‘อิ๊งค์’โต้!ส่งอุยกูร์กลับจีนไม่ได้บังคับ
ต่างชาติประณามไทย
สหรัฐฯซัดหนักขัดประเพณี
ยูเอ็นชี้ผิดก.ม.สิทธิมนุษยชน
‘กัณวีร์’เปิดจม.บ่งชัดขอลี้ภัย
‘ภูมิธรรม’จวกมะกันปัดภาระ
สหรัฐและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนประณามไทย กรณีส่งชาวอุยกูร์40 คน กลับจีน ชี้ขัดต่อประเพณีไทยเป็นการละเมิดกฎหมาย ขณะที่กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภา ออก
แถลงการณ์ถล่มเละ ผิดหวังหน่วยงานให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ละเมิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯ-เสี่ยงได้รับอันตราย “กัณวีร์”เปิดจดหมาย 3 ฉบับของชาวอุยกูร์ฝาก สตม. แต่ไปไม่ถึง UNHCR แจ้งชัดขอลี้ภัย-ไม่ต้องการกลับจีน พร้อม SOS ถูกบังคับให้เซ็นเอกสารยินยอม ด้าน นายกฯ มั่นใจส่งอุยกูร์กลับจีนปลอดภัย พร้อมติดตามความเป็นอยู่ ยันทุกคนสมัครใจกลับ ไม่มีลากไป ยึดหลักสิทธิมนุษยชน-กฎหมายระหว่างประเทศ ลั่นคนไม่ใช่สินค้า ปัดดีลแลกเปลี่ยนทางการค้ากับจีน “ภูมิธรรม”ตอก สหรัฐ เคยเสนออุยกูร์ลี้ภัย แต่เมินเพราะคำนึงถึงประโยชน์ประเทศตัวเอง ยัน ไทยไม่มีทางเลือก ติงสื่อไทยบางรายกระพือข่าวจนเป็นเรื่อง ด้าน โฆษกรัฐบาล เผย“รมว.ยุติธรรม”เตรียมพาสื่อบินจีน ดูความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับ
เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายมาร์โก รูบิโอ รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ แถลงผ่านเว็บไซต์ของกระทรวง ประณามการบังคับส่งชาวอุยกูร์ 40 คน กลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีนจีนของไทย โดยระบุว่า “เราขอประณามด้วยถ้อยคำที่รุนเเรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อการบังคับส่งกลับชาวอุยกูร์ อย่างน้อย 40 คน ไปยังจีน ที่ซึ่งพวกเขาไม่ได้รับสิทธิตามวิถีทางที่ถูกต้องทางกฎหมาย และเป็นที่ซึ่งชาวอุยกูร์ เผชิญกับการตกเป็นเหยื่อ ถูกบังคับใช้เเรงงาน และการกระทำทารุณ”
เรียกร้องให้ตรวจสอบเต็มรูปแบบ
สหรัฐรู้สึกตระหนก กับการดำเนินการของไทย ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิดพันธะระหว่างประเทศที่ไทยมีภายใต้อนุสัญญาของสหประชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญ สิ่งที่รัฐบาลไทยทำขัดกับประเพณีที่มีมายาวนานของประชาชนไทยในการปกป้องผู้ที่มีความเสี่ยงที่สุด และไม่เป็นไปตามความตั้งมั่นของไทยที่จะปกป้องสิทธิมนุษยชน
นายมาร์โก รูบิโอ กล่าวต่อว่า สหรัฐฯ เร่งเร้าให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ซึ่งชาวอุยกูร์ เข้ามาเพื่อให้ได้รับการปกป้อง ไม่ยอมส่งกลับคนเหล่านี้ไปยังจีน และสหรัฐยังได้เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่จีนเปิดให้มีการยืนยันอย่างเป็นประจำเรื่องความเป็นไปของชาวอุยกูร์ ที่ถูกส่งกลับ รัฐบาลไทยจะต้องยืนยันและตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบว่าทางการจีนได้ปกป้องสิทธิมนุษยชนของชาวอุยกูร์
ด้านสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชอาร์) เตือนว่า การที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์จีน 40 คนกลับจีนนั้น “เป็นการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างชัดเจน”
ยูเอ็นชี้ละเมิดกฎหมาย
นางลิซ ทรอซเซล ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติแถลงว่า การที่ไทยส่งตัวชาวอุยกูร์ไปยังจีนเป็นการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนอย่างชัดแจ้ง โดยที่ผ่านมาข้าหลวงใหญ่ได้เรียกร้องไทยมาโดยตลอดให้เคารพพันธสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ ในการดูแลชาวอุยกูร์เหล่านี้ การกระทำของไทยเป็นการละเมิดหลักการห้ามผลักดันกลับ ของอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยด้วย จึงขอเรียกร้องไทยไม่ให้ส่งชาวอุยกูร์ที่เหลือกลับไปยังจีน และเรียกร้องให้ทางการจีนเปิดเผยสถานะของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไป และรับประกันว่าจะได้รับการปฏิบัติตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนนานาชาติ
ขณะที่องค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งเช่น ฮิวแมนไรซ์วอทช์ ได้ประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับเช่นกัน รวมถึงองค์กรสิทธิของชายอุยกูร์เอง เช่น The Campaign for Uighur (เดอะแคมเปญ ฟอร์ อุยกูร์) ได้เรียกร้องให้นานาชาติคุ้มครองชาวอุยกูร์เหล่านั้น พร้อมกับดำเนินการกับจีนให้รับผิดชอบต่อการกดขี่ และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์
‘อังคณา’ยันอุยกูร์ไม่อยากกลับจีน
ที่รัฐสภา นางอังคณา ลีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว. ) ในฐานะประธานกรรมาธิการ(กมธ.) พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภควุฒิสภา แถลงว่า กมธ.ได้ออกแถลงการณ์แสดงถึงความกังวลและห่วงใยต่อกรณีที่รัฐบาลไทยส่งชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนกลับไปประเทศต้นทาง ซึ่งที่ผ่านมากมธ.ได้รับหนังสือร้องเรียนจากผู้กักขังได้เขียนจากเศษกระดาษส่งมาให้กมธ.เพื่อส่งต่อกงสุลใหญ่ผู้ภัยสหประชาชาติ (UN) โดยระบุชัดเจนว่าไม่ประสงค์จะกลับประเทศจีน โดยกมธ.ได้ทำหนังสือไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(กต.) ถึง 3 ครั้ง แต่ได้รับการปฏิเสธมาตลอด และเมื่อกมธ.ประสงค์จะเข้าไปเยี่ยมผู้ลี้ภัย แต่ก็ได้หนังสือตอบกลับมาว่าขอเชิญให้ไปพบที่สำนักงานตม. ดังนั้น กมธ.จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงประกอบด้วย สำนักงานตม. สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช. ) กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงยุติธรรม โดยทุกหน่วยงานต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และยังยืนยันว่าจะไม่มีการส่งชาวกุยอูร์กลับประเทศต้นทางอย่างเด็ดขาด
กังขานายกฯไปดีลอะไรกับจีน
เมื่อถามว่า การที่นายกรัฐมนตรีไปพบประธานาธิบดีประเทศจีน มองว่ามีดีลแลกผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลจีนพยายามมาโดยตลอดที่จะนำผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้กลับประเทศ ตนเชื่อว่าการที่นายกฯ ไปพบสี จิ้น ผิง น่าจะเป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะมีการเจรจาแลกเปลี่ยน ขอให้ส่งชาวอุยกูร์กลับเพราะเกิดขึ้นหลังจากที่นายกฯ กลับมาไม่นาน
ทั้งนี้ นางอังคณา ได้เปิดเผยจดหมายที่ชาวอุยกูร์ฝากออกมาจากห้องกักกัน เพื่อให้นำส่ง UNHCR โดยมีใจความว่าพวกเราเป็น 48 ชาวอุยกูร์ ที่ถูกกักที่สวนพลู ตั้งแต่ปี 2013 และพวกเราไม่ต้องการที่จะกลับไปประเทศจีน ถ้าเรากลับไปจะถูกจำคุกหรือถูกฆ่า ดังนั้น พวกเราจึงต้องการความช่วยเหลือจาก UNHCR
ออกแถลงการณ์ถึงรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ออกแถลงการณ์เรื่อง การส่งตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 48 คน กลับไปยังประเทศต้นทาง โดยมีข้อสังเกตต่อการดำเนินการของรัฐบาลดังนี้ 1.ผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน ได้ถูกทางการไทยควบคุมตัวไว้ในห้องกักสวนพลูมานานมากกว่า 11 ปี โดยที่ผ่านมาทุกคนปฏิเสธที่จะเดินทางกลับประเทศต้นทาง เนื่องจากกลัวจะได้รับอันตราย คณะกรรมาธิการพยายามขอเข้าเยี่ยมผู้ลี้ภัยทั้ง 40 คน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ทุกคนได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และจะไม่ถูกผลักดันสู่อันตรายหรือถูกส่งกลับโดยไม่สมัครใจ แต่ไม่ได้รับอนุญาต คณะกรรมาธิการรู้สึกผิดหวังและเสียใจที่หน่วยงานรัฐให้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริงต่อคณะกรรมาธิการที่มีหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และตรวจสอบการทำหน้าที่ของฝ่ายบริหาร
2.การส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทาง มีนัยยะสำคัญต่อการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ (Human Rights Council–HRC) เพราะการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพโดยเฉพาะสิทธิในชีวิตและเนื้อตัวร่างกาย ขัดต่อหลักการไม่ผลักดันสู่อันตราย (non-refoulement) ซึ่งถูกกำหนดไว้ในมาตรา 3 ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (CAT)
3.คณะกรรมาธิการเห็นว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะตระหนักอยู่แล้วว่าการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศต้นทางมีความเสี่ยงสูงที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อาจได้รับอันตราย หรือถูกบังคับให้สูญหาย ดังเช่นกรณีรัฐบาลที่ผ่านมาได้ส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 108 คน กลับประเทศจีนเมื่อปี 2558 ซึ่งจนบัดนี้ญาติไม่สามารถติดต่อทั้ง 108 คนได้
เปิดจม.ชาวอุยกูร์ขอความช่วยเหลือ
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์จดหมาย 3 ฉบับที่ระบุว่าเป็นของชาวอุยกูร์ที่ถูกไทยส่งกลับประเทศจีน พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “กัณวีร์ สืบแสง Kannavee Suebsang” ระบุว่า...
เปิดจดหมาย 3 ฉบับจากเสียงผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่เคยถูกกัก และผู้ที่ถูกผลักดันกลับจีน มาดู (ฟัง) เสียงคนที่ไม่สามารถเปล่งเสียงออกจากห้องกักเป็นเวลาเกือบ 11 ปี สุดท้ายรัฐไทยเปล่งเสียงแทนว่าพวกเค้าอยากกลับจีนมากเพื่อไปเจอครอบครัวเค้า !! จดหมายทั้งสามฉบับเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือขอวามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักและคุมขังในไทยมานานเกือบ 11 ปี โดยชาวอุยกูร์ 48 คน ยืนยันไม่สมัครใจกลับจีน กลัวติดคุกและถูกฆ่าตาย และส่งถึงนายกรัฐมนตรีไทย ใช้หัวอกความเป็นแม่และผู้หญิงช่วยให้ชาวอุยกูร์ได้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่
ฉบับแรก มาจากผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ถึง UNHCR เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 แต่จดหมายไปไม่ถึง UNHCR ทาง สตม.เก็บไว้และส่งคืนให้ผู้ต้องกักระหว่างอดอาหาร เมื่อเดือน ม.ค.2568 ที่แจ้งชัดเจนว่า “อย่าส่งเค้ากลับจีน เพราะหากถูกส่งไปชีวิตเค้าไม่ถูกขัง ก็ถูกทรมานและอาจตายได้” จดหมายฉบับนี้ถูกดองและส่งคืน
ฉบับที่สอง นอกจากนี้ ยังมีจดหมายจากญาติของผู้ต้องกักที่เป็นตัวแทนของ 43 อุยกูร์ ถึงนายกรัฐมนตรีไทย ขอให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ที่เป็นลูกๆ และสามีพวกเขาไปประเทศอื่น จดหมายส่งไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย.2567 ย้ำเรื่องการที่นายกฯ ก็เพิ่งได้รับคุณพ่อที่เพิ่งกลับมารวมครอบครัวได้ ซึ่งเป็นหัวอกของความเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ถูกทำให้แยกจากกัน และต้องเข้าใจให้ตรงกันนะครับว่าครอบครัวของ 43 อุยกูร์นี้ถูกส่งไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม (ตุรกี) เมื่อปี 2568 นะครับ ไม่ใช่อยู่ที่จีน !!
ฉบับที่ สาม เขียนโดยผู้ต้องกักอุยกูร์ ในห้องกักที่สวนพลูขอความช่วยเหลือ SOS เพื่อขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับไปยังประเทศจีน เนื่องจากภัยอันตราย โดยพวกเขาประกาศอดอาหารเป็นเวลา 19 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 -28 ม.ค.2568
นายกฯยันไม่ได้ทำผิดกฎสิทธิมนุษยชน
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีสหรัฐอเมริกาและยุโรปแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีนว่า เรื่องนี้เราได้ตรวจสอบแล้วว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง โดยเรื่องของชาวอุยกูร์เป็นเรื่องของการเข้าเมืองผิดกฎหมาย และติดคุกที่ประเทศไทย 11 ปีแล้ว ถือเป็นการรับโทษที่นาน ที่ผ่านมาเราตรวจสอบข้อมูลแล้วไม่เคยมีประเทศที่สามที่จะขอรับตัวเขาเหล่านั้น เพื่อที่จะไปอยู่ประเทศนั้นๆ เลย และทางจีนก็ติดต่อมาพร้อมหลักฐานว่าพวกเขาเป็นคนจีน จริงๆ หากเป็นเรื่องของประเทศอื่นเมื่อยืนยันได้ว่าเป็นประเทศไหนเราก็ส่งกลับประเทศนั้น เราไม่ได้ทำผิดกฎสหประชาชาติและไม่ได้ทำผิดกฎสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด ซึ่งเราทราบดีในเรื่องสิทธิมนุษยชน และเราได้รับการยืนยันจากทางการจีนว่าถ้าเราส่งชาวอุยกูร์กลับไป เขาจะไม่ถูกดำเนินคดีแล้ว ไม่ต้องมีการสอบสวน สามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวและสังคมได้
ยอมรับคุยกับจีนมาระยะหนึ่งแล้ว
นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลกับรัฐบาลคุยกันมาสักระยะแล้ว เมื่อมีการจัดการที่ดีของทั้งสองประเทศก็จะสามารถทำให้ชีวิตของชาวอุยกูร์เหล่านั้นปลอดภัยได้ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอาจจะมีการจัดการที่ผิดพลาด แต่จากการคุยกันครั้งนี้ และจากที่ตนไปเยือนอย่างจีนเป็นทางการได้พูดคุยกับผู้นำหลายระดับ ซึ่งเขายืนยันว่าเขาให้คำมั่นสัญญากับทางไทยแล้วว่าทุกคนที่กลับไปจะปลอดภัย ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่ทำการส่งตัวไปแน่นอน หากไม่ได้รับการยืนยันอย่างนี้
“คงไปได้เห็นรูปกันแล้ว ที่ชาวอุยกูร์ได้สู่อ้อมกอดครอบครัว ก็เป็นเรื่องน่ายินดีและจากนี้ทางการจีนยังอนุญาตให้สามารถบินไปเยี่ยมหรือสอบถามความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ว่าเป็นอย่างไร เขาไม่ได้ปิดกั้นตรงนี้เลย เราไม่มีทางส่งไปโดยที่ไม่ทราบว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ถ้าเป็นแบบนั้นเราไม่ทำแน่ เราเน้นเรื่องสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว พอเรามีความชัวร์เรื่องนี้ เรื่องนี้เราถึงได้ดำเนินการ “นายกฯ กล่าว
ปฏิเสธข่าวแลกเปลี่ยนทางการค้า
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อวิจารณ์ว่าการส่งตัวชาวอุยกูร์ครั้งนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับจีน นายกฯปฎิเสธว่า ไม่มีเลย ไม่มีการแลกเปลี่ยนทางการค้าใดๆ กับหัวข้อที่ส่งชาวอุยกูร์กลับไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น เพราะหากจะคุยเรื่องการค้าก็เป็นเรื่องของการค้า แต่นี่เป็นเรื่องของคน ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับสินค้า คนไม่ใช่สินค้าไม่แลกกันแน่นอน
เมื่อถามอีกว่าจะมีการชี้แจงกับสหรัฐฯอย่างไรบ้าง นายกฯกล่าวว่า ต้องมีการติดตามข้อมูล ซึ่งข้อมูลล่าสุดเราประสานอย่างจริงจัง ไม่ได้พูดกันเล่นๆ ทุกอย่างพูดกันจริงจัง และการที่ตนไม่พูดหรือแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะในตอนแรก เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง เป็นเรื่องของรัฐบาล และการที่ตนระมัดระวังเรื่องการส่งข้อความ เป็นเรื่องรัฐบาลรับทราบและต้องการจะทำให้ปลอดภัยที่สุด ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุข้อขัดข้อง แม้กระทั่งตอนเดินทาง หรือทำอะไรรุนแรงที่ไม่เคารพสิทธิของเขา จี้ไปก็ไม่มี แต่เป็นการไปด้วยความสงบเรียบร้อย อย่างที่เห็นภาพตั้งแต่ลงเครื่องเขาได้กลับสู่ครอบครัวเขาจริงๆ
“เราลองคิดดู หากเกิดขึ้นที่ประเทศของเรา ภาพออกไปทั่วโลกแบบนี้แล้ว เราจะพลิกคำที่สัญญากับประเทศเพื่อนบ้าน มันก็จะผิดไม่ได้แค่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่ทั่วโลกก็จะมองเห็น เพราะฉะนั้นดิฉันจึงมั่นใจว่าเมื่อกลับไปจะดูแลคนกลุ่มนี้อย่างดี “นายกฯกล่าว
แจงเหตุผลที่ไม่รีบตอบข้อสงสัย
เมื่อถามอีกว่า กรณีเมื่อวันที่ 27 ก.พ. นายกฯยังไม่ยืนยันการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะต้องการความมั่นใจก่อนว่าเขาจะเดินทางกลับไปอย่างปลอดภัยใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตอนนั้นเป็นเรื่องโพรโตคอลหรือหลักเกณฑ์ระหว่างประเทศว่าใครจะออกมาแถลง ทางจีนจะออกมาพูดก่อนหรือไม่ แต่การรับรู้รับทราบ ต้องรับทราบอยู่แล้ว แต่มันเหมาะสมหรือไม่ที่จะพูด ณ ตอนนั้น เพราะเมื่อวานมีหลายประเด็นหากตนตอบคำถามนี้ไปแค่ 2-3 คำ ข้อความถูกเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น มันเป็นเรื่องของมั่นคง เรื่องของประเทศ ไม่สามารถจะพูดแค่คำสองคำแล้วเดินไปได้ แต่ต้องมีการอธิบาย ฉะนั้นวันนี้ถึงมีการให้สัมภาษณ์อย่างนี้ ซึ่งรายละเอียดนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม ได้พูดไปแล้ว
เมื่อถามว่า หลังจากนี้หากสื่อไทยต้องการที่จะไปติดตามความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์จะทำได้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าหากเป็นสื่อจะเป็นอย่างไร เพราะที่คุยกันรัฐมนตรีสามารถไปได้
เผยจีนให้คำมั่นดูแลชาวอุยกูร์
เมื่อถามต่อว่า รัฐบาลจีนชี้แจงรายละเอียดหรือไม่ว่า จะดูแลชาวอุยกูร์อย่างไร นายกฯกล่าวว่า ตอนพูดคุยกันเขายืนยันว่าจะให้ทุกคนกลับเข้าสู่สังคมอย่างปกติ พวกเขาไม่ได้เป็นอาชญากร ไม่ได้ทำอาชญากรรม เขาเข้าเมืองผิดกฎหมายและถูกคุมขังมาแล้วสิบกว่าปี มันนานมากแล้ว เมื่อไปถึงเขาให้ครอบครัวมารับ ตนเห็นจากรูปก็ไม่ได้เห็นใส่กุญแจมืออะไร
เมื่อถามว่ามีกระแสว่าประเทศตุรกีเตรียมรับชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ไป นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีประเทศที่สามมายืนยันที่จะขอรับตัวชาวอุยกูร์เลย อย่างประเทศที่ร้องเรียนก็ไม่ใครเสนอมาเลยสักคน และทางจีนยืนยันว่าคนกลุ่มนี้เป็นคนจีน ประเทศไทยก็ต้องส่งกลับไปจีน ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติปกติ
ย้ำกลับประเทศด้วยความสมัครใจ
เมื่อถามย้ำว่า ชาวอุยกูร์เดินทางกลับจีนด้วยความสมัครใจ มีเอกสารยืนยันหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเอกสารมีอันไหนบ้าง แต่ในส่วนกระบวนการตนเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย เรื่องเอกสารขอให้กระทรวงการต่างประเทศ และกลาโหม เล่าให้ฟังว่ามีเอกสารอะไรบ้างซึ่งยืนยันว่าเขากลับด้วยความสมัครใจ ไม่อย่างนั้นต้องลากเขาแล้ว แต่เดินปกติ
ส่วนการส่งตัวกลับครั้งนี้ มีความกังวลว่าจะกระทบกับความสัมพันธ์กับประเทศมุสลิมหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ต้องอาศัยเวลาในการอธิบาย และต้องดูด้วยว่าเขากลับไปแล้วปลอดภัยจริงหรือไม่ ที่เห็นคือเขาปลอดภัยก็น่าจะเป็นเครื่องหมายในการอธิบายได้แล้วว่าไทยได้มีการประสานงานหลังบ้านแล้ว ว่าถ้าไม่ชัวร์เราก็ไม่ทำแน่อยู่แล้ว ถ้าส่งกลับไปแล้วเกิดอะไรขึ้น ตนก็คงรับไม่ได้เช่นกัน เราเข้าใจทุกคนเป็นมนุษย์เหมือนกัน ฉะนั้นต้องชัวร์ ชัวร์แล้วชัวร์อีก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าส่งไป
“ภูมิธรรม”ตอกสหรัฐเมินรับอุยกูร์
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีข้อกังวล จะมีเหตุก่อการร้าย หลังจากส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ว่า หากเราส่งชาวอุยกูร์ แล้วได้รับอันตรายจนถึงแก่ชีวิต ก็เป็นเรื่องที่จะต้องขบคิดกัน แต่การดำเนินการครั้งนี้ เรามีหนังสือที่เป็นทางการจากจีน ที่ควรแก่การเชื่อถือ ในขณะเดียวกันจีนมีสิทธิ์ ที่จะขอตัวชาวอุยกูร์ ที่ถูกควบคุมตัวในประเทศไทยมานานกว่า 11 ปี เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เหตุเพราะเรา แก้ไขปัญหาที่ผ่านมาไม่ได้ ขณะเดียวกันเรื่องการส่งตัวไปประเทศที่ 3 เราดำเนินการมา 11 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ส่งไปตุรกีกว่าร้อยคนเราประสบความสำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครตอบรับเลย และตนก็ได้บอกกับชาติตะวันตกแล้ว ว่า หากเขารับไป ก็ไม่มีปัญหา แต่เขาก็ไม่รับ เพราะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเขา ดังนั้น เมื่อทางการจีนยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นพลเรือนของจีน ที่มีเชื้อสายอุยกูร์ มีที่อยู่ชัดเจน จึงอยากขอตัวกลับไป เราจึงดำเนินการตามขั้นตอน
ยันไทยไม่มีทางเลือก-ปฏิบัติตามก.ม.
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้ชี้แจงกับประเทศตะวันตกหลายชาติ เช่น สหรัฐ ก็ได้พูดคุยกับตน ซึ่งก็ได้ย้ำไปว่า เราจะทำภายใต้อธิปไตยและกฎหมายของไทย คำนึงถึงหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องนี้ รวมถึงคำนึงถึงกฎหมายที่จะไม่ส่งคนไปเสียชีวิต เรามีสถานะอยู่แค่นี้กักตัวเอาไว้ก็ทำผิดกฎหมาย เราไม่มีทางเลือก และชัดเจนว่า เราไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรในเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องดำรงประเทศให้มีความถูกต้องและเหมาะสม เพราะการที่เราขังชาวอุยกูร์ ก็ถูกร้องเรียนมาตลอดว่าเป็นการทรมาน ซึ่งขัดต่อพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย 2565 ดังนั้น การส่งอุยกูร์ กลับไปจีน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด อีกทั้งรัฐบาล ก็จะติดตามเรื่องของความปลอดภัยเป็นระยะ
ติงสื่อเสนอข่าวเหมือนไม่อยากให้จบ
นายภูมิธรรม ยังขอวิงวอนให้สื่อไทยและสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อในประเทศไทยบางราย ที่นำเสนอเหมือนอยากให้ประเด็นไม่จบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเลย อยากให้คำนึงถึงประเทศไทยด้วย ยืนยัน รัฐบาลไทยมีความปรารถนาดี เพื่อไม่ให้ไทยถูกกล่าวหาและปฏิเสธจากทุกฝ่าย เราไม่ได้มีเจตนาร้าย หรือโหดเหี้ยม อำมหิต ที่จะส่งคนไปตาย เพียงแต่ต้องการแก้ไขปัญหาภายในประเทศของเรา เพื่อไม่ต้องมารับภาระ และจากการติดตามตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากังวลสิ่ง แต่หลังจากนี้ ก็ต้องติดตามและพิจารณาเป็นระยะ พร้อมยืนยัน ว่า ไทยมีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าการส่งอุยกร์ กลับจีน ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง และมองว่าไม่น่าจะมีอะไรที่ทำให้เป็นเรื่อง
เมื่อถามว่าในด้านการข่าว มีการเคลื่อนไหวในเรื่องการก่อความไม่สงบหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า อยากให้ช่วยกัน เราไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้มีการละเมิดใคร หากส่งเขาไปเสียชีวิตอาจต้องกังวล แต่ปัจจุบันนี้เขายังอยู่ดี แต่หากมีปัญหาหลังจากนี้ ก็เป็นเรื่องของคน ที่ผิดจากสิ่งที่ควรจะเป็น
‘ทวี’เตรียมบินติดตามความเป็นอยู่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีการประชุมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยสรุปว่าชาวอุยกูร์ที่เดินทางถึงประเทศจีน มีทั้งหมด 40 คน อีก 5 คนอยู่ระหว่างการพิพากษาให้จำคุก โดยมีโทษ 2-4 ปี ซึ่งทั้งหมดจะรับโทษครบในปี พ.ศ. 2572 ทางรัฐบาลไทยก็ขอยืนยันว่า หากครบเวลาหรือได้รับการอภัยโทษ ก็จะสามารถส่งกลับไปยังประเทศต้นทางได้ โดย นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ได้เดินทางไปอีกเมืองหนึ่งในสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากจุดที่เครื่องบินลงและตรวจร่างกายประมาณ 100 กิโลเมตรโดยได้นั่งรถไปพร้อมกับชาวอุยกูร์ประมาณ 10 คน ที่อยู่อีกตำบลหนึ่ง ซึ่งในเย็นวันนี้จะมีการรายงานกลับมา
ส่วนเรื่องการติดตาม รัฐบาลไทยได้มีการกำชับ และมีการหารือกับหน่วยงานของเรา ก่อนประสานงานกับรัฐบาลจีนว่าหลังจากนี้ 15 วัน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม จะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อติดตามชาวอุยกูร์ 40 คนที่ไปถึงว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร ทำอาชีพอะไรบ้าง เพราะสถานการณ์เมื่อ 11 ปีก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อ 11 ปีที่แล้ว เขาอยากเดินทางออกนอกประเทศ แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยน ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจที่มีการเติบโต ทั้งนี้ ตนได้พูดคุยกับ พ.ต.อ.ทวี แล้ว ได้รับการยืนยันว่าหากเดินทางไปจีน ต้องเชิญสื่อมวลชนไปด้วยอยู่แล้ว
มีสิทธิเสรีภาพในฐานะพลเมืองจีน
เมื่อถามถึงกรณีที่มีครอบครัวชาวอุยกูร์อพยพไปอยู่ประเทศตุรกีก่อนหน้านี้แล้ว หากเดินทางกลับไปประเทศจีน จะไปอยู่กับใคร เพราะอาจไม่มีครอบครัวอยู่ที่นั่นเลย นายจิรายุ กล่าวว่า เราได้ถามรัฐบาลจีนว่าพวกเขาไม่มีความผิดใช่หรือไม่ ถ้าไม่มีความผิดตามที่ได้รับการยืนยัน ก็หมายความว่าเขาเป็นพลเมืองจีน ซึ่งมีสิทธิเสรีภาพในการเดินทาง เพราะฉะนั้นหากจะเดินทางไปตุรกีหรือประเทศใดในโลก ก็เหมือนเป็นคนมีพาสปอร์ตประเทศจีน สามารถไปได้อยู่แล้ว ถ้ากลับไปแล้วเขาไม่มีคดี ก็สามารถทำพาสปอร์ตต่อบัตรประชาชน และสามารถเดินทางไปพบญาติพี่น้องได้ตามปกติ ยืนยันว่าสถานการณ์ในพื้นที่ดังกล่าวไม่เหมือนเดิมจาก 11 ปีที่แล้ว เป็นพื้นที่ปกครองตนเองเรียกว่าซินเจียงอุยกูร์ เป็นเส้นทางสายไหม มีขบวนรถเดินทางไปถึงยุโรป และสามารถเดินทางไปตุรกีได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี