'กมธ.สาธารณสุข'บี้ขอผลประชุม'ประกันสังคม'ย้อนหลัง 23 ปี หลังเปรียบเทียบมาตรฐานการทำงานกับ'สปสช.' ชี้'บัตรทอง-หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า'ให้บริการรักษาประชาชนดีกว่า ครอบคลุมโรคมากกว่า ผู้เสียเงินประกันตน แนะเร่งปรับปรุง ย้ำต้องส่งเอกสารภายใน 15 วัน เสนอให้'ผู้ประกันตน'ย้ายมาใช้สิทธิ์'บัตรทอง'สัปดาห์หน้าลุยถก เลขาฯ สำนักประกันสังคม
เมื่อวันที่ 6 มี.8.2568 ที่รัฐสภา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.สาธารณสุข สภาฯ และ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานกมธ.ฯ ร่วมแถลงผลการประชุมกมธ.ฯ กรณีการพิจารณาศึกษาสิทธิประโยชน์การรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน โดยน.ส.กัลยพัชร กล่าวว่า ที่ประชุมมีการพูดคุยเรื่องความแตกต่างระหว่างชุดสิทธิประโยชน์ 2 กองทุนคือสิทธิ์ประกันสังคม และสิทธิ์หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งมีประเด็นสำคัญดังนี้ ในภาพรวม แม้ทั้ง 2 กองทุนจะให้บริการสุขภาพถ้วนหน้าใกล้เคียงกัน แต่ยังมีความแตกต่างกันในรายละเอียด โดยที่ประชุมเห็นว่าการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาพยาบาลในสิทธิ์บัตรทองนั้นมีมากกว่าสิทธิ์ประกันสังคม เนื่องจากกองทุนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีจุดเน้นเรื่องสุขภาพและมีภาคประชาชนเข้าไปร่วมบริหาร แต่กองทุนประกันสังคมมีจุดเน้นด้านสวัสดิการสังคม และคณะกรรมการไม่ได้มีสัดส่วนผู้ประกันตนไปร่วมพัฒนาสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลมากเท่าสิทธิ์ของบัตรทอง
น.ส.กัลยพัชร กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ยังมีเรื่องของความไม่พอใจของผู้การตนต่อสิทธิ์ประกันสังคม ที่มีอยู่จริงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใช้สิทธิ์บัตรทอง ที่เห็นความพยายามพัฒนาคุณภาพการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประสบการณ์ใกล้ตัวของผู้ป่วย เช่น การตอบสนองเรื่องร้องเรียนโดย 1330 ที่ดีกว่า 1506 หรือแม้กระทั่งสิทธิ์ทันตกรรมที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจน นอกจากนี้ สปสช.ยังจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคที่หน่วยบริการปฐมภูมิ การให้บริการคลอดบุตร การรักษาพยาบาลคนพิการ การดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงและระยะท้ายได้โดดเด่นกว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งสองระบบยังควรปรับปรุงสิทธิ์ฟื้นฟูสมรรถภาพหรือ Intermediate Care ซึ่งที่ประชุม กมธ.ฯ เห็นว่าประกันสังคมควรร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการได้ที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562
“ทั้งนี้ ประกันสังคมควรพิจารณาเปิดสิทธิ์การรักษาพยาบาลให้ผู้ประกันตนสามารถเลือกย้ายมาใช้สิทธิ์บัตรทองได้ โดยกองทุนประกันสังคมตามจ่าย เนื่องจากจะเป็นข้อบ่งชี้ว่าสิทธิ์ประกันสังคมจัดบริการสุภาพได้ตอบสนองความต้องการของผู้ประกันตนได้มากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตาม มีกมธ.ฯ บางส่วนสนับสนุนให้ สปสช. ดูแลสิทธิ์การรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนในประกันสังคมแล้วให้สำนักงานประกันสังคม เน้นพัฒนาสวัสดิการชำนาญและสวัสดิการคนทำงานอื่นๆ ที่เหลือ“ รองประธาน กมธ.ฯ กล่าว
น.ส.กัลยพัชร กล่าวต่อว่า ภายหลังการพิจารณา กมธ.มีมติดังนี้ ขอให้สปสช.และประกันสังคมส่งบันทึกการประชุม 23 ปีย้อนหลังเกี่ยวกับการสร้างความกลมกลืนระหว่างสิทธิ์ที่คณะกรรมการประสานงานสามกองทุนได้จัดประชุมร่วมกัน เพื่อศึกษาอุปสรรคการลดความเหลื่อมล้ำและร่วมผลักดันการบริการสุขภาพที่เป็นธรรมต่อไปโดยขอให้ตัวแทน สปส.และประกันสังคมส่งเอกสารให้กมธ.ฯ ภายใน 15 วัน ทั้งนี้ จากการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่มีนายพิชัย ชุณหวิชระ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ทางกมธ.ฯ เสนอให้คณะกรรมการชุดนี้ดำเนินการประเมินทางเลือกแนวทางกำกับดูแลระหว่างระบบสุขภาพเพื่อลดความเหลื่อมล้ำการรักษาระหว่าง 3 ระบบสุขภาพ ควรกำหนดเป้าหมายและโรดแมปการทำงานที่ชัดเจน รวมถึงรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องและควรเชิญภาคประชาสังคมมาร่วมในคณะกรรมการด้วย ซึ่งทราบมาว่าคณะกรรมการชุดนี้จะประชุมนัดแรกในวันที่ 12 มีนาคมนี้ โดยทางกมธ.ฯ จะติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ขอทิ้งท้ายไว้ว่าคุณคิดว่าคนเราเท่ากันหรือไม่ หากคนเราเท่ากันสิทธิ์การรักษาก็ควรเท่ากัน
ด้านนพ.ทศพร กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ กมธ.ฯทุกคนให้ความสำคัญโดยไม่ได้แยกว่าเป็นพรรคใด และสัปดาห์หน้าทางกมธ.ฯ ได้เตรียมที่จะเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อพูดคุยกับเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี