หลังมีกระแสวิจารณ์อย่างหนักกรณีรัฐบาลประกาศเดินหน้าแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ให้กลุ่มอายุ 16-20 ปี โดยกำหนดเงื่อนไขจ่ายค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟไม่ได้ แต่ซื้อเหล้า บุหรี่ได้นั้น

ขุนคลังสยบดรามาซื้อเหล้า-บุหรี่ได้

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่า รัฐบาลไม่ต้องการให้นำเงินไปใช้จ่ายในร้านค้าที่ขายเหล้าหรือบุหรี่โดยเฉพาะ เช่น ซื้อเหล้าจากร้านขายเหล้าโดยตรง แต่การห้ามร้านค้าขนาดเล็กหรือร้ายโชวห่วยที่ขายเหล้าบุหรี่ด้วย ไม่ให้ขายสินค้าดังกล่าวจะเป็นเรื่องยาก ดังนั้น รัฐบาลจึงกำหนดร้านค้าต้องห้ามเข้าร่วมโครงการ แทนกำหนดสินค้าต้องห้าม

“เรากำหนดเป็นรูปแบบร้านค้าคือ ไม่สามารถใช้จ่ายในร้านขายเหล้าหรือบุหรี่โดยเฉพาะได้ แต่หากเป็นร้านขนาดเล็กหรือร้านขายของชำที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภค 90% แต่อาจมีมุมเล็กๆขายเหล้าบุหรี่บ้างเล็กน้อยก็ใช้ได้ แต่ถ้าเราไปห้ามเข้าร้านประเภทนี้เลย อาจจะเหนื่อย จึงมากำหนดเป็นร้านค้าแทน”นายพิชัยชี้แจง และว่า ในอนาคตแอปฯทางรัฐจะสามารถกำหนดสินค้าห้ามซื้อได้ แต่ปัจจุบันระบบยังไม่ครอบคลุมถึงขั้นนั้น

ส่วนการกำหนดจ่ายค่าเทอมไม่ได้ นายพิชัยชี้แจงว่า ถ้ารัฐบาลให้เงินดิจิทัล 10,000 บาทแล้วประชาชนนำเงินไปแบ่งเบาค่าใช้จ่ายซื้อของต่างๆ ถ้าบริหารจัดการได้ดีจะทำให้มีเงินเหลือไปจ่ายค่าเทอมได้มากขึ้น ก็เหมือนรัฐบาลให้เงินผู้ปกครองไปจ่ายค่าเทอมได้ทางอ้อม ถือเป็นเงินก้อนเดียวกัน

“บิ๊กอ้วน”โยนคลังแจงพายุศก.ไม่หมุน

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ประเด็นเดียวกันว่า นายกฯมอบให้รมว.คลังชี้แจง ตนไม่สามารถตอบแทนหรือก้าวล่วงกระทรวงอื่นได้ หากถามเรื่องฝ่ายความมั่นคงที่ตนรับผิดชอบ ตนจะตอบทุกเรื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตการแจกเงินเฟส1และเฟส2ไปแล้ว แต่พายุเศรษฐกิจไม่ได้หมุนเลย นายภูมิธรรมกล่าวสั้นว่า ให้ไปถามกระทรวงการคลัง

“ไหม”เย้ยแจกวัยโจ๋เพราะงบไม่พอหรือไม่

ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนกล่าวถึงกรณีรัฐบาลเตรียมแจกเงิน 1 หมื่นให้กลุ่มอายุ 16-20 ปีว่า เป็นการเลือกที่แปลกประหลาด ทำไมต้องอายุ 16-20 ปี ซึ่งตัวดิจิทัลวอลเล็ต เป็นการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน ใครที่ใช้พร้อมเพย์เป็นก็ใช้ได้แล้ว ดังนั้น ไม่มีเหตุผลที่ต้องใช้ผู้ตื่นรู้ทางเทคโนโลยีเท่านั้น ตนคิดว่าประเด็นอยู่ที่งบประมาณอาจไม่พอในงบฯปี 2568 ทำให้อาจต้องขยายไปถึงงบฯปี 2569 จึงต้องแบ่งออกเป็นเฟส ซึ่งเฟสนี้ตนก็ไม่แน่ใจว่าทำไมลดเหลือเพียง 2 ล้านคนหรือ 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น หากเราดูกรณีก่อนหน้าที่มีการแจกเงินสดมีจำนวนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ครั้งแรกเม็ดเงินใหญ่ขนาดนั้นยังไม่ทำให้เศรษฐกิจกระดิกได้ จีดีพีตกเป้า การบริโภคภาคเอกชนไม่กระเตื้อง ครั้งนี้ 2 หมื่นล้านบาท ถ้าจะให้เกิดผลกระตุ้นเศรษฐกิจคงไม่มี แต่ก็ไม่แปลกใจที่รัฐบาลเลิกพูดเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ วันนี้พูดเรื่องเตรียมคนเข้าสู่ยุคดิจิทัล รวมถึงเอกสารรายงานการประชุม ก็ไม่มีการประเมินผลกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการนี้

รับไม่ได้ถ้าหวังซื้อเสียงล่วงหน้า

“มีคนพูดกันว่า สรุปแล้วเป็นการซื้อเสียงล่วงหน้าสำหรับนิวโหวตเตอร์หรือไม่ ดิฉันคิดว่าถ้าเป็นจริงจะเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ที่จะใช้ภาษีประชาชนมาทำการแบบนี้ และคิดว่าซื้อไม่ได้จริง เพราะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งรุ่นใหม่ เขามีวิจารณญาณมากพอที่จะไม่สามารถถูกซื้อได้ด้วยเงิน 1 หมื่นบาท เชื่อว่ารัฐบาลไม่มีทางคิดแบบนี้แน่ เพราะไม่มีผลทั้งคู่”น.ส.ศิริกัญญากล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลเรื่องเม็ดเงินที่ต้องใช้จำนวนมากหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ต้องตรวจสอบต่อไป แต่ตอนนี้ความชัดเจนยังไม่มี เงินส่วนนี้เป็นงบกลางที่ตั้งไว้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ใช้ไปกับกลุ่มผู้สูงอายุ และรอบนี้ 2 หมื่นล้านบาทจะเหลือเงินกระตุ้นเศรษฐกิจลดลง ไม่ทราบว่าจะแจกทั้งหมดหรือเปลี่ยนไปทำโครงการอื่นหรือไม่ เพราะถ้อยคำจากรัฐบาลบอกว่าดูตามความเหมาะสม ไม่รู้ว่าเหมาะสมของอะไร แต่ถ้าเหมาะสมทางเศรษฐกิจ ก็เห็นแล้วว่าสองรอบแรกไม่ได้เกิดอะไรกับเศรษฐกิจ เราคาดหวังว่าอย่าให้มีครั้งที่ 3 เมื่อมีครั้งที่ 3 เราก็บอกว่าครั้งที่ 4 ไม่ได้แล้ว ก็ต้องดูรัฐบาลอีกครั้งว่าสรุปแล้วความเหมาะสมของรัฐบาลเป็นความเหมาะสมทางเศรษฐกิจหรือการเมือง ช่วงที่ความนิยมตกต่ำก็งัดโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมาปลอบประชาชนว่าอย่างไรก็แจกเงินอยู่ หรือเอาความนิยมคืนมา

ตอกหน้าปธ.วิปรบ.อย่าบอกไม่ได้กู้

น.ส.ศิริกัญญายังตอบโต้ที่นายวิสุทธิ์ ไชณยรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)ระบุอย่ากังวล เงินมีพร้อม ไม่ได้ไปกู้ใครนั้น ต้องบอกว่ากู้แน่นอนทั้งหมดเท่าที่จะเอามาใช้ เพราะเป็นส่วนที่ผ่านงบฯปี 2568 เห็นว่ารัฐบาลต้องตั้งงบฯขาดดุลประมาณ 8 แสนกว่าล้านบาท เพื่อเอามาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ฉะนั้น อย่าพูดว่าไม่ได้กู้

“สมชัย”จี้รบ.คืนNegative lists

เช่นเดียวกับ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “มีอะไรที่บ้ามากกว่านี้หรือไม่”ระบุ เงินหมื่นเฟสสาม ให้คนอายุ 16-20 ปี จ่ายเป็นเงินดิจิทัลผ่านแอปฯทางรัฐจ่ายค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ไม่ได้ แต่ซื้อเหล้า เบียร์ บุหรี่ได้ จ่ายเป็นดิจิทัลดีแล้วอยากจำกัดพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน ก็ถือว่าเหนื่อยกับประชาชนที่ต้องเดินทางกลับไปใช้จ่าย ถือว่าแย่ แต่ยกเลิก negative lists 18 รายการ ไม่บ้าก็เมา Negative lists แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มอบายมุข ได้แก่ สลากกินแบ่ง เหล้า เบียร์ ไวน์ ยาสูบ กระท่อม กัญชา กลุ่มการออม ที่ซื้อแล้วเก็บหรือเอาไปเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ เช่น ทองคำ เพชร พลอย บัตรกำนัล บัตรเงินสด กลุ่มสินค้าต่างประเทศ เช่น น้ำมัน ก๊าซ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสาร การมี negative lists เพื่อป้องกันไม่ให้คนใช้เงินหมื่นกับอบายมุข หรือมาแลกเป็นเงิน หรือไหลไปต่างประเทศ แต่ครั้งนี้รัฐบาลมายกเลิกทั้ง 18 รายการ บอกให้เยาวชน 16-20 ปี ตัดสินใจใช้ได้เอง

“ลูกนายกคงเด็กไป อายุไม่ถึง 16 ปี เลยไม่ห่วงว่าจะใช้ในทางที่ผิด เอา negative lists คืนมาเถอะ ไม่มีอะไรหน้าแตก เพราะที่ผ่านมาก็หน้าแตกทุกวันอยู่แล้ว”นายสมชัยระบุ

ย้ำ4เหตุผลดิจิทัลวอลเล็ตแป๊ก

นอกจากนี้ นายสมชัยยังโพสต์ใน“เหตุผลที่ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ปัง” เพราะ 1. พูดไม่คิด อยากได้แค่คะแนนเสียงช่วงเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะหาเงินจากไหน 2. ขาดความรู้เรื่องการบริหารการคลังภาครัฐเรื่องการหารายได้เงินกู้ และนโยบายกึ่งการคลัง คาดการณ์ผิดเรื่องจัดเก็บรายได้ นึกไปเองว่าไม่มีเงินก็ออก พ.ร.ก.เงินกู้ได้ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นฉุกเฉิน นึกเอาเองว่าสามารถใช้นโยบายกึ่งการคลังบังคับรัฐวิสาหกิจเช่น ออมสิน ธกส. มารับภาระแบกแทนรัฐบาลได้ 3. อ่อนเรื่องคาดการณ์พฤติกรรมการใช้เงินของคน เช่น ให้เงินสดกลุ่มเปราะบาง เขาก็เอาไปใช้หนี้ไม่เกิดการใช้จ่าย ให้เงินสดกลุ่มผู้สูงอายุ เขาก็เอาไปเก็บรองรับความจำเป็นในอนาคต ให้เป็นเงินดิจิทัลแก่กลุ่ม 16-20 ปี แต่ดันใจดียกเลิก negative lists ให้ซื้อเหล้า เบียร์ บุหรี่ได้ ซื้อบัตรกำนัล บัตรเงินสด ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสารได้ ถามลูกที่บ้านหรือยังว่า เขาจะเอาไปใช้อะไร และ4.พูดแล้วเปลี่ยนทุกวัน เนื่องจากคิดไม่ครบ วันแรกบอกจ่ายค่าเทอมได้ วันนี้บอกไม่ได้ เมื่อวานบอกเฟส 4 ยังไม่ชัดเจน วันนี้บอกได้แน่แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ ขาดความน่าเชื่อถือ ขาดความเป็นมืออาชีพ ถ้าเป็นเงินตัวเองไม่มีใครว่า นี่เงินภาษีล้วนๆ หลายแสนล้านบาทแล้ว ขอมืออาชีพกว่านี้ได้ไหม