“มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา ยื่น ป.ป.ช.เชือด “ทวี-อธิบดีดีเอสไอ” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กล่าวหา “ฮั้วเลือกสว.” เข้าข่ายผิด “อั้งยี่-ฟอกเงิน” ลั่นทำตามความประสงค์ของสว. ด้าน เลขาฯกกต. “แสวง” ร่ายยาว ยัน กกต.มีอำนาจเต็มร้อยในการสอบสวนเลือกตั้ง ส่วนดีเอสไอ-ปปง.เป็นแค่ลูกทีมเชิญมาร่วมรายการ 3 ชุด เพราะกฎหมายไม่เปิดช่องให้กกต.มอบอำนาจให้หน่วยงานอื่นทำ ย้ำหากหน่วยงาน
ไหน มั่นใจกฎหมายให้อำนาจก็เดินหน้ารับเรื่องได้
ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ.2568 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสือเลขที่ สว 0001/1036 ถึงประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เนื่องด้วย คณะสมาชิกวุฒิสภา ได้มีหนังสือลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่อง ขอให้ส่งคำร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อพิจารณาไต่สวนและดำเนินการกับ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เกี่ยวกับการกระทำการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทัังนี้ เป็นการดำเนินการตามความประสงค์ของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
อนึ่ง เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. พร้อมคณะสว.ยื่นหนังสือต่อนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้พิจารณาส่ง เรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และผิดจริยธรรม กรณีกล่าวหาการฮั้วเลือก สว. เข้าข่ายความผิดอั้งยี่และฟอกเงิน
วันเดียวกัน นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินคดีกรณีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ว่า กกต.และสำนักงาน กกต.ได้ให้ความสำคัญโดยได้ดำเนินการพิจารณาคำร้องการเลือกสมาชิกวุฒิสภา นับแต่มีการเลือก สว.ซึ่งได้”แยกกลุ่มเฉพาะที่เป็นการซื้อเสียง และฮั้ว การเลือก สว. คือ เสนอให้ว่าจ้าง เรียกรับ ฮั้ว จัดตั้ง โพยเลขชุด บล็อคโหวต คะแนนสูงผิดปกติ คะแนน0 เพราะเห็นว่าเป็นคำร้องที่มีลักษณะพิเศษ มีความสลับซับซ้อนและมีการกระทำเป็นกระบวนการ โดยมีคำร้องที่อยู่ในกลุ่มนี้ 220 คำร้อง และรับเป็นสำนวนเพื่อสืบสวนและไต่สวน
โดยได้มีการดำเนินการ คือ 1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาและประสานการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสืบสวนและไต่สวนและการดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 มีผู้แทนจาก 3 หน่วยงาน ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงร่วมเป็นคณะอนุกรรมการ คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
2.แต่งตั้งเจ้าพนักงานจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน จาก 3 หน่วยงาน จำนวน 10 คน จากข้าราชการระดับสูง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) 3.แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและไต่สวนเพิ่มเติมขึ้นอีก 1 คณะ ซึ่งเป็นคณะพิเศษที่ประกอบด้วย รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง 4 คน และจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) 3 นาย ให้มีหน้าที่และอำนาจสืบสวนและไต่สวนเรื่องคัดค้านการเลือกสมาชิกวุฒิสภาในทุกพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย
ขณะนี้คณะกรรมการสอบสวนและไต่สวนอยู่ระหว่างสอบสวนและไต่สวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสอบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2567 และทุกสำนวนต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในระเบียบดังกล่าว และ พ.ร.บ.กำหนดระยะเวลาการดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยต้องให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสชี้แจงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 มีคำร้องและรวมถึงความปรากฏ จำนวนทั้งสิ้น 577 เรื่อง ซึ่ง กกต.พิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน 297 เรื่อง ซึ่งในส่วนของกลุ่มทุจริตเสนอให้ ว่าจ้าง เรียกรับ ฮั้ว จัดตั้ง โพย เลขชุด บล๊อคโหวต คะแนนสูงผิดปกติ คะแนน 0 กลุ่มนี้ที่มีจำนวน 220 เรื่อง กกต.พิจารณาแล้วเสร็จ 109 เรื่อง และส่งศาลฎีกา จำนวน 3 เรื่อง
นายแสวง กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินการเมื่อมีความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองนั้น พ.ร.ป.ว่าด้วยกกต.2560 ได้กำหนดให้ กกต. มีหน้าที่และอำนาจเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยหรือความปรากฏต่อ กกต.ไม่ว่าโดยทางใด ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งหรือผู้กล่าวหาหรือไม่ ถ้ามีหลักฐานพอสมควร หรือมีข้อมูลเพียงพอที่จะสืบสวนต่อไปว่ามีการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง คือ
ให้มี”หน้าที่”ต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนหรือไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานตามมาตรา 41 ให้มีอำนาจสอบสวน ไต่สวนหรือดำเนินคดีตามมาตรา 41 และแต่งตั้งพนักงานของสำนักงาน กกต. เป็นเจ้าพนัก งานมีอำนาจในการสืบสวน สอบสวน ไต่สวน หรือดำเนินคดีตามระเบียบที่กำหนด
และหากมีกรณีมีความจำเป็น กกต.จะแต่งตั้งตั้งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ ให้เป็นเจ้าพนักงานเพื่อปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกาล หรือเฉพาะเรื่องตามที่ กกต.กำหนดก็ได้ ตามมาตรา 42 ให้มีอำนาจในการโอนเรื่องหรือส่งสำนวนโดยให้หน่วยงานของรัฐหรือพนักงานสอบสวน ที่รับเรื่องการกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองไว้พิจารณาเมื่อ กกต. เห็นว่าเป็นการสมควรที่ กกต. จะดำเนินการเองตามมาตรา 49
“ซึ่งเมื่อพิจารณาข้อกฎหมายแล้วกกต.มีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้าพนักงานจากเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้มอบหมายให้หน่วยงานอื่นของรัฐ ทำหน้าที่แทนไว้ กรณีที่เป็นการกระทำกรรมเดียว แต่ผิดหลายบท หากหน่วยงานอื่นของรัฐหรือพนักงานสอบสวนจะรับเรื่องไว้พิจารณาก็ต้องพิจารณาว่ากฎหมายได้ให้อำนาจไว้หรือไม่ หากกฎหมายให้อำนาจไว้ก็มีอำนาจในการรับเรื่องไว้ดำเนินการเองได้เลย”นายแสวง กล่าว
อย่างไรก็ตาม เลขาธิการ กกต.ระบุอีกว่า การที่สนง กกต.มีหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าได้รับเรื่องการเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมเป็นคดีพิเศษไว้ดำเนินการแล้วหรือไม่ คดีอะไรก็เพื่อจะได้เสนอกกต.พิจารณาตามมาตรา 49ต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี