'สส.ปชน.'สวนกลับ'เผ่าภูมิ' ลั่นตลาดหุ้นตกไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่คือการบริหารผิดพลาด
เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2568 จากกรณีที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงปัญหาตลาดหุ้นตก ว่า “คนที่ฉลาด จะมองพื้นฐานทางเศรษฐกิจและจะมองสิ่งนี้เป็นโอกาส ส่วนคนที่ไม่ฉลาดก็จะตื่นเต้นและไม่เห็นโอกาสในสิ่งนี้ คือ มองไม่เห็นโอกาสในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มี กับราคาหลักทรัพย์ที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจ”
ล่าสุด นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า
"ตลาดหุ้นตกไม่ใช่เรื่องโง่หรือฉลาด แต่คือการบริหารผิดพลาด และขาดการกำกับดูแล ]
ตลาดหลักทรัพย์ไทยร่วงต่อเนื่องจนถึงระดับต่ำกว่า 1,200 จุด เท่ากับเมื่อ 13 ปีที่แล้ว หรือ พ.ศ. 2555 แต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง คุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล กลับตอบว่า “คนไม่ฉลาดจะตื่นเต้นและมองไม่เห็นโอกาส” ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยบรรเทาสถานการณ์แล้ว กลับยิ่งทำลายความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทยให้ตกต่ำลงไปอีก
ทั้งที่ในฐานะรัฐบาลผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ควรเริ่มต้นจากการยอมรับฟังข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์ต่อความผิดพลาดในการออกมาตรการของรัฐบาลเอง โดยเฉพาะโครงการ “แจกเงินหมื่น” ที่รัฐบาลดึงดันจะทำ แม้จะผู้ทักท้วงตั้งแต่ต้นว่าอาจไม่คุ้มกับต้นทุนทางการคลัง หลังจากนั้น ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วจากตัวเลขจีดีพีปี 2567 ทั้งปีที่โตขึ้นมาเพียง 2.5% รั้งท้ายอาเซียน แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉย เลือกที่จะเดินหน้าต่อด้วยงบประมาณที่มากขึ้น จนทำให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยถดถอยในสายตานักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากจะไม่เห็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ จากนโยบายรัฐบาลแล้ว อีกสาเหตุที่ทำให้เงินลงทุนหายไปจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง คือการที่รัฐบาลละเลยการกำกับตลาดทุนไทยให้เป็นธรรมกับนักลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น สามเดือนที่แล้ว มีเรื่องใหญ่ๆ ที่สะท้อนปัญหา การคุ้มครองนักลงทุนหลายเรื่องที่กระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่กรณี CPAXT ที่เอาบริษัทมหาชนไป ร่วมลงทุน กับ บริษัทในครอบครัว นอกธุรกิจหลัก โดย หน่วยงานกำกับ อยาง กลต. ก็รับรองว่า ไม่เข้าหลักเกณฑ์ รายการที่เกี่ยวโยงกัน เพราะมีช่องโหว่ทางกฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ และ กรณีผู้บริหาร ขายหุ้น ก่อนประกาศข่าวใหญ่ ที่ทำให้หุ้นตก 19% โดยที่ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ จากหน่วยงานกำกับ และ ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการทบทวน ESG Rating จากตลาดหลักทรัพย์
หรือ ตัวอย่างล่าสุด เดือนที่แล้ว กรณี AOT ที่ ประกาศข่าว การช่วยเจ้าสัว Duty Free เลื่อนเงื่อนไขการชำระเงินตามสัญญา ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้ที่สูงถึง 33% ของรายได้รวม โดยที่ AOT ประกาศข่าวสำคัญแบบนี้ ล่าช้าไปเกือบเดือน หลังจากที่บอร์ดมีมติไป ที่ทำให้หุ้นตกลงไป 20% หลังประกาศข่าว แต่หน่วยงานรัฐ ออกมายืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกฎระเบียบ โดยไม่สนใจถึงสาระสำคัญของการตัดสินใจที่สำคัญแบบนี้
หรือ เรื่องพื้นฐานที่ กมธ การเงินการคลัง ร่วมกับ สมาคมนักลงทุนรายย่อย เสนอไปหลายครั้ง ให้มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนว่า การให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนรายใหญ่ ก่อนที่บริษัทมหาชนจะประกาศผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์ ควรจะเป็นเรื่องผิดกฎ Insider Trading (หรือการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลภายใน) ได้แล้ว เพราะไม่เป็นธรรมกับนักลงทุนรายย่อยที่เข้าถึงข้อมูลสำคัญล่าช้ากว่านักลงทุนรายใหญ่ แต่ประเด็นนี้ ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ
แต่เพราะ ครม. และ รัฐบาล เป็นคนแต่งตั้งกรรมการและกำกับ กลต. และ คณะกรรมการ กลต. ก็เป็นคนแต่งตั้ง กรรมการ ตลท. และ กำกับการทำงานของ ตลท. ดังนั้น รัฐบาล และ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง จึงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อการกำกับดูแลตลาดทุนไปได้
สุดท้าย ผมยังอยากเห็น ตลาดหุ้นไทย ยังคงเป็นความหวังในการอนาคตให้กับ นักลงทุนไทย ได้อยู่บ้าง ในยามที่ เศรษฐกิจไทยเอง ดูไม่ค่อยมีอนาคตซักเท่าไหร่ จึงต้องขอให้ประชาชนและนักลงทุนรายย่อยช่วยกันผลักดันให้ รัฐบาลและรมช..คลัง กำกับ และเข้มงวด กับการคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ขอให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เคยประกาศไว้ด้วย"
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี