‘ทวี’จี้ถอดถอน/โยงฟอกเงิน
20สว.สะดุ้งโหยง
อ้างมีหลักฐานมัดความผิด
สอบพยานแล้ว7พันปาก
ขีดเส้นต้องจบใน3เดือน
จ่อลุยต่อคดี‘อั้งยี่-ซ่องโจร’
“ทวี” รมว.ยุติธรรม เขย่าขวัญสภาสูงจี้ยื่นถอดถอน 20 สว. หลังพบหลักฐานโยงคดีฟอกเงิน สะพัด! พุ่ง 500 ล้าน เผยสอบพยาน 7 พันปาก ขีดเส้นดีเอสไอทำให้จบใน 3 เดือน พร้อมลุยต่ออั้งยี่-ซ่องโจร โดยไม่ต้องเข้าบอร์ด กพค.อ้างกฎหมายให้อำนาจทำโดยอัตโนมัติ ฟาก สว.ดักคอ ถ้าเส้นเงินไม่ถึง300 ล้าน ต้องยุติเรื่อง ห่วงพยานหลักฐานถูกสร้างขึ้นมาพายหลัง “ดร.สุขุม นวลสกุล” ฟันฉับ!คดีฉาวนี้ โยงการเมืองร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเกมบีบภูมิใจไทยแลกยกมือโหวตหนุน “นายกฯ” สู้ศึกซักฟอก
เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงมติคณะกรรมการคดีพิเศษ (กพค.) รับคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา(สว.) เป็นคดีพิเศษ ในฐานความผิดฟอกเงินว่า สามารถทำได้ เพราะจากการสอบสวนพยานสามารถ เชื่อได้ว่ามีเงินสะพัดในการเลือก สว.กว่า 300 ล้านบาท มูลค่าเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สามารถรับเป็นคดีพิเศษได้ด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาความผิดเรื่องการจ้างให้ดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อั้งยี่ ซ่องโจร และความผิดฐานยุยงส่งเสริมไม่ให้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หรือการครอบงำอำนาจนิติบัญญัติ เพราะหากสืบสวนสอบสวนความผิดฐานฟอกเงินและพบการประทำที่เข้าข่ายความผิดเหล่านี้ รวมถึงความอาญาที่เกี่ยวข้อง กฎหมายก็ให้ถือเป็นคดีพิเศษไปได้เลย
หลักฐานแน่นเงินพุ่ง500ล้าน
เมื่อถามว่าหลักฐานอะไรที่ทำให้เชื่อได้ว่ามูลค่าเงินเกิน 300 ล้านบาท รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ใช้มูลฐานความเชื่อได้ว่า เช่น การออกหมายจับของศาล เขาให้ใช้หลักฐานพอสมควร กรณีนี้ใช้เกณฑ์ข้อบังคับของประธานศาลฎีกาในการออกหมายจับของศาลฎีกาที่บางครั้งใช้บันทึกสายลับไม่ได้มีการสอบพยานเลยก็ออกหมายจับได้ ดังนั้นในคดีนี้มีพยานยืนยันว่ามีการใช้เงิน 400-500 ล้านบาท
พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า การจ่ายเงินเป็นช่วง ๆ เมื่อมีพยานจึงถือมูลฐานอันเชื่อได้ ที่ประชุมจึงมีมติรับเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายฟอกเงิน ส่วนความผิดฐานอั้งยี่ การได้มาซึ่งสว. หรือการฮั้ว และความผิดอื่น ๆ เช่น ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.116 (3) ที่มีการร้องทุกข์ไว้ หากมีความเชื่อมโยงก็ให้ถือเป็นคดีพิเศษ
พยาน7พัน/ขีดเส้น3เดือนจบ
“ตอนนี้ดีเอสไอ มีพยานประมาณ 7,000 คน ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าไปในพื้นที่การเลือก สว. ระดับประเทศที่เมืองทองธานี ถึง3,000 คน เราก็จะดูพยานหลักฐานนี้โดยได้ส่งหนังสือขอให้พนักงานอัยการร่วมสอบสวนด้วย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และพิสูจน์ความผิดไม่ต้องห่วง โดยได้ให้นโยบายดีเอสไอไปแล้วจะต้องใช้เวลารวบรวมหลักฐานไม่เกิน 3 เดือน เพราะเขาสอบมานานแล้ว” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
ชี้ช่องถอดถอน20สว.
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกต การใช้เงินจูงใจให้เลือกเข้าข่ายเป็นการซื้อเสียงซึ่งอยู่ในอำนาจของ กกต. รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ดีเอสไอ ไม่ได้พยายามอ้างกฎหมายฟอกเงิน มันเหมือนบริษัทหลบเลี่ยงภาษีมันก็มีความผิดเป็นหลายกรรม แต่อันนี้เป็นความผิดอั้งยี่ มีการสมคบกันกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ถือเป็นหนึ่งความผิดแล้ว ตนยืนยันว่าไม่ได้เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง เพื่อให้ได้คดีนี้มาอยู่ในมือ เพราะมีผู้มาร้องทุกข์และมีการสืบสวน และกกต.เป็นฝ่ายมาขอให้เราทำ เราจึงต้องร่วมมือกับ กกต.และเมื่อพบพยานหลักฐานแล้ว กกต.ก็สามารถนำไปพัฒนาได้ และใช้ในการยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อถอดถอนได้ คิดว่าหลักฐานที่มีการจ่ายเงิน น่าจะถึง 20 คน ถ้ากกต.ร่วมมือกัน
“ตอนนี้ คิดว่าเขาร่วมมือ เพราะเขาส่งหนังสือมา และเราไม่ได้ก้าวล่วงอำนาจเขา ตราบใดที่เขา ยังไม่ยกเลิก ดีเอสไอ และตำรวจเข้าไปร่วมสืบสวนคดีฮั้วเลือกสว. เราก็พยายามรวบรวมพยานหลักฐานให้ เพราะอำนาจของกกต.คือ การเดินหน้าถอดถอนบุคคลที่ได้ซึ่งตำแหน่ง สว.โดยมิชอบ” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
จ่อขยายผลอั้งยี่-ซ่องโจร
แหล่งข่าวจาก กคพ. เผยว่ากว่าจะรับคดีฟอกเงินนั้น คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ได้เสนอในที่ประชุมบอร์ด กคพ.ให้มีการชี้ขาดคดีฟอกเงินมูลค่าเกิน 300 ล้านบาทหรือไม่ เพราะมีอนุกรรมการฯบางท่านสงสัยซึ่งมีพยานเคยให้การไว้หลายปาก ว่ามีเงินเกี่ยว ข้องกว่า 400 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือก สว.ระดับอำเภอ และจนถึงหลังจบการเลือก สว.ระดับประเทศ ทั้งนี้ บอร์ด กคพ.ได้มีการเสนอความคิดเห็นหลากหลายแตกต่างกัน บางท่านว่ามูลค่าเกิน 300 ล้านบาท แต่บางท่านว่าไม่ถึง 300 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็ต้องดำเนินคดีฟอกเงิน
“ในที่ประชุมบอร์ด กคพ.มีการเสนอความผิดอาญาอื่น อาทิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 (ฐานอั้งยี่) และความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งไม่เข้าความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ 2547 แต่พนักงานสอบสวนสามารถแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ภายหลัง หากมีหลักฐานเพียงพอและไม่ต้องเสนอเข้าบอร์ดแล้ว เพราะรับเป็นคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว”
ภูมิธรรมยันทำตามหน้าที่
ในประเด็นดังกล่าว นายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวว่าตนทำตามหน้าที่ โดยใช้ความรู้สึกนึกคิด ที่มีอยู่ และประเด็น คือ เราอยากบอกเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองขัดแย้งกัน เป็นเรื่องของตัวบุคคล ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ เกิดการกระทำและเกิดขบวนการที่สำเร็จ คือ การกระทำก่อนที่จะมาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เราจึงดูตรงนั้นเป็นเรื่องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องดูเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีการฟอกเงิน และเป็นเรื่องของการร่วมมือกันทำผิดกฎหมายาว
ส่วนคดีของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เราคืนส่งไป เราเริ่มต้นจากตรงนี้ทำให้เกิดความชัดเจน เราก็รับฟัง เมื่อกกต.ทำหนังสือมาถึงเรา เราก็ได้ทำการแยกคดี ใช้ในสิทธิ์และความเกี่ยวข้อง ของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่สามารถทำได้ ส่วนทำแล้วคดีไปถึงไหนก็ เป็นไปตาม กระบวนการยุติธรรม หากเกี่ยวข้องกับใครเราจะส่งให้ องค์กรนั้นๆที่รับผิดชอบ รับเรื่องไปดำเนินการ เรามีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏเพราะมีคนมาร้องเรียน หากเราไม่ทำก็โดนมาตรา 157 คือละเว้นหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติ
เมื่อถามว่าการรับคดีฮั้วส.ว.เป็นคดีพิเศษจะกระทบไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีครั้งนี้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าว เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการเมืองแล้วจะกระทบได้อย่างไร อย่าไปคิดอะไรเป็นเรื่องการเมืองไปหมด ไม่เช่นนั้นองค์กรที่ทำหน้าที่เขาจะทำงานยาก เพราะถ้าเขาขยับทำงานอะไรไปหน่อยก็จะกลายเป็นเรื่องการเมืองไปหมด
“ผมยืนยันโดยเฉพาะตัวผมเอง ไม่ใช้เอาการเมืองมาทำร้ายกันว่ากันไปตามอำนาจหน้าที่ และตามกฎหมาย” นายภูมิธรรม ระบุ
“สว.อังคณา”จี้ขอให้ทำจริง
นางอังคนา นีละไพจิตร สว. ให้สัมภาษณ์ว่า แปลกใจตำรวจที่เป็นบอร์ด กคพ.ตัวจริงจึงไม่เข้าประชุมด้วย ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และสังคมให้ความสำคัญ จึงทำให้เสียงหายไป ซึ่งมีผลต่อการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเป็นคดีพิเศษ เพราะหากครบองค์ประชุมแล้วจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ว่ากันไป และไม่แปลกใจที่ กคพ.รับเป็นคดีฟอกเงิน เพราะจากที่ทราบน่าจะมีการพูดคุยกันแล้วในระดับหนึ่ง แต่ในฐานะที่ฟังมาจากประชาชน ถ้าทำมาถึงขนาดนี้แล้วก็ทำให้ต่อให้จริง
เมื่อถามว่าในส่วนของสว.อาจจะมีการยื่นอภิปรายรัฐบาล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 153 ส่วนตัวจะร่วมด้วยหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า โดยส่วนตัวตนยืนยันมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย เพราะอยากให้ทุกฝ่ายทำงานเต็มที่
เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่าสุดท้ายเรื่องนี้อาจจะหายไปหรือทำไม่ทัน นางอังคณา กล่าวว่า ในกระบวนการยุติธรรม หากมีการกล่าวหาว่ากระทำความผิด กว่าจะมีกระบวนการส่งฟ้องหรือสืบพยานนั้น แล้วเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ เผลอๆอาจจะหมดวาระไปแล้ว
ถ้าไม่ถึง300ล้านต้องยุติเรื่อง
ด้าน สว.สรชาติ วิชยสุรรณพรหม กล่าวว่าการทำคดีฟอกเงินเป็นอำนาจของดีเอสไอ ตามกรอบคือ ต้องมีวงเงินทั้งกระบวนการ จำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งกรณีการเลือก สว. นั้น ดีเอสไอจะตรวจสอบอย่างไรเพราะเป็นประเด็นที่ไม่เหมือนนกับคดีแชร์ลูกโซ่ หรือคดีหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีมูลค่าความเสียหายและเส้นเงินที่ ดังนั้นแม้ว่าดีเอสไอจะมีอำนาจตรวจสอบประเด็นฟอกเงิน ต้องตรวจสอบให้ได้ว่ามาจากไหน หากไม่ได้ หรือยอดเงินไม่ถึง เท่ากับว่าไม่เข้าข่าย การสอบสวนต้องยุติ
“การตรวจสอบเส้นทางการเงินต้องหาให้ได้ว่ามาจากไหน มีหลักฐานที่มา ซึ่งพวกเรามั่นใจว่าไม่มีหลักฐานที่ถึงจำนวนดังกล่าว และมั่นใจว่าไม่มีการฮั้ว เพราะสว.ปัจจุบันที่ถูกกล่าวหานั้น ไม่มีพฤติกรรมอะไร แต่พวกสอบตก หรือพวกที่มาร้อง คือ พวกที่ทำแล้วทำคะแนนไม่ได้จึงมาร้อง ดังนั้นจึงมาร้องว่าคนอื่นฮั้ว เป็นคนที่วางแผนเข้ามา ทั้งนี้คนกลุ่มดังกล่าวเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ปิดห้องลับ จำนวน 400 คน และยังมีที่อื่นๆ อีก ซึ่งเป็นคนกลุ่มปลายแถวที่จัดฮั้วแต่เมื่อทำไม่สำเร็จจึงมาร้อง ดังนั้นจึงเป็นเกมของผู้แพ้” สว.สรชาติ กล่าว
เมื่อถามว่ามองประเด็นตรวจสอบเส้นเงินเรื่อง สว. อย่างไร นายสรชาติ กล่าวว่า จะเอาหลักฐานมาจากไหน พวกเรามั่นใจว่าจะไม่มีหลักฐานที่ถึงจำนวนดังกล่าว หากถามว่าฮั้วหรือไม่ ก็ไม่มี เพราะสว.ไม่ได้ฮั้ว และไม่เข้าข่ายสักอย่างไม่มีหลักฐาน
แนะตรวจดีเอ็นเอโพย
เมื่อถามว่า เรื่องตรวจสอบจะเกี่ยวกับ 1,200 รายชื่อผู้สมัคร สว.ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้หรือไม นายสรชาติ กล่าวว่าเป็นการสร้างหลักฐานเพื่อให้เชื่อมโยงและให้มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น เพราะหากคิดย้อนกลับเหมือนกับว่ามีตัวเลขสว. 138 คนที่รู้ว่ามาได้อย่างไร และที่เปิดเผยคือโหวตเตอร์ ซึ่งการเลือกสว.นั้นต้องดูโปรไฟล์ ส่วนโพยที่กล่าวหานั้นสามารถทำย้อนหลังได้หมด แต่เป็นหลักฐานไม่ได้ ยกเว้นนำไปตรวจดีเอ็นเอ หรือพิสูจน์ลายมือได้ว่าเป็นของใคร
เมื่อถามว่าใน 1,200 รายชื่อ พบชื่อของตนเองด้วย กังวลหรือไม่ นายสรชาติ กล่าวว่า ไม่กังวล เพราะไม่ได้ฮั้ว เพราะก่อนหน้านี้ตนได้เข้าชี้แจงต่อ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ทั้งส่วนจังหวัดและส่วนกลาง ตามที่มีข้อร้องเรียนให้ตรวจสอบ คือ จัดตั้งหรือไม่ มีการฮั้วหรือไม่ และคุณสมบัติครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งตนเดินทางไป กกต. 2ครั้งมีเอกสารไปชี้แจงและยืนยันได้ทั้งหมด อีกทั้งในการเลือกระดับอำเภอ และจังหวัด ตนไม่ได้มาเป็นอันดับหนึ่ง มีผู้เลือกที่เป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ดีการเลือกสว.นั้นต้องดูความเหมาะสม พิจารณาจากโปรไฟล์ ส่วนโพยนั้นทุกคนต้องมีเพราะไม่รู้จักกันทั่วถึง ดังนั้นต้องทำการบ้านมาก่อน ไม่ใช่ให้นึกในห้องประชุม
เมื่อถามว่าประเด็นดังกล่าวมองว่ามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง เพราะต้องการเปลี่ยนสีเสื้อสว.หรือไม่ นายสรชาติ กล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะสว.ไม่มีสีเสื้อ ไม่มีข้อบังคับให้อยู่กับกลุ่มใด ทุกคนทำงานอิสระ
“โรม”ชี้งานนี้เกมยาว
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวว่าเวทีพูดถึงคดี ฟอกเงินต้องมีคดีมูลฐานก่อน ซึ่งตนงงว่าจะตั้งฐานโดยใช้คดีมูลฐานอั้งยี่ซ่องโจร ก็จะสามารถไปคดึฟอกเงินได้ แต่เมื่อตั้งต้นจากคดีฟอกเงินก่อน ก็จะต้องกลับไปตั้งต้นว่าคดีมูลฐานเป็นอย่างไร หากถามว่าทำได้หรือไม่ ตั้งเป็นคดีฟอกเงินก็ทำได้ แต่อาจจะต้องตั้งต้นจากอั้งยี่ซ่องโจรเป็นหลัก ซึ่งตนเข้าใจว่ามีปัญหาเรื่องของการล็อบบี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด เพราะเริ่มต้นพิจารณาตำรวจหายไปถึงสามคน ทั้งที่ตำรวจอยู่ภายใต้กำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจ ทำไมถึงไม่สามารถกำกับดูแลให้ตำรวจปฎิบัติหน้าที่ของตัวเองในบอร์ดดีเอสไอได้
เชื่อมีการแทรกแซง
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับกันตรงๆว่า มีผู้ที่มาเกี่ยวข้อง มาแทรกแซงแล้วทำให้กระบวนการของดีเอสไอที่มีการประกาศไปเมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา อาจจะดูแปลกประหลาด กลายเป็นว่าแทนที่จะสามารถตั้งต้นได้จากอั้งยี่ซ่องโจร แล้วไปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินก็จะเดินไปได้ดีกว่า จริงๆแล้วต้องยอมรับว่ารัฐบาลพยายามที่จะเปิดปฎิบัติการอย่างหนักในเรื่องนี้แต่แสดงให้เห็นว่า การที่มีบุคคลภายนอก เข้ามา แทรกแซงแล้วทำให้ฐานที่จะดำเนินการเอาผิดกับสว.ชุดนี้ว่าอาจจะกระทำความผิดกับคดีอั้งยี่ซ่องโจรหรือไม่ จึงมีปัญหาอยู่ในตอนนี้
ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้ไม่สามารถ ที่จะดำเนินการได้แม้กระทั่งการปราบอาชญากรรม ที่มีความร้ายแรงขนาดนี้ จึงมีคำถามว่าศักยภาพของรัฐบาลนี้จะทำได้มากน้อยแค่ไหน และต้องไม่มองแค่สว.ต้องถามกลับไปด้วยว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีความผิดอะไรหรือไม่ ถึงปล่อยให้ระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ สมมุติว่ามีการกระทำความผิดจริง ไม่ว่าจะเป็นการฮั้วสว.หรืออะไร แต่กกต.ปล่อยระยะเวลาให้เนิ่นนานขนาดนี้ ตนคิดว่าเจ้าหน้าที่ของกกต.ก็น่าสงสัยเหมือนกันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดด้วยหรือไม่
เมื่อถามว่าเป็นเพราะการพบกันของผู้มีอิทธิพลทั้งในและนอกรัฐบาลหรือไม่ จึงทำให้คดีสว.เหลือเพียงแค่คดีฟอกเงินนายรังสิมันต์ กล่าวว่า สถานภาพของรัฐบาลที่มีความไม่แน่นอนสูง เป็นสภาวะเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน ซึ่งทำให้ปัญหาความเป็นเอกภาพของรัฐบาลที่ต้องยอมรับว่ามีอยู่ เพราะมีการปะทะกันระหว่างการทำงานของสองขั้ว ทำให้การทำงานไม่มีความเป็นเอกภาพ การที่เราจะบอกว่าเสือตัวไหนแข็งแรง จะดูแค่ที่นั่ง สส.ไม่ได้ เพราะมีปัจจัยที่มากกว่านั้น เมื่อเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลมีความอ่อนแอลง ผนวกกับมีผู้มีอำนาจที่อยู่นอกรัฐบาลเข้ามามีปัจจัยเกี่ยวข้อง ในการล็อบบี้ต่างๆ สุดท้ายจึงทำให้ดีเอสไอไม่สามารถที่จะทำคดีเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษได้อย่างเต็มที่ การตั้งข้อกล่าวหาจึงดูค่อนข้างแปลกประหลาด
ต่อรองกันไม่สิ้นสุด
เมื่อถามย้ำว่า การตั้งข้อหาแค่นี้ไม่ทำให้เก้าอี้สว.สั่นสะเทือน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่ายังอีกไกลที่จะไปบอกว่าสะเทือนหรือไม่สะเทือนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะดูได้จากผลโหวตที่ออกมาก็ชัดว่ารัฐบาลมีความเข้มแข็งเพียงพอในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะการออกมาในรูปคดีฟอกเงินสุดท้ายแล้วก็ต้องมาหาคดีมูลฐานอยู่ดี
เมื่อถามว่าผู้ลาประชุมส่วนใหญ่เป็นตำรวจ ที่อยู่ในการกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี สะท้อนว่านายกรัฐมนตรีกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขนาดตำรวจอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี ยังเอาไม่อยู่เลย อย่างผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้คนมาแทน แล้วมาไม่ได้ อย่างนี้มอบหมายทำไม เรารู้อยู่แล้วว่าวิธีการเช่นนี้ มีคุณเขาขอมา ก็เลยใช้วิธีขอลาไม่เข้าประชุมตั้งแต่ต้น กะว่าจะไม่ผิดใจกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง คงคิดว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุด แต่การทำแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งตำรวจเองก็ไม่สนใจนายกรัฐมนตรีเลย และจริงๆแล้วนายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งเป็นรองนายกฯด้านความมั่นคง ตำรวจยังไม่ให้ความเคารพนับถือเลย จึงกลับไปที่ตัวนายกฯว่าที่ตำรวจ และองค์กรต่างๆไม่เชื่อฟัง เพราะนายกฯไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ
“ผมเชื่อว่ามีการต่อรอง และดีลกันทางการเมืองต่อไป ผมว่าเกมเรื่องนี้สำหรับฝ่ายต่างๆยังคงอีกไกล ประชาชนสงสัย และรู้สึกไม่ดีกับรัฐบาลเพิ่มขึ้น“ นายรังสิมันต์ กล่าว
“อนุทิน”โต้สส.โรมปมดีล
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย กล่าวว่าคดีฟอกเงินเกี่ยวกับการเลือกสว.นั้น เรื่องนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์อะไรไม่ได้ เพราะเขามีคณะกรรมการอยู่ และการรับคดีเป็นคดีพิเศษนั้นก็เป็นการลงมติ ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าในอนาคต หากพรรคการเมืองใด ได้คุมกระทรวงยุติธรรมก็จะมี ดีเอสไอ เป็นเครื่องมือ นายอนุทิน กล่าวว่า คงไม่หรอก เพราะข้าราชการประจำคงมีแนวทาง อะไรเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบไม่ถูกด้วยกฎหมาย ข้าราชการประจำเขาก็ไม่ปฏิบัติอยู่แล้ว
เมื่อถามถึงกรณี ที่นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ออกมาให้สัมภาษณ์พาดพิงว่า เหตุที่ผลของดีเอสไอออกมาแบบนี้ มาจากดีลลับ บ้านจันทร์ส่องหล้า นายอนุทิน หัวเราะและส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า ท่านก็พูดอะไรของท่านไปเรื่อย จริงบ้างไม่จริงบ้างก็แล้วแต่
เมื่อถามว่า ระหว่างนายรังสิมันต์ และ นายอนุทิน มีการพาดพิงกันหลายครั้งทำให้มีติดใจกันบ้างหรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน แต่เจอที่สภาก็ทักทายกันดี ไม่มีปัญหาอะไรและต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ ซึ่งข้อมูลของนายรังสิมันต์บางข้อมูลก็มีประโยชน์ แต่บางข้อมูลก็ไม่เป็นประโยชน์
ย้ำไม่มีดีลลับอะไรเลย
เมื่อถามย้ำว่า ผลคดีของดีเอสไอออกมาเป็นแบบนี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับดีลบ้านจันทร์ส่องหล้าใช่หรือไม่ นายอนุทินส่ายหัวและตอบว่า ไม่เกี่ยวเลย ประเด็นนี้ยิ่งไม่เกี่ยวเลย จะมีดีลลับได้อย่างไร หากมีดีลลับแล้วตนจะรู้ได้อย่างไร เราทำอะไรตรงไปตรงมา เปิดเผย ไม่จำเป็นต้องไปลับอะไร และไปพบใครก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไปพบใครแล้วต้องมารายงาน แต่ถ้าใครรู้เราก็ไม่ปฏิเสธ
เมื่อถามต่อว่า วันที่พบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ได้รับประทาน มาม่า เหมือนเดิมหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า “กินเส้นเล็กแห้งลูกชิ้นปลา” เมื่อถามย้ำว่าไม่มีเกาเหลาใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า “ไม่มี ไม่มี รักกัน”ส่วนที่นายรังสิมันต์ มองรัฐบาลเหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกัน นายอนุทิน ตอบติดตลกว่า เสือตัวหนึ่งตัวผู้ เสืออีกตัว ตัวเมีย ไม่มีปัญหาอะไร
“สุขุม”ฟันธงโยงการเมือง
รศ.ดร.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการคดีพิเศษ รับเรื่องฮั้ว สว.เป็นคดีพิเศษ ในฐานความผิดฟอกเงิน ว่า เป็นเรื่องการเมือง ที่เชื่อมโยงกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อต้องการจะบีบให้พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เทคะแนนให้นายกรัฐมนตรี เป็นการสร้างความมั่นใจอีกชั้นหนึ่ง นอกเหนือจากคำประกาศของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่จะสนับสนุน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แบบร้อยเปอร์เซ็นต์
“ผมไม่มองว่าเป็นเรื่องกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา กับบ้านเมืองนี้ ถ้าเอากฎหมายไปจับ มันออกมาไม่เป็นไปตามนั้นเรื่อง สว.ก็เป็นเรื่องการเมือง เมื่อเขาอภิปรายนายกฯ คนเดียว คนเป็นพ่อต้องเล่นบทง้อพรรคร่วมฯ แลกกับคะแนน มีทั้งง้อประชาธิปัตย์ ง้อพรรคประชาชาติ ง้อพรรคภูมิใจไทย ของภูมิใจไทย เราก็เห็นแล้วว่า ผู้ยิ่งใหญ่ได้เจอกัน เรื่องโมโตจีพี ก็จะต่อสัญญาแล้ว แต่ก็ขอค้างปม สว.ไว้เป็นตัวประกัน สำหรับศึกอภิปราย พรรคเพื่อไทยมองว่าพรรคภูมิใจไทย มีอำนาจมาก เป็นพรรคที่มีความเป็นเอกภาพ ไม่ใช่พรรคเครือข่ายเพื่อไทย แบบพรรคประชาชาติ การจัดการความสัมพันธ์ต่างๆ จึงมีความซับซ้อนพอสมควร” รศ.ดร.สุขุม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี