฝ่ายต้องมาคุยกัน ตอนนี้ยังไม่รู้จะนัดคุยวันไหนส่วนที่ท่าทีของพรรคภูมิใจไทยเปลี่ยนไป ที่ระบุว่าจะมาสนับสนุนญัตติของพรรคเพื่อไทยจะทำให้ไม่มีอะไรสะดุดเหมือนครั้งที่แล้วใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น
เมื่อถามว่า ได้คุยกับสว.บ้างหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ความจริงอันนี้เป็นเรื่องของการเลื่อนญัตติ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไร เป็นเพียงการเลื่อนญัตติขึ้นมาพิจารณาเท่านั้นเมื่อถามว่า หลังจากศาลวินิจฉัยแล้ว คาดหวังว่าการทำประชามติจะ 2 ครั้งหรือ 3 ครั้ง นายชูศักดิ์หัวเราะแต่ไม่ตอบคำถาม
‘หนู’อบรม‘ไอติม’อย่ามโนดีลแก้รธน.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวถึงที่นายพริษฐ์วัชรสินธุโฆษกพรรคประชาชนระบุรัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญแบบเดินอ้อมแต่สถานบันเทิงครบวงจรกับเดินหน้าเต็มสปีดว่าคนไม่รู้เรื่อง พูดออกไปก็เสียหาย เขาคุยกันมากี่เดือนต่อกี่เดือนแล้ว เรื่องก็ยังไม่จบร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ยังไม่ผ่าน ยังไม่บรรจุเลย ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาถามตนไม่ได้ ต้องไปถามพรรคเพื่อไทย เพราะตนไม่ใช่คนเริ่ม เรื่องนี้เป็นกฎหมายที่เสนอโดยพรรคการเมืองผ่านระบบนิติบัญญัติ ไม่ได้ผ่านฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีและไม่มีการหารือเรื่องนี้ในที่ประชุมครม.ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันอย่าไปโยงมันถูกต้องแต่อาจจะไม่ถูกใจเราก็ต้องเอาความถูกต้องไว้ก่อน ในเมื่อไม่ได้ผ่านที่ประชุมครม.ถือว่าไม่เป็นกฎหมายของรัฐบาล
ส่วนที่นายพริษฐ์มองว่ามีการแลกดีลอะไรกันหรือไม่ระหว่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายอนุทินกล่าวว่า“ไม่มี ต้องไม่มโน มโนไปเรื่อยๆมันก็จะมีวาทกรรม เรื่องประเทศชาติ และประชาชนไปแลกดีลอะไรกันได้ ถ้ารัฐธรรมนูญแก้ไขแล้ว เป็นประโยชน์กับประชาชน อย่าว่าแต่ยกมือเดียวจะยกสองมือเลย แต่หากเป็นประโยชน์ต่อคนคนเดียวหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ยังไงก็ไม่ผ่านหรอก”
ชี้ถูกก.ม.-ปย.ส่วนรวม ต้องดันทุรัง
เมื่อถามว่ามองว่าพรรคประชาชนดันทุรังไปหรือไม่นายอนุทินร้อง“โอ๊ย”และว่าคนเรามันต้องดันทุรัง คำว่าดันทุรัง ไม่ใช่คำเสียหาย แต่ต้องดูว่า อะไรที่ทำแล้วทำได้แล้วถูกกฎหมายต่อส่วนรวมถึงเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมสูงสุด อันนี้ต้องดันทุรัง ใครมาขวางก็ต้องแก้ให้ได้แต่ต้องเป็นไปตามระบบนิติธรรมและจริยธรรม
เมื่อถามว่าหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการทำประชามติสามารถทำ2ครั้งได้มองว่าครม.จะต้องเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบไปด้วยหรือไม่นายอนุทินกล่าวว่าต้องไปถามครม.ว่าแต่ละพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล มีนโยบายอย่างไร แต่หากถามพรรคภูมิใจไทย เราบอกแล้วว่าต้องไม่แตะหมวด1 หมวด 2รวมถึงมาตรา 112 ต้องไม่เปลี่ยนและไม่ปรับ ส่วนเรื่องอื่นๆก็ค่อยมาหารือกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี