รับไม่ได้ข้อหา‘อั้งยี่-ซ่องโจร’
สว.เปิดศึก‘ทวี-DSI’
เล็งยื่นถอดถอนรัฐมนตรี
พ่วงซักฟอกโดยไม่ลงมติ
ภท.ได้ทีผสมโรงถล่มด้วย
กังขาดำเนินคดีฮั้วชิงสว.
ดุเดือดแน่นอน! รองปธ.วุฒิสภา “เกรียงไกร” ประกาศสงคราม ขู่ยื่นถอดถอน รมต. ปล่อยดีเอสไอกล่าวหาร้ายแรง “อั้งยี่-ซ่องโจร” ฮั้วเลือกตั้งสมาชิกสภาสูง พ่วงยื่นอภิปรายไม่ลงมติ นัดถกวิปวุฒิสภา 26 กุมภาพันธ์ ด้านโทรโข่งภูมิใจไทยกางตำรากฎหมาย!กังขา 4 ประเด็น ถล่ม DSI ระวังทำผิดรัฐธรรมนูญ เตือน “ทวี สอดส่อง” อย่าใช้อำนาจบริหารล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติด้านเพื่อไทยหวดสภาสูงต้องพร้อมให้มีการตรวจสอบ
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง กล่าวถึงการเดินหน้า ตอบโต้กรณีที่มีผู้ไม่ได้รับเลือกตั้ง สว.เข้ายื่นเรื่องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ รับคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.ปี 2567เป็นคดีพิเศษนั้น
โดยพล.อ.เกรียงไกรกล่าวว่า จะให้ฝ่ายกฎหมาย รวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการแจ้งความผู้ที่กล่าวหาทั้งภาครัฐ และเอกชน ฐานทำให้วุฒิสภาเสียหาย ถูกเข้าใจผิด และในส่วนของกรรมาธิการวุฒิสภาจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงถึงอำนาจหน้าที่และที่มาที่ไปของการมากล่าวหาวุฒิสภาร้ายแรง เรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร อาชญากรรม และภัยต่อความมั่นคง และจะเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในประเด็นการดำเนินงานในส่วนของ ดีเอสไอ ที่กล่าวหาวุฒิสภา เป็นไปด้วยเหตุและผลหรือไม่ โดยจะหารือกับสมาชิกวุฒิสภาอีกครั้ง แต่คาดว่าจะอภิปรายภายในสมัยประชุมนี้
เมื่อถามว่าจะอภิปรายพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คนเดียวหรือไม่ พล.อ.เกรียงไกร กล่าวเพียงว่า”เป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและต้องดูด้วยว่า ใครอยู่เบื้องหลัง”
พล.อ.เกรียงไกร กล่าวอีกว่าวุฒิสภาจะพิจารณาเข้าชื่อเสนอให้ประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง คาดว่าเสียงน่าจะเพียงพอ
รับไม่ได้ข้อหาเสื่อมเสีย
เมื่อถามว่าเรื่องนี้เป็นเกมการเมืองหวังล้มสว.สีน้ำเงินหรือไม่พล.อ.เกรียงไกรระบุว่า เรื่องนี้คิดว่าโยงใยมาจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ก็อาจจะมีส่วนหนึ่ง แต่ย้ำว่าเรื่องนี้ทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสีย จึงต้องแถลงข่าวด่วนระหว่างการสัมมนา ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พล.อ.เกรียงไกร ยังกล่าวว่า ทำงานด้านความมั่นคง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มา 38 ปี แต่พอมาดูข้อกล่าวหาในเรื่องนี้ ตนรับไม่ได้ สมาชิกท่านอื่น ก็เช่นเดียวกัน ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมา ทำตามหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญ 2560
นัดถกวิปวุฒิ26ก.พ.
นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา(สว.)กลุ่มสีน้ำเงินในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา(วิปวุฒิสภา)กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการตอบโต้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ที่จะพิจารณารับคดีฮั้วเลือกสว.ปี2567เป็นคดีพิเศษว่า ในการประชุมวิปวุฒิสภาวันที่ 26 ก.พ.นี้จะหารือถึงการดำเนินการเอาผิด ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกล่าวหา เรื่องการฮั้วเลือก สว.จะดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการประชุมวุฒิสภา วันที่ 24 ก.พ.นี้ จะมีสว.คนใดหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาหารือในที่ประชุมหรือไม่
“ยืนยันว่ากระบวนการเลือกสว.ทำถูกต้องตามกฎหมาย เป็นไปตามขั้นตอนประชาธิปไตย ผมไม่เข้าใจว่าผิดพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.ได้อย่างไร ยิ่งข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร เป็นภัยต่อความมั่นคงในราชอาณาจักรตามที่ดีเอสไอกล่าวหา ยิ่งงงหนัก จะไปเข้าข่ายได้อย่างไร สว.ทุกคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ไม่เคยไปพบกันที่โรงแรมตามที่มีการกล่าวหา เพิ่งมารู้จักกันในที่ประชุม หลังเป็นสว.แล้ว การจะเข้าข่ายอั้งยี่ซ่องโจร จะต้องรู้จักกันมาก่อน” นายพิสิษฐ์ กล่าว
นอกจากนี้ นายพิสิษฐ์ยังกล่าวอีกถึงที่มีการมองว่าเป็นเกมการเมืองเพื่อตอบโต้สว.ที่ยื้อการแก้รัฐธรรมนูญนั้นว่าก็มีความเป็นไปได้ หรือจะมองเป็นเหตุประจวบเหมาะก็ได้ กรณีการร้องเรียนฮั้วเลือกสว. ร้องมาตั้งแต่ปลายปี 2567 แต่พอมีข่าวเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ก็เลยมีการประโคมข่าวจับแพะชนแกะกันไป
‘คารม’กางก.ม.แจงยิบฉะDSI
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สมาชิกพรรคภูมิใจไทยในฐานะนักกฎหมายกล่าวถึงกรณี ที่มีกลุ่ม ผู้สมัคร สว.ที่ไม่ได้รับเลือกไปยื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) โดยอ้าง การเลือกสว.มีการฮั้วกัน และมีแนวโน้มดีเอสไอจะรับเป็นคดีพิเศษว่า เรื่องนี้ต้องรับว่า เป็นเรื่องใหญ่ และเป็นประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจมากเพราะดีเอสไอที่ถูกตั้งขึ้นในปี2545 มีเจตนาเพื่อเป็นพนักงานสอบสวนในคดีอาญา ในคดีอาชญากรรมที่มีผลกระทบเศรษฐกิจมีการกระทำความผิดที่ซับซ้อน เป็นเครือข่ายอาชญากรรมเดิมนั้น เดิมผู้ที่ทำหน้าที่สอบสวนคดีอาญาทุกประเภทคือพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจากพระราชพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษฯนั้น กำหนดให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ สังกัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายการเมือง มีรมว.ยุติธรรม เป็นผู้กำกับ
เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ในการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น จะเห็นว่าต้องการให้มีพนักงานสอนสวนในคดีอาญาที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าคดีอาญาทั่วไป แต่ไม่น่าจะรวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญที่ระบุไว้เฉพาะและข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเพียงพนักงานสอบสวน เหมือนพนักงานสอบสวนคดีอาญาทั่วไป การฟ้องคดี จึงต้องส่งผ่านพนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามปกติของการฟ้องคดี
ติงทำคดีชอบด้วยกม.หรือไม่
นายคารม กล่าวต่อว่า ส่วนสมาชิกวุฒิสภา(สว.)เป็นผู้ที่มาตามรัฐธรรมนูญปี2560 มาตรา 107 ถึง 113 การเลือกตั้ง หรือการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา เป็นไปตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดและตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภาฯ และคนรับรองสมาชิกวุฒิสภา คือคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ดังนั้น การที่ดีเอสไอจะนัดประชุมคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษในวันที่ 25 ก.พ.นี้ เพื่อพิจารณาว่า จะรับคดีที่ผู้ลงสมัครสว.แต่ไม่ได้รับเลือกตั้งมาร้องและอ้างว่าการเลือกตั้ง เป็นไปโดยไม่ชอบนั้น
นายคารม กล่าวอีกว่า จึงมีคำถามทางกฎหมาย ว่า 1.แม้รมว.ยุติธรรม จะบอกว่า อาจรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา สามารถทำได้เพราะถือกฎหมายคนละฉบับ แต่เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งและละเอียดแล้ว การพ้นตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาภายหลังจาก กกต. รับรองแล้ว ย่อมเป็นไปตามมาตรา111 ของรัฐธรรมนูญ แม้ดีเอสไอจะสอบสวนคดีพิเศษ จะมีการดำเนินคดีก็อาจทำได้เฉพาะบุคคล แต่แม้จะดำเนินคดีอาญาเฉพาะบุคคล ในสมัยประชุม ก็ต้องขออำนาจจากสภา หากจะจับกุม คุมขังในสมัยการประชุมสภาก็ไม่อาจทำได้
2. คดีที่อ้างว่าการเลือกตั้ง สว. ไม่ชอบด้วนกฎหมาย แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้รับรองและยืนยันแล้ว ว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามคำกล่าวหา หรือคำร้อง และกกต. เป็นองค์กรที่จัดการเลือกตั้ง ได้รับรองแล้ว แต่หากกรมสอบสวนคดีพิเศษจะรับเป็นคดีพิเศษ และให้มีการดำเนินคดีอาญากับ สว. จะถือว่าเป็นการจงใจใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ซัด‘ทวี’ใช้อำนาจหน้าที่ขัด รธน.
3.การที่รมว.ยุติธรรมอ้างว่า มีสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนถึง 138 คน และดีเอสไอดำเนินคดีจนต้องพ้นตำแหน่งทั้ง138 คน ซึ่งเกินกึ่งหนึ่ง ของจำนวนสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องมีการเลือกวุฒิสภาขึ้นใหม่เพื่อให้ครบ 200 คนถึงจะปฎิบัติหน้าที่ได้ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107 ย่อมแปลได้ว่า ดีเอสไอสามารถล้มการเลือกสมาชิกวุฒิสภาได้ ทั้งที่สมาชิกวุฒิสภามาตามรัฐธรรมนูญ และ4. การที่รมว.ยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายบริหารและเป็นผู้บังคับบัญชากรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ใช้อำนาจตามกฎหมายซึ่งเป็นเพียงพระราชบัญญัติและมีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญมาดำเนินการ หากเป็นไปตามที่มีผู้สมัครสว.ที่ไม่รับการเลือกตั้งร้องมาก็อาจทำให้สว.ต้องหลุดไปหรือปฎิบัติหน้าที่ไม่ได้ถึง 138 คนนั้น ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญได้ไหม และมีผลอย่างไร หรือเป็นเพียงการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญาทั่วไป
ใช้อำนาจบริหารล้มนิติบัญญัติ
“ประเด็นเรื่องนี้จึงเป็นประเด็นที่สำคัญทางกฎหมายอย่างยิ่ง สามารถนำเอาไปทำวิทยานิพนธ์ได้เลย เพราะเป็นการใช้อำนาจขององค์กรทางการบริหารมาล้มล้างฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ดูสุ่มเสี่ยงว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอาจเป็นจุดจบของฝ่ายนิติบัญญัติ หากกรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถทำได้ เพราะถ้าตรวจสอบสมาชิกวุฒิสภาจนต้องหลุดไปทั้งที่ กกต.รับรองไปแล้ว ต่อไปก็จะมีการตรวจสอบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เช่นโดยมีการอ้างว่า มีการฮั้วการเลือกตั้ง อำนาจกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็จะใหญ่กว่าอำนาจของประชาชน ผมเชื่อว่า เจตนารมณ์ของกฎหมาย ตอนร่างขึ้น ไม่น่าจะเป็นแบบนี้”นายคารม กล่าวย้ำ
พท.เปิดหน้าขยี้ซ้ำฮั้วเลือกสว.
ในส่วนพรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา นำทีมสว.สายสีน้ำเงินตั้งโต๊ะแถลงข่าวตอบโต้กรมสอบสวนคดีพิเศษจ่อนำคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษ ว่า ความกลัว ทำให้เสื่อม ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการที่มีคนสมัครเข้าเป็นสว.เกือบ 50,000 คน ผ่านระบบการเลือกกันเอง เพื่อให้ได้สว.จำนวนทั้งสิ้น 200 คน มีคนเข้าร่วมและเห็นกระบวนการได้มาซึ่งสว.จำนวนมาก การร้องทุกข์กล่าวโทษว่า การเลือก สว.ในบางส่วนอาจมีการทำโพยฮั้วกันหรือไม่ ถือเป็นสิทธิ ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าขบวนการจัดตั้งการฮั้วสว.อาจมีจำนวนผู้สมัครที่อยู่ในขบวนการประมาณ 1,200 คน มีการพักที่เดียวกัน แจกเสื้อสีเดียวกัน อำนวยความสะดวกในการจัดหารถตู้โดยสารส่งผู้สมัคร ทำกันเป็นขบวนการ
แนะสว.น้ำเงินเคารพการตรวจสอบ
นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า ส่วนจะตรวจสอบสว.หรือตัวสำรองคนใด ก็ต้องให้ผู้รับผิดชอบได้ทำงานอย่างตรงไปตรงมารวมถึงหากมีการฮั้วเลือกตั้งสว.แล้วจะขยายผลไปยังฐานความผิดอื่นด้วยหรือไม่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำคดี เรื่องนี้จึงไม่ใช่เกมการเมืองบั่นทอนวุฒิสภา เพราะมีสว.ที่ไม่ได้เดือดร้อนจากการตรวจสอบครั้งนี้ อยู่จำนวนหนึ่ง
“ในทางกลับกันถ้าผลการตรวจสอบไม่พบการกระทำความผิด จะสว.สายสีน้ำเงิน หรือสีไหน ก็เดินหน้าปฏิบัติหน้าที่ต่อไป อะไรที่คลุมเครือที่สังคมกังขา ก็ทำให้โปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว พวกท่านมาเป็น สว.แล้ว ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ต้องพร้อมพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่ใครแตะอะไรไม่ได้เลย ต้องเข้าใจและเคารพในสิทธิของผู้ร้อง ให้เกียรติ และเชื่อมั่นในกระบวนการตรวจสอบ ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ต้องกลัว”นายอนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
‘เด็จพี่’โดดติงสว.ประกาศสงคราม
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่กลุ่ม สว. ประกาศสงครามเตรียมยื่นถอดถอนรัฐมนตรีและจะยื่นอภิปรายพร้อมจะเชิญรมต.เข้าชี้แจงในกรรมาธิการว่าตนมองว่าสว.ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีวุฒิภาวะ เมื่อถูกกล่าวหา มีผู้ร้องต่อหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกกต.หรือ DSI ก็ควรปล่อยให้กระบวนการสอบสวนดำเนินการไปตามกฎหมาย เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ มีพยานหลักฐานอะไรแก้ต่างก็ควรหามาต่อสู้ ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา
ฉะสว.ดาหน้าโต้‘กินปูนร้อนท้อง’
“กลุ่มสว.ที่ถูกกล่าวหา ถ้าไม่ผิด ก็เป็นการพิสูจน์ตัวเอง ถือเป็นเรื่องดีซะอีก ดีกว่าออกมาตอบโต้ในลักษณะประกาศสงคราม จะยื่นถอดถอนรัฐมนตรีที่กำกับดูแล DSI จะยื่นอภิปราย จะแจ้งความ แล้วยังเชิญ รมต.เข้าชี้แจงในกรรมาธิการ ทำอย่างนี้ประชาชนจะเข้าใจกันยังไง กินปูนร้อนท้องหรือเปล่า ร้อนตัวหรือไม่ กลุ่ม สว. ที่ถูกร้องเรียนDSI ก็ยังไม่ได้เอ่ยชื่อว่าเป็นใคร กลุ่มใด ท่านเล่นออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมสวนกลับหน่วยงานตรวจสอบ คนเค้าก็รู้กันหมดว่าใครเป็นใคร แล้วยังสะท้อนให้เห็นถึงวุฒิภาวะ คนกลั่นกรองกฎหมาย ออกกฎหมาย คนที่จะเลือกองค์กรอิสระ ควรต้องทำงานเป็นอิสระจริงๆ ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง เป็นตัวอย่างที่ดี เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐนิติธรรม”นายพร้อมพงศ์ ระบุ
ท้าสอบ‘ทองแท้ไม่กลัวไฟ’
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่าตนอยากเรียกร้องให้กลุ่ม สว.ที่ออกมาแถลงข่าวตอบโต้เอาคืน ตั้งสติครับตั้งสติ กลับไปเตรียมหลักฐานชี้แจงเพื่อพิสูจน์ตัวเองน่าจะดีกว่า ปล่อยให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีผู้ไปร้องเรียน ตรวจสอบทำหน้าที่โดยอิสระน่าจะดีกว่า คงจะดูสง่างามมากกว่า ทองแท้ไม่กลัวไฟ คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ถ้าท่านกล้าแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เมื่อพี่น้องประชาชนรับทราบ ท่านก็ต้องไม่กลัวการตรวจสอบพิสูจน์ความบริสุทธิ์
“ผมขอตั้งคำถามไปยัง กลุ่ม สว.เหล่านี้ว่า สิ่งที่ท่านกำลัง จะทำเป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์หรือไม่ เป็นการสกัดกั้นกระบวนการยุติธรรมทางอาญาหรือเปล่า ดูเหมือนน่าจะเป็นการข่มขู่ หน่วยงานและข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ และขอให้กำลังใจผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบเรื่องฮั้วสว.ครั้งนี้และขอให้พี่น้องประชาชนร่วมให้กำลังใจด้วยสว.กลุ่มนี้ก็ไม่ควรกลัวการตรวจสอบ เดี๋ยวจะเข้าลักษณะว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เรื่องนี้ประชาชนจับตาดูอยู่”นายพร้อมพงศ์ ย้ำ
‘เสรี’ยันDSIมีอำนาจฟันฮั้วเลือกสว.
ทางด้าน นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.)โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า การฮั้วเลือกตั้ง สว.เป็นอำนาจหน้าที่เฉพาะของ กกต.หรือไม่ ต้องไปดูการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ การกระทำเดียวกัน อาจเป็นความผิดกฎหมายการได้มาซึ่ง สว.ได้ ขณะเดียวกัน อาจเป็นความผิดกฎหมายอาญา ข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ฟอกเงิน หรือฐานอื่น ดังนั้น ดีเอสไอจึงมีอำนาจสอบสวนดำเนินคดีผู้ทำผิดข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร ฟอกเงินหรือฐานอื่นเพราะเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท พูดกันตามเนื้อผ้า ประชาชนทั้งประเทศ สื่อมวลชน ทราบความดี มีการบล็อกโหวต ลงคะแนนเป็นชุดๆมีพฤติการณ์อื่นที่ชัดเจนจนถูกเรียก สว.สีน้ำเงิน
“ปัญหาใหญ่อยู่ที่กกต.ไม่ทำหน้าที่ รับรองผลเลือกไปแล้ว แต่ไม่ตรวจสอบการร้องเรียน ไม่ทำให้กระจ่าง เรื่อง ก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งผ่านไปนาน กกต.จะมีความผิดชัดเจน มัดตัวมากขึ้น กระบวนการเลือกตั้ง ต้องให้ความเป็นธรรมสร้างความถูกต้อง แต่ กกต.ไม่ทำเป็นบรรทัดฐาน น่าเสียใจ น่าเสียดายกฎหมายเขียนไว้อย่างดี ปัญหาอยู่ที่คนอยากเป็น กกต.แต่ไม่ทำหน้าที่ ไม่รู้จะมาเป็นทำไม หากมีหน้าที่แล้ว ไม่ทำกกต.จะเป็นคนติดคุกเอง”อดีตสว.เสรี ย้ำ
‘ดิเรกฤทธิ์’ชี้กกต.ไม่ทำก็ถูกลงโทษ
ขณะที่ ดร.ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “นี่ไงครับ ข้อดีของ รธน.ปราบโกง ให้ประเทศเป็น ปชต.ต่อไปได้”“ไม่มีองค์กรใช้อำนาจใดไม่ถูกตรวจสอบ และคนใช้อำนาจโดยไม่สุจริต และถูกตรวจพบ ต้องถูกลงโทษ”
“หาก กกต.ไม่จัดการเอาผิดการฮั้วเลือก สว. กกต.ก็ทำผิดเสียเอง ต้องถูกลงโทษเสียเอง หาก ปปช.ไม่จัดการเอาผิดผู้ทุจริตให้มีนักโทษพิเศษ ปปช.ก็ทำผิดเสียเองต้องถูกลงโทษเสียเอง”ดร.ดิเรกฤทธิ์ ย้ำ
กกต.รับหนังสือDSIสอบสว.
ขณะที่ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง( กกต.)กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI )มีหนังสือด่วนแจ้งความคืบหน้าผลการสืบสวนและขอความเห็นการดำเนินคดี กรณีมีผู้ร้องต่อ DSI เกี่ยวกับการฮั้วกันในการเลือก สว.และ DSIได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน เชื่อได้ว่ามีขบวนการดังกล่าวจริงและเข้าข่ายความผิดอาญาฐานอั้งยี่ และ ความผิดฐานฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงประสงค์ที่จะรับดำเนินการสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำผิดทางอาญาไว้ดำเนินการนั้น
ประธานกกต.เปิดเผยว่าทราบว่าสำนักงานกกต.ได้รับหนังสือฉบับนี้แล้ว และ อยู่ระหว่างการประมวลเรื่องและจัดทำความเห็นของสำนักงานเพื่อเสนอที่ประชุมกกต.พิจารณาตามแนวทางปฎิบัติของสำนักงานที่ได้วางไว้ ส่วนที่ปรากฎหนังสือว่าสำนักงานกกต.มีการตอบกลับไปที่DSIว่า ยังไม่ได้เสนอเรื่องให้คณะกรรมการกกต.นั้น เป็นเพราะยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของสำนักงานกกต.
ทั้งนี้มีรายงานว่านายแสวง บุญมีเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีหนังสือลงวันที่ 18 กุมภา พันธ์ 2568 ตอบกลับไปยังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่อง แจ้งการรับเรื่องการกระทำความผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง หลังจากที่ได้รับหนังสือจากกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ระบุว่าได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือก สว.ที่ไม่เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมจำนวน 3 เรื่องซึ่งในหนังสือตอบกลับเลขาธิการกกต.ระบุว่ายังไม่ได้นำเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาตามมาตรา49 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งเนื่องจากเรื่องดังกล่าว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้วหรือไม่
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี