‘ดีเอสไอ’รับ‘ฟอกเงินฮั้วสว.’เป็นคดีพิเศษ 11 เสียงเห็นด้วย 4 เสียงไม่เห็นด้วย งดออกเสียง 3 เสียง พร้อมไม่แตะปมอั้งยี่ซ่องโจร
6 มีนาคม 2568 ที่อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ร่วมประชุมพิจารณาคดีเรื่องสืบสวนที่ 151/2567 กรณีการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีกระบวนการหรือพฤติการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปด้วยสุจริตหรือเที่ยงธรรม เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งเป็นการนัดประชุมครั้งที่ 2 ภายหลังส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ พิจารณา (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ด่วนที่สุด!‘บอร์ด กคพ.’มีมติรับ‘ฟอกเงิน ฮั้วสว.’เป็นคดีพิเศษ)
ล่าสุดเวลา 11.30 น. นายภูมิธรรมเวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบอร์ดคดีพิเศษ กล่าวว่า หลังจากพิจารณาและรับฟังความเห็นทุกฝ่ายแล้ว ที่ประชุม คกพ.มีมติรับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดยย้ำว่าไม่ใช่การแทรกแซง แต่เป็นการประสานความร่วมมือกัน เพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ได้รับเรื่องร้องเรียนมา จะนิ่งเฉยมิได้
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีคณะกรรมการมาประชุม 19 คน แต่นายเพชร ชินบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ได้เดินทางออกจากที่ประชุมก่อนจะมีการลงมติเนื่องจากมีภารกิจติดประชุมต่างประเทศ ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีกรรมการเหลือเพียง 18 เสียง ซึ่งวันนี้การพิจารณาใช้ระเบียบ การรับเป็นคดีพิเศษ โดยยึดตามเสียงข้างมากในที่ประชุม ผลการลงคะแนนที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้รับเป็นคดีพิเศษกรณีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน จำนวน 11 เสียง และไม่เห็นด้วย 4 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง
ส่วนหลังจากนี้หากมีความผิดอาญาเกี่ยวเนื่องการเลือกสว.67 ที่มีลักษณะความผิดหรือเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.แนบท้ายคดีพิเศษนั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถมีความเห็นรับไว้เป็นคดีพิเศษได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้มติจากบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่มีความกังวลว่าหลังจากนี้หลังมีการเลือกตั้งจะมีผู้มาร้องเรียนบอร์ดคดีพิเศษให้รับไว้เป็นคดีพิเศษนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่ามาร้องได้แต่การพิจารณารับไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานว่ามีความผิดตามกฎหมายของคดีพิเศษจริงหรือไม่ จึงจะมีการรับไว้พิจารณา
รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีที่บอร์ด คดีพิเศษ ลงมติรับเรื่องความผิดอาญาฐานฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากปรากฏว่ามีหลักฐานเส้นเงินโยงไปถึงบางพรรคการเมืองด้วย
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงภายในบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ว่า สำหรับองค์ประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษที่เข้าประชุมในวันนี้มีทั้งสิ้น 18 ราย จากทั้งหมด 22 ราย ซึ่งบุคคลที่ขาดประชุม ประกอบด้วย กรรมการโดยตำแหน่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.แม้มอบหมายให้ พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี (ผู้แทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ) เข้าประชุมแทน แต่ก็ไม่ได้มาเข้าร่วม ขณะที่กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ขาดประชุม 3 ราย ได้แก่ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสอบสวนคดีอาญา , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และนายเพ็ชร ชินบุตร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเข้าเซ็นชื่อแต่ไม่เข้าร่วมประชุม
ส่วนสาเหตุที่บอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) มีมติ 11 เสียง ให้รับคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงินเพียงฐานความเดียว ในคดีฮั้ว สว.67 ไว้เป็นคดีพิเศษนั้น แหล่งข่าวจากบอร์ดฯ เผยว่า เนื่องด้วยกรรมการได้มีการยกข้อหารือเมื่อการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ ครั้งที่ 2/2568 วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าในลักษณะของคดีความผิดอาญาฐานฟอกเงิน ถือเป็นความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) ให้เป็นคดีพิเศษได้ด้วยอำนาจอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือเสียงเกินกึ่งหนึ่งของกรรมการที่มี โดยเฉพาะถ้าเป็นการชี้ขาดว่าให้เป็นความผิดฐานฟอกเงินทางอาญา แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 เพราะเข้าเงื่อนไขกรณีที่มีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นความผิดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 อยู่แล้วนั้น จะเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องอาศัยมติบอร์ด
ซึ่งจากรายงานการสืบสวนของดีเอสไอและการสอบปากคำพยาน ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการใช้เงินเกี่ยวกับขบวนการเลือก สว.67 มากเกิน 300 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว.ระดับอำเภอ และต่อเนื่องไปจนถึงหลังจบการเลือก สว.ระดับประเทศ ทั้งยังหมายรวมถึงการเตรียมทรัพย์สินไว้สำหรับใช้กระทำความผิด ทั้งการใช้หรือผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาด้วย
จึงได้มีการวินิจฉัยในวันนี้ของกรรมการให้รับคดีฟอกเงินไว้เป็นคดีพิเศษ ด้วยมติชี้ขาด 11 เสียง จากทั้งหมด 18 เสียง ไม่เห็นชอบ 4 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ส่วนการสอบสวนคดีพิเศษหลังจากนี้ ทาง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเป็นผู้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่น เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อการทำสำนวนคดี
แหล่งข่าวฯ เผยด้วยว่า ส่วนหลังจากนี้หากมีการสอบสวนขยายผล แล้วพบฐานอาญาความผิดอื่น อาทิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ฐานอั้งยี่) และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 (3) นั้น ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ สามารถรับเพิ่มไว้ดำเนินการได้ เนื่องจากจะเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกัน โดยไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าที่ประชุมของบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษอีกแล้ว แต่คณะพนักงานสอบสวนจะต้องไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนให้ชัดเจน
ส่วนกรณีของฐานความผิดมาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 จะเป็นอำนาจดำเนินการของ กกต.เพื่อไม่ให้เป็นการทับซ้อนหรือขัดข้อกฎหมายระหว่าง 2 หน่วยงาน
แหล่งข่าวฯ เผยต่อว่า สำหรับคดีความผิดทางอาญาตามกฏหมายที่กำหนดไว้ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่กำหนดในกฎกระทรวงโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) โดยคดีความผิดทางอาญาตามกฎหมายดังกล่าวได้มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ (ก) คดีความผิดทางอาญาที่มีความซับซ้อนจำเป็นต้องต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ และ (ข) คดีความผิดทางอาญาที่มีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ความมั่นคงของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ แต่ทั้งนี้หลักๆ แล้วคดีฮั้ว สว.67 ในที่ประชุมได้กล่าวถึงการเป็นคดีที่มีความซับซ้อนและมีผล
กระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคม
แหล่งข่าวฯ เผยด้วยว่า กระบวนการหลังจากรับเป็นคดีพิเศษแล้วก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและออกหมายเรียกพยาน รวมไปถึงการสืบเส้นทางการเงิน โดยเฉพาะในส่วนของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินหรือรับผลตอบแทนตัวเงิน รวมถึงการพิจารณารายการทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ซึ่งหากพบที่มาของทรัพย์สินดังกล่าวว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินทางอาญาในคดีมูลฐาน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะทำการออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบชั่วคราว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับกรรมการที่มีมติไม่เห็นชอบ 4 ราย ประกอบด้วย 1.นายนพดล เกรีฤกษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา) 2.นายจิรานุวัฒน์ ธัญญะเจริญ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกฎหมาย (ผู้แทนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 3.นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง (ผู้แทนปลัดกระทรวงมหาดไทย) และ 4.พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการปราบปรามผู้มีอิทธิพล
ส่วนมติงดออกเสียง 3 ราย ประกอบด้วย 1.นายณรงค์ งามสมมิตร ที่ปรึกษากฎหมาย (ผู้แทนปลัดกระทรวงพาณิชย์) 2.นางเยาวลักษณ์ นนทแก้ว อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ (ผู้แทนอัยการสูงสุด) และ 3.นายอรรถพล อรรถวรเดช ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง (ผู้แทนปลัดกระทรวงการคลัง)
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี