วันที่ 11 มีนาคม 2568 รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ เผยแพร่บทความ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องไม่ล้มต้มคนดู
การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มข้น ปีหนึ่งจะกระทำได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น
หากการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่น่าจะเกิดขึ้นในปลายเดือนมีนาคมนี้มีอันล้มไป
จากสาเหตุเพียงการระบุชื่ออดีตนักโทษชาย นายทักษิณ ชินวัตรในคำบรรยายของการเสนอญัตติ จะไม่เกิดผลดีกับทุกฝ่ายในสังคมไทย เพราะจะถูกกล่าวหาว่า
1.ฝ่ายรัฐบาล มีเจตนาที่จะปกป้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนักโทษที่ชอบครอบงำและครอบครองนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี จึงออกมาอ้างเหตุผลอย่างเลื่อนลอยว่า เป็นการผิดกฎหมายที่มีชื่อบุคคลภายนอก และไม่เป็นธรรมต่อนายทักษิณที่ไม่อาจชี้แจงต่อสาธารณะได้
2.ประธานสภาผู้แทนราษฎร รู้เห็นเป็นใจกับพรรคเพื่อไทยตั้งแง่ที่จะรับใช้ปกป้อง นายทักษิณและลูกสาวนายทักษิณถึงกับไม่บรรจุญัตติการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยข้ออ้างเช่นเดียวกับฝ่ายรัฐบาล
3.ฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชนจะถูกกล่าวหาว่าล้มมวย รู้เห็นเป็นใจกับฝ่ายรัฐบาล จงใจระบุชื่อนายทักษิณเพื่อให้เป็นประเด็นปัญหาของความขัดแย้งจนไม่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ทั้งนี้เพราะฝ่ายค้านอาจมีข้อตกลงลับ ดังที่เคยเป็นข้อกังขาถึงการพบกันของผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญของทั้งสองพรรคที่ฮ่องกง พรรคประชาชน จึงมีพฤติกรรมที่ไม่ตรวจสอบเข้มข้นเต็มศักยภาพเหมือนที่เคยตรวจสอบมา หรืออย่างน้อยก็ถูกกล่าวหาว่าอ่อนด้อยด้วยปัญญาและข้อมูลในการตรวจสอบ หรือเป็นเพียง พรรคการเมืองที่รอร่วมรัฐบาล
4.ประชาชนคนไทยจะรู้สึกเบื่อหน่ายการทำงานของรัฐสภา ที่มีปัญหาไม่ตรงไปตรงมาทั้งสภาสูงและสภาล่าง ระบบตรวจสอบไม่ทำหน้าที่เต็มความสามารถทั้งฝ่ายค้านในรัฐสภา วุฒิสภา รวมถึงองค์กรอิสระทั้งหลาย เมื่อหวังพึ่งการทำงานของฝ่ายค้านในรัฐสภาไม่ได้ก็ต้องหวังพึ่งภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน รวมทั้งซุบซิบนินทา ข่าวลือ กระจายในสื่อสังคมออนไลน์
ในความเป็นจริงของการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลย่อมต้องมีการอภิปรายที่กระทบบุคคลภายนอกห้องประชุมเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะอภิปรายเรื่องทุจริต ประพฤติมิชอบ การทำงานในโครงการที่ไม่มีประสิทธิภาพหย่อนยาน แม้กระทั่งเรื่องการครอบงำครอบครองหรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจและชายแดน ก็ย่อมมีบุคคลภายนอกเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น
รัฐธรรมนูญจึงไม่มีข้อห้ามที่จะพูดถึงบุคคลภายนอกห้องประชุม แต่หาก มีการถ่ายทอดสดการประชุมผู้พูดผู้อภิปรายจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งอาจถูกฟ้องร้องต่อศาลได้ทั้งนี้เพราะไม่ได้เอกสิทธิ์คุ้มครอง และหากผู้ที่ถูกพาดพิงปรารถนากระชี้แจงแสดงความเห็นก็ให้รัฐสภาจัดให้มีการชี้แจง
ถ้าจะตรวจดูข้อห้ามที่ปรากฏในข้อบังคับการประชุมและธรรมเนียมปฏิบัติในการอภิปราย ก็คือ
“ ห้ามกล่าวถึงพระมหากษัตริย์หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น”เท่านั้น
การอ้างของนายกรัฐมนตรีแพรทองธารอย่างเลื่อนลอยว่า การระบุชื่อนายทักษิณซึ่งเป็นบุคคลภายนอกว่า“ผิดกฎหมาย” จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่เป็นจริง และการอ้างธรรมเนียมปฏิบัติของหลายคนในพรรคเพื่อไทยว่าไม่เคยมีการระบุชื่อบุคคลภายนอกมาก่อน จึงสะท้อนความต้องการจะปกป้องนายทักษิณผู้เป็นบิดา และผู้บังเกิดผลประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย
จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อตรวจสอบรัฐบาล ตามบทบาทหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ
หากประธานสภาผู้แทนราษฎร จะได้คำนึงถึงการเป็นประธานซึ่งเป็น ประมุข ของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นตัวแทนของราษฎรทั้งประเทศ จะได้ใคร่ครวญไม่ยึดติดกับความคิดหรืออคติ จนทำให้ญัตติการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นหมันหรือแท้งตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าสภา สังคมก็จะได้ประโยชน์สูงสุด
หากพรรคร่วมฝ่ายค้านจะได้ลดทิฐิมานะ เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสังคม ยอมแก้ไขลบชื่อที่ระบุ นายทักษิณ ชินวัตร เป็น
“ นอกจากนี้ยังสมัครใจยินยอมให้ (นายทักษิณ ชินวัตร) ชายไทยไม่ทราบชื่อ ผู้เป็นบิดา ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นการกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมือง ประพฤติตนเป็นเสมือนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดโดยมีบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง(ที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจ)”
ทั้งนี้อาจระบุให้ชัดว่าการระบุชื่อนายทักษิณ ชินวัตร สามารถทำได้ทั้งหลักความจริงและกฎหมาย แต่เพื่อให้การประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจดำเนินต่อไป เพื่อประโยชน์ของสังคมจึงของแก้ไขเปลี่ยนแปลงญัตติดังกล่าว
ประชาชนก็จะเห็นใจและเข้าใจว่า พรรคฝ่ายค้านเป็นพรรคการเมืองที่นึกถึงประโยชน์ของสังคมมากกว่าหน้าตาของพรรคการเมือง
รองศาสตราจารย์ ดร. เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
13 มีนาคม 2568
อ้างอิงรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด
รัฐธรรมนูญ 2560 ที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายในรัฐสภา และการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เขียนไว้ว่า
“มาตรา ๑๒๔ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาสมาชิกผู้ใดจะกล่าวถ้อยคําใดในทางแถลงข้อเท็จจริง แสดงความคิดเห็นหรือออกเสียงลงคะแนนย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ผู้ใดจะนําไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวสมาชิกผู้นั้นในทางใดๆ มิได้
เอกสิทธิ์ตามวรรคหนึ่งไม่คุ้มครองสมาชิกผู้กล่าวถ้อยคําในการประชุมที่มีการถ่ายทอดทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใด หากถ้อยคําที่กล่าวในที่ประชุมไปปรากฏนอกบริเวณรัฐสภา และการกล่าวถ้อยคํานั้นมีลักษณะเป็นความผิดทางอาญาหรือละเมิดสิทธิในทางแพ่งต่อบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้น
ในกรณีตามวรรคสอง ถ้าสมาชิกกล่าวถ้อยคําใดที่อาจเป็นเหตุให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกแห่งสภานั้นได้รับความเสียหาย ให้ประธานแห่งสภานั้นจัดให้มีการโฆษณาคําชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่กําหนดในข้อบังคับการประชุมของสภานั้น ทั้งนี้ โดยไม่กระทบต่อสิทธิของบุคคลในการฟ้องคดีต่อศาล
เอกสิทธิ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ย่อมคุ้มครองไปถึงผู้พิมพ์และผู้โฆษณารายงานการประชุมตามข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภา แล้วแต่กรณี และคุ้มครองไปถึงบุคคลซึ่งประธานในที่ประชุมอนุญาตให้แถลงข้อเท็จจริง หรือแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม ตลอดจนผู้ดําเนินการถ่ายทอดการประชุมสภาทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์หรือทางอื่นใดซึ่งได้รับอนุญาตจากประธานแห่งสภานั้นด้วยโดยอนุโลม”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี