ไม่ตัดชื่อ‘แม้ว’ออกจากญัตติ/ไม่ให้ซักฟอก
‘วันนอร์’หักฝ่ายค้าน
อ้างกลัวเทวดาทักษิณฟ้อง
เปิดทางปชน.อุทธรณ์ญัตติ
พท.หนุนตัดไฟแต่ต้นลม
ย้ำนายใหญ่ข้าใครอย่าแตะ
ประธานฯวันนอร์ กร้าวใส่ฝ่ายค้านไม่ตัดชื่อเทวดาทักษิณ ก็ไม่บรรจุญัตติซักฟอกเข้าสภา บอกทำไปก็จะโดนฟ้องเป็นคนแรก แต่ฝ่ายค้านสามารถยื่นอุทธรณ์ญัตติใหม่ได้ ด้านเพื่อไทยหนุนตัดไฟแต่ต้นลมเรียงหน้าป้อง “นายใหญ่ข้าใครอย่าแตะ” “สส.ไอติม” ครวญไม่ได้มีข้อห้ามระบุชื่อคนนอกในญัตติซักฟอก พปชร.นวดน้ำมันรอถล่มปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พรรคฝ่ายค้านยืนยันจะไม่แก้ไขญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่าตนบอกให้ฝ่ายค้านไปแก้ไขญัตติมา โดยให้ตัดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นบุคคลภายนอกเพราะหากบรรจุญัตติไปแล้ว จะมีปัญหาเรื่องฟ้องร้องกัน ฉะนั้น จึงให้ไปแก้ไขแต่ฝ่ายค้านกำลังจะอุทธรณ์ว่าเขาไม่แก้
“ถ้าเขาไม่แก้ ประธาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่บรรจุระเบียบวาระ เมื่อเขาไม่เรา ก็ไม่บรรจุระเบียบวาระ
ดังนั้น ถ้าเขาอยากจะอภิปรายเขาก็ต้องแก้ญัตติ ถ้าเขาไม่แก้เรา ก็ไม่บรรจุซึ่งผมก็ต้องดำเนินการไปตามข้อบังคับ”นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว
เมื่อถามย้ำว่าถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติก็ไม่สามารถบรรจุในระเบียบวาระได้ใช่หรือไม่ ประธานสภาฯกล่าวว่า ถ้าเราบรรจุวาระไปก็จะผิดในเรื่องของการดูแลความเรียบร้อยหากเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา และตามข้อบังคับ ระบุชัดเจนว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แค่กล่าวเขาก็ห้ามแล้ว แต่นี่เขียนลงไปในญัตติ ก็ยิ่งหนักกว่าการกล่าว เพราะการกล่าวถึงเราบอกให้ถอนได้ แต่เขียนในญัตติถ้าอนุมัติไปเขาก็ถอนไม่ได้แล้ว
“ผมจึงเรียกผู้นำฝ่ายค้านฯเข้ามาคุยแล้วและให้เอาญัตติกลับไปแก้ โดยผู้นำฝ่ายค้านฯบอกขอกลับไปปรึกษาก่อน เมื่อเขาออกไปแล้ว ผมเลยให้สภาฯแจ้งไปว่าขอให้มาแก้ในเรื่องที่มีชื่อบุคคลภายนอกเพราะผิดข้อบังคับ”ประธานสภาผู้แทนฯ ย้ำ
รอ‘ฝ่ายค้าน’ยื่นอุทธรณ์
เมื่อถามว่าหากฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ญัตติมีโอกาสที่จะคุยกับฝ่ายค้านอีกหรือไม่เพื่อตกลงกัน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่ายังมีเวลาโดยต้องรอดูว่าฝ่ายค้านยื่นอุทธรณ์ในประเด็นอะไรบ้าง ฟังคำสัมภาษณ์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเห็นหนังสือที่อุทธรณ์มาก่อนว่า เขาอุทธรณ์ประเด็นไหนและมีประเด็นไหนที่เราจะต้องคุยกันซึ่งต้องเชิญเลขาธิการสภาฯและฝ่ายกฎหมายมาคุย เข้าใจน่าจะเป็นวันที่ 10 มี.ค.หรือ 11 มี.ค.หรือสัปดาห์หน้า ฝ่ายค้านคงจะยื่นคำอุทธรณ์มาซึ่งฝ่ายค้านจะยื่นเป็นหนังสือ หรือมาแจ้งก็ได้ แล้วแต่เขา เราก็พร้อมที่จะดำเนินการเพื่อให้การประชุมเกิดความเรียบร้อยและไม่ผิดข้อบังคับ
ส่วนเรื่องวันอภิปรายฯที่ฝ่ายค้านขอมา5วันนั้น ประธานสภาผู้แทนฯกล่าวว่า เรื่องเวลาก็ต้องคุยกันในวิป 3ฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และผู้แทนของคณะรัฐมนตรี(ครม.)ซึ่งตนได้มอบหมายให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่หนึ่งเชิญหารือเมื่อมีการบรรจุญัตติและตนก็ต้องส่งญัตติที่ได้รับการแก้ไขแล้วไปให้ ครม.รับทราบ ส่วนความเหมาะสมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯคนเดียวควรใช้เวลากี่วันนั้น ตนไม่สามารถจะบอกได้เพราะต้องมีการคุยกันว่าเวลาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ตั้งแต่ 1-5วัน ก็แล้วแต่ความเหมาะสมที่สามารถคุยกันได้
บรรจุไปไม่ตัดชื่อ/ปธ.ถูกฟ้องคนแรก
ประธานสภาผู้แทนฯยังกล่าวย้ำว่า ต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้การประชุมดำเนินไปได้และให้เกิดความเรียบร้อย ไม่ผิดข้อบังคับ ที่จะเกิดการฟ้องร้อง
“ถ้าประธานฯเป็นคนสั่งบรรจุ และมีชื่อบุคคลภายนอกนั้นอยู่ ถ้าเขาพิจารณาฟ้องร้อง ก็ต้องฟ้องประธานเป็นคนแรก เพราะเป็นผู้บรรจุ และฟ้องผู้เสนอญัตติเป็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อไปซึ่งไม่ควรจะมี”นายวันมูหะมัดนอร์ย้ำ
รองปธ.ชี้ไม่แก้ญัตติ/เชื่อวุ่นวาย
ด้าน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ให้สัมภาษณ์กรณีท่าทีพรรคฝ่ายค้านจะไม่ยอมแก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีการระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯว่า ถ้าไม่แก้ จะมาหนัก ที่การควบคุมการประชุม เพราะมีชื่อบุคคลภายนอกอยู่ หากไม่ระบุชื่อในญัตติใครอยากพูดอะไรก็พูดได้ แต่ถ้าเกิดความเสียหาย ก็รับผิดชอบเอง แต่พอชื่ออยู่ในญัตติการควบคุมการประชุมจะยาก และวุ่นวายไม่จบ
“และหากเกิดความเสียหายกับบุคคลภายนอกขึ้นมา หากมีการฟ้องร้อง ก็ต้องถูกฟ้องทั้งหมดตั้งแต่คนบรรจุวาระ คนอนุญาต และเอาไปเอามา จะไม่เป็นงานบ้านเมือง จะกลายเป็นเรื่องตัวบุคคลมากกว่าหรือไม่
หากเอาเรื่องคอรัปชั่นการบริหารมาอภิปรายดีกว่าหรือไม่ ดีกว่าเอาเรื่องครอบครัวมาพูด และสิ่งที่เราต้องการคือ ไม่อยากให้เกิดความไม่เรียบร้อย การที่ฝ่ายค้านบอก จะไม่แก้ไขญัตตินั้น คงต้องมีการหารือกัน”รองประธานสภาฯย้ำ
พท.หนุนปธ.หวังตัดไฟแต่ต้นลม
ในส่วนของพรรคเพื่อไทย(พท.)นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรมีหนังสือถึงผู้นำฝ่ายค้านสั่งให้แก้ญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยขอให้ตัดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นคนนอกออกนั้น ว่า ตามข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 176 บอกว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีข้อบกพร่อง ให้แจ้งให้ฝ่ายค้านทราบ ซึ่งเข้าใจได้ว่าให้ไปแก้ไข ที่เป็นปัญหาคือการระบุชื่อบุคคลภายนอก ตามข้อบังคับเขียนห้ามไว้ในเรื่องการอภิปราย ห้ามอภิปรายถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น
“แต่ที่สำคัญที่เขียนไว้คือในรัฐธรรมนูญที่บอกว่าการกล่าวถึงบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกสภาผู้แทนหรือรัฐมนตรี หากขณะนั้นมีการถ่ายทอดเสียงไปยังภายนอก หากเป็นความผิดทั้งทางอาญาและหรือทางแพ่ง ผู้กล่าวไม่ได้รับเอกสิทธิ ต้องรับผิดชอบ อาจถูกฟ้องร้องได้ นอกจากนั้น บุคคลภายนอกที่ได้รับความเสียหาย อาจร้องขอให้ประธานสภาฯลงคำชี้แจงให้ได้อีกด้วย เข้าใจว่าประธานสภาฯอาจพิจารณาว่าญัตติมีข้อบกพร่องและจะมีปัญหาตรงนี้ เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาตามมาในการอภิปราย ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดปัญหาการประท้วงกันวุ่นวาย ทำให้การอภิปรายเดินไปได้ยากลำบาก”นายชูศักดิ์ กล่าว
ไร้เจตนาขัดขวางสกัดกั้นฝ่ายค้าน
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่าส่วนกรณีรัฐมนตรีที่เรียนว่าจะเป็นปัญหา เข้าใจว่า ญัตติที่เขียนมุ่งหมายไปที่นายกรัฐมนตรีว่า ปล่อยปะละเลย ปล่อยให้รัฐมนตรี กระทำไม่ถูกไม่ชอบอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็อธิบายถึงการกระทำของรัฐมนตรีอย่างนั้นอย่างนี้ ตรงนี้ที่เรียนว่าจะเป็นปัญหาโดยเฉพาะถ้าอภิปรายเกริ่นนำนายกฯสักห้านาที สิบนาที ที่เหลือรัฐมนตรีล้วนๆจะมีการประท้วงว่าญัตติไม่ได้อภิปรายรัฐมนตรี สมัยเป็นฝ่ายค้าน จำได้ว่าเขียนญัตติให้ครอบคลุม ทั้งนายกฯและรัฐมนตรี ที่พูดมาเป็นการมองภาพโดยรวม ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปขัดขวางสกัดกั้นฝ่ายค้านอะไรทั้งสิ้น เข้าใจดีว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นหน้าที่สำคัญของฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญ
พท.เย้ยฝ่ายค้านเขียนญัตติไม่ถูก
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.)กล่าวถึงกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหนังสือด่วนที่สุดถึง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน จี้ให้ถอดชื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า เหตุผลที่ให้ถอดชื่อ ดร.ทักษิณ ออกจากญัตติ หนังสือด่วนที่สุดได้ระบุไว้ชัดว่า การระบุรายชื่อบุคคลภายนอก ในเนื้อหาญัตติ อาจทำให้บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปชี้แจงในที่ประชุมสภาได้ วิญญูชนฟังแล้วเข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร ประชาชนอาจเบื่อหน่ายได้ว่า ขนาดเขียนเนื้อหาญัตติ ยังเขียนไม่ถูก อย่างอื่นจะฝากความหวังอะไรได้
ติงอย่ารั้นเลย ถ้าไม่ได้ หวังป่วน
นายอนุสรณ์ยังระบุว่า หรือถ้าไม่มีชื่อดร.ทักษิณในญัตติ ฝ่ายค้านจะไม่มีเรื่องพูด ไม่มีแรงบันดาลใจในการอภิปรายหรืออย่างไร อภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ ฝ่ายค้านน่าจะมีขวัญกำลังใจดีเพราะมีเจ้าของวลี ใจบันดาลแรง มาอยู่ด้วยกัน แม้ตอนหาเสียงเลือกตั้ง จะประกาศชัดว่า มีเราไม่มีลุง แต่วันนี้ มีเราต้องมีลุง เสียแล้ว ก็ไม่ถือเป็นปัญหา ฝ่ายค้านอย่ารั้นเลย ถ้าไม่ได้ หวังป่วน หวังสร้างคอนเท้นท์ให้วุ่นวาย
แล้วก็จินตนาการไปเองว่ารัฐบาลจะยุบสภา ทั้งที่เรื่องจริง คือ รัฐบาลจะอยู่ครบวาระ4ปีแน่นอนเพราะมีอีกหลายปัญหาให้รัฐบาลแก้ เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคือการที่ฝ่ายค้านเดินหน้าอภิปรายตรวจสอบรัฐบาลด้วยข้อมูลที่เป็นความจริง ลดการประดิษฐ์วาทกรรม เสียดสี ด้อยค่า ใช้เวลาทุกนาทีให้เกิดประโยชน์ ดีกว่าโวยวายกวนน้ำให้ขุ่น ไม่เกิดประโยชน์
“รัฐบาลไม่มีความจำเป็นต้องปิดกั้นการตรวจสอบ และหวังจะสร้างคะแนนจากเวทีอภิปรายนี้เช่นกัน ถือเป็นโอกาสอันดีในการที่จะได้มีโอกาสชี้แจงผลงานรัฐบาล ถ้าฝ่ายค้านมีความพร้อมก็เดินหน้าไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน”นายอนุสรณ์ กล่าว
‘ไอติม’ฉะ‘วันนอร์’ตัดชื่อ‘แม้ว’
ขณะที่ในซีกพรรคฝ่ายค้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ตอบโต้กรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งหนังสือถึงผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอให้พรรคฝ่ายค้านพิจารณานำชื่อของ“บุคคลภายนอก”(นายทักษิณ ชินวัตร)ออกจากเนื้อหาของญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยอ้างถึงข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อ 176
นายพริษฐ์ยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำขอของประธานสภาฯ โดยระบุว่าในเชิงกฎหมายไม่มีเหตุผลที่จะต้องตัดชื่อ“บุคคลภายนอก”ออกจากเนื้อหาของญัตติ เนื่องจากรัฐธรรมนูญและข้อบังคับไม่ได้ให้อำนาจประธานสภาฯ ตัดสินว่าเนื้อหาของญัตติควรจะเป็นอย่างไร อีกทั้งในข้อบังคับข้อ 176 ก็ไม่ได้ระบุถึงการตัดสินใจเรื่องเนื้อหาของญัตติ หากไม่พบข้อบกพร่องในรูปแบบการยื่นญัตติ
ยันปธ.สภาไม่มีอำนาจตัดสินใจ
นายพริษฐ์ระบุอีกว่า แม้จะอ้างข้อบังคับข้อ 176 ในการแจ้งให้แก้ไขข้อความในญัตติ แต่กรณีนี้ไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่ข้อบังคับกำหนดไว้ เพราะประธานสภาฯ ได้แจ้งให้พรรคฝ่ายค้านแก้ไขญัตติเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ซึ่งเกินกรอบเวลา 7 วันตามที่ข้อบังคับกำหนดไว้
“ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจตัดสินว่าเนื้อหาของญัตติควรมีการปรับแก้ตามความเหมาะสมหรือไม่”นายพริษฐ์ ระบุ ในส่วนของการกล่าวถึงบุคคลภายนอก นายพริษฐ์ เน้นว่าการระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาของญัตติไม่ได้ผิดข้อบังคับแต่อย่างใดเพราะข้อบังคับไม่ได้ห้าม การอภิปรายถึงบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการบริหารราชการแผ่นดิน
“ทักษิณ ชินวัตรเองก็เคยพูดหลายครั้งว่าเขามี‘สทร.’หรือ‘เสือกทุกเรื่อง’ในการบริหารรัฐบาลนี้ เพราะฉะนั้น การระบุชื่อเขาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถือเป็นการอภิปรายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ ไม่ใช่การโจมตีส่วนบุคคล” นายพริษฐ์ ย้ำ
ทั้งนี้ นายพริษฐ์ ยังตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของประธานสภาฯว่าเหตุใดถึงต้องมีการขอให้ตัดชื่อทักษิณออกจากญัตติ ทั้งที่การพูดถึงบุคคลภายนอกในกรณีนี้ เป็นการวิเคราะห์การบริหารงานของรัฐบาลและเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการรู้ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องสำคัญต่างๆในรัฐบาลนี้
พปชร.ซัดรบ.ไร้ปัญญาแก้ข้าวตกต่ำ
ขณะที่ พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐกล่าวถึงความเดือดร้อนของชาวนาจากราคาข้าวตกต่ำอย่างหนักว่า นอกจากรัฐบาลจะไร้มาตรการช่วยเหลือ เยียวยาให้กับชาวนาแล้ว ยังได้ผลักไสให้ชาวนาเปลี่ยนจากการปลูกข้าวไปปลูกกล้วยแทนด้วยแนวคิดว่า ราคากล้วยดีกว่าราคาข้าว แสดงให้เห็นถึงรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา ไม่มีความละเอียดเพียงพอ และไม่เข้าใจถึงปัญหาอย่างลึกซึ้ง
“ในขณะนี้ข้าวนาปรังออกมาในตลาด เป็นจำนวนมาก ประกอบกับความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลก ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ แทนที่รัฐบาลจะมองให้ลึกถึงปัญหาและเข้าใจความเดือดร้อนของชาวนาอย่างแท้จริง กลับไปแนะนำให้ชาวนาเปลี่ยนจากการปลูก“ข้าว”ไปปลูก“กล้วย”แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ถ้ารัฐบาลไม่มีความรู้ความสามารถ เพียงพอ ทางพรรคพลังประชารัฐยินดีให้ลอกนโยบาย และการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำในรัฐบาลที่ผ่านมาทำแล้วได้ผลแน่นอน” พล.ต.ท.ปิยะย้ำ
แนะต้องช่วยไร่ละ1,000บาท20 ไร่
พล.ต.ท.ปิยะกล่าวว่าโครงการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไร่ละ1,000บาท ไม่เกินรายละ 10 ไร่ ซึ่งเกษตรกรจะได้เงินช่วยเหลือไม่เกิน 10,000บาทนั้นไม่เพียงพอต่อการขาดทุนของชาวนา ซึ่งเดิมรัฐบาลสมัยพรรค พปชร. เป็นแกนนำ ได้ให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกินรายละ 20 ไร่ เกษตรกรหนึ่งรายได้เงินช่วยเหลือ ไม่เกิน 20,000 บาท ถึงจะเพียงพอที่จะบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นของชาวนาได้ในระดับหนึ่ง
“รัฐบาลคงจะอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่เคยลงไปนาไปสวน เลยไม่เข้าใจว่า เกษตรกรที่ปลูกปลูกข้าวและปลูกกล้วยเป็นคนละกลุ่มกัน พื้นที่และลักษณะการปลูกเป็นคนละแบบ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ในการปลูกก็คนละแบบกัน การเปลี่ยนข้าวให้เป็นสวนกล้วย ต้องปรับสภาพดิน ขุดร่องน้ำ ทำคันเนินดิน การหาหน่อกลัวยและพันธุ์กลัวยที่ตลาดโลกต้องการไม่ใช่เรื่องง่าย ค่าใช้จ่ายในการปรับแปลงนาให้เป็นส่วนกล้วยมีราคาหลายหมื่นบาท และกว่าจะปลูกกล้วยได้ผลผลิตใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งปี ตลาดข้าวที่เคยขายอยู่ก็คนละตลาด ปัญหาซับซ้อนมากมาย และที่สำคัญในระหว่างที่ผลผลิตกล้วยยังไม่ออก ชาวนาจะเอาอะไรกิน”พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว
พล.ต.ท.ปิยะกล่าวเสนอแนะรัฐบาลด้วยว่านอกจากการช่วยเหลือทางด้านการเงินแล้ว รัฐบาลจะต้องมีแผนระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ในการแก้ไขปัญหาราคาข้าว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพันธุ์ข้าวให้มีผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น พัฒนารูปแบบและวิธีการปลูกให้เห็นได้ผลผลิตสูงขึ้น การใช้เทคโนโลยีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อลดต้นทุนและทดแทนการใช้แรงงาน ส่งเสริมให้มีการปลูกข้าวคุณภาพดีและมีราคาสูงให้เป็นที่นิยมของตลาดโลก กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการต่างประเทศต้องให้การสนับสนุน และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก การจับกลุ่มหรือจับคู่ค้าเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าเข้ากับสินค้าที่นำเข้าเพื่อสร้างราคาหรือลดการขาดดุล
เตือนระวังเจอชาวนาแจก‘กล้วย’
“การที่รัฐบาลคงแข็งค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่สูงเกินความจำเป็นทำให้มีผลกระทบต่อรายได้ชาวนา ชาวไร่และเกษตรกร ตลอดจนผู้ส่งออกรายอื่นๆด้วยเพราะรายได้ที่ออกมาเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศมีมูลค่าลดลงเมื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินไทยซึ่งคนในรัฐบาลหลายคน ยังไม่มีความเข้าใจเรื่องค่าเงิน ถ้ารัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารประเทศ เปิดทางให้พรรคการเมืองอื่นเป็นแกนนำในการบริหารประเทศจะดีกว่าหรือไม่ผมเกรงว่าเวลาไปเจอชาวไร่ ชาวนา เขาแจก“กล้วย”เอา”พล.ต.ท.ปิยะย้ำทิ้งท้าย
ห่วงการเมืองยึดสภาสูง
นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ว. โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า การยึดสภาสูงได้ เท่ากับมีอำนาจในการตั้งองค์กรอิสระ และตั้งคนไปทำหน้าที่สำคัญในองค์กรและหน่วยงานต่างๆอีกมากมาย เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.( ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด อัยการสูงสุด ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมสิทธิมนุษยชนแห่ง(กสม.)การตรวจเงินแผ่นดิน กสทช. ฯลฯ อีกมากมาย รวมทั้งมีอำนาจตรวจสอบนายกฯและรัฐมนตรีได้ และมีอำนาจออกกฎหมายใช้บังคับประชาชนทั้งประเทศ ล้วนเป็นอำนาจหน้าที่ของสภาสูง
“เมื่อยึดสภาสูงได้ ก็เท่ากับยึดอำนาจในประเทศได้ ให้คุณให้โทษใครก็ได้ ระบบการได้มาของสภาสูงจึงควรต้องถูกตรวจสอบว่าได้ทำตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยถูกต้องหรือไม่ หากปล่อยให้ยึดสภาสูงกันได้ ในที่สุดก็จะเกิดการใช้อำนาจที่ยิ่งทุจริตคอร์รัปชั่นมากยิ่งขึ้น จะเกิดอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำอะไรก็ได้ในบ้านเมืองนี้ หรือจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้”นายเสรี ระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี