บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เคาะแจกเงินหมื่น‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ อายุ 16-20 ปี 2.7 ล้านคน วงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท หวังลดภาระผู้ปกครอง ใช้จ่าย‘ค่าเทอม’ได้ ส่วนกลุ่มที่เหลือพร้อมแจกในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังระเบียบกำหนดต้องจ่ายภายใน ต.ค. เล็งเปิดลงทะเบียนกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน พร้อมวางเงื่อนไขตรวจสอบการใช้อินเตอร์เน็ต
10 มีนาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท สำหรับกลุ่มคนอายุ 16 – 20 ปี ที่มีการลงทะเบียนกับภาครัฐไว้จำนวน 2.7 ล้านคน วงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท
“คาดว่าจะสามารถเริ่มโอนเงินให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ภายในช่วงไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งถือว่าเป็นโครงการในระยะที่ 3 หรือเป็นโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจริงๆโครงการแรกที่จะปูพื้นฐานในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านระบบดิจิทัลในช่วงต่อไป ส่วนกลุ่มที่เหลือจะมีการจ่ายเงินในโครงการในระยะต่อไปตามความเหมาะสม” นายพิชัย กล่าว
ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินรัฐบาลดูช่วงเวลาที่เหมาะสม และกลุ่มคนที่เหมาะสมของเศรษฐกิจโดยอย่างที่ทราบว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 น่าจะออกมาดี และไตรมาสที่ 2 ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ในช่วงปลายๆไตรมาสที่ 2 ถึงต้นไตมาสที่ 3 เศรษฐกิจไทยจะมีความอ่อนแรงดังนั้นรัฐบาลก็พิจารณาว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีความเหมาะสม โดยการพิจารณาว่าการแจกเงินให้กับกลุ่มอายุ 16-20 ปีที่มีประมาณ 2.7 ล้านคน ถือว่าเป็นโครงการใหม่ที่จะต้องเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีการปรับเงื่อนไขในโครงการบางส่วนเช่น ให้ร้านค้าเบิกเงินสดได้ จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเทอมได้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยเรียนเงินจำนวนนี้สามารถแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้บางส่วน
“กลุ่มนี้ถือว่ามีการใช้เทคโนโลยีสูง มีความตื่นตัวและยอมรับในการใช้เทคโนโลยีและระบบใหม่ๆ รวมทั้งเป็นกลุ่มที่จะมีการใช้จ่ายสูงรัฐบาลจึงอนุมัติให้กับกลุ่มนี้ก่อน ซึ่งไม่เกี่ยวกับกลุ่มนี้ใช้งบประมาณน้อยแต่อย่างไร ส่วนกลุ่มที่เหลือรัฐบาลจะมีการอนุมัติให้ตามช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไปซึ่งต้องตรงกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นๆ” นายเผ่าภูมิ กล่าว
ส่วนนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตรัฐบาลได้เตรียมวงเงินงบประมาณไว้ประมาณ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งตามระเบียบของการเบิกจ่ายงบประมาณต้องมีการเบิกจ่ายงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค.หรือไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งในกรณีที่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ก็ต้องมีการทำโครงการไว้ก่อนเพื่อขอผูกพันงบประมาณ อย่างไรก็ตามในส่วนนี้ถือเป็นงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาลที่จะต้องมีการจ่ายให้กับกลุ่มเป้าหมายที่มีการลงทะเบียนไว้ ซึ่งพยายามที่จะทำให้ทันตามเงื่อนไข แต่ต้องดูเงื่อนไขต่างๆ และสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงด้วย ซึ่งการที่รัฐบาลยังไม่จ่ายให้กับทั้งหมดไม่ใช่ว่างบประมาณไม่เพียงพอเพราะได้เตรียมงบประมาณในส่วนนี้ไว้แล้ว
สำหรับการลงทะเบียนของกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนนั้นรัฐบาลเตรียมเปิดให้ลงทะเบียนในกลุ่มนี้ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารออมสิน และธนาคารอิสลาม รวมทั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และไปรษณีย์ไทย ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนในวงกว้างเพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลของกลุ่มคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน เพื่อวางแผนการช่วยเหลือต่างๆกับประชาชนกลุ่มนี้ได้ถูกต้อง โดยขั้นตอนและระยะเวลาจะมีการแจ้งให้ทราบอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ที่ไม่มีสมาทร์โฟนที่มีการลงทะเบียนจะมีการตรวจสอบการไม่มีสมาร์ทโฟนร่วมกับค่ายมือถือในการตรวจสอบ ร่วมกับ กสทช.ในการตรวจสอบข้อมูลว่าต้องมีการใช้ดาต้าผ่านโทรศัพท์มือถือไม่เกิน 500 MB ย้อนหลังใน 3 เดือน หากใช้เกินกว่านี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีสมาร์ทโฟนจะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการแจกเงินสำหรับผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนได้
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี