สำนวนยังไม่สมบูรณ์! ‘เสรีพิศุทธ์’ จี้ ป.ป.ช.กลับไปตรวจชั้น 14 รพ.ตำรวจอีกครั้ง เหตุยังไม่ได้เข้าห้อง‘ทักษิณ’นอนป่วย
13 มี.ค.68 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เดินทางไปที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อ้างปัญหาสุขภาพจึงสามารถมาพักที่โรงพยาบาลได้ ไม่ต้องอยู่ในเรือนจำขณะรับโทษจำคุก 1 ปีว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากต้องไปดูสถานที่เกิดเหตุให้ชัดก็ต้องไป เหมือนกับคดีอดีต ผกก.โจ้ ก็ต้องไปตรวจที่เกิดเหตุทันที
ส่วนคดีนี้ตนเป็นคนที่มีโอกาสขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่ง ป.ป.ช.ก็เคยเชิญตนไปให้การ และได้ทราบว่ายังไม่มีการไปตรวจที่เกิดเหตุ จึงย้อนถามกลับไปว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตนพูดมีน้ำหนักแค่ไหน พูดจริงหรือเท็จ สิ่งที่ตนให้การไว้ตรงกับในที่เกิดเหตุหรือไม่ โดยการไปตรวจที่เกิดเหตุจริงๆ แล้วต้องไปทันที ไม่เช่นนั้นสิ่งต่างๆ จะลบเลือนไป เหมือนอุบัติเหตุรถชนกัน ตำรวจเมื่อรับแจ้งแล้วก็ต้องไปที่เกิดเหตุทันที เพราะเมื่อเวลาผ่านไปมีรถวิ่งไป - มา พยานหลักฐาน เช่น เศษกระจก เศษสี ก็จะหายไป แต่เรื่องนี้เนิ่นช้ามาหลายเดือน
กระทั่งมีหนังสือแจ้งมา บอกว่าจะไปวันที่ 7 มี.ค.68 นัดหมายเวลา 11.00 น.เมื่อไปถึงก็มีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.มารอรับ ตนก็พาไปดูตั้งแต่จุดที่นัดหมายกับทีมงานของนายทักษิณเวลาจะไปเยี่ยม ซึ่งเป็นที่จอดรถชั้นใต้ดิน ก่อนจะพาไปขึ้นลิฟต์ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ต้องหลบสายตาจากผู้คน วันที่ไปเยี่ยมนายทักษิณ ทีมงานใช้วิธีพาขึ้นลิฟต์จากตัวนั้นไปตัวนี้ จนถึงชั้น 12 แล้วจึงเดินขึ้นบันไดหนีไฟต่อไปยังชั้น 14 ซึ่งบันไดหนีไฟก็อยู่ภายในตัวอาคาร แต่ด้วยความที่เวลาผ่านมาแล้วเกือบ 2 ปี ยอมรับว่าจำรายละเอียดบางอย่างไม่ได้บ้าง เช่น ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 12 หรือ 13
ในเบื้องต้นจึงแจ้งทาง ป.ป.ช.ไปว่าให้ขึ้นลิฟต์ไปชั้น 12 แล้วพาไปดูบันไดหนีไฟ พาเดินขึ้นบันไดหนีไฟผ่านชั้น 13 ไปถึงชั้น 14 ตามที่ได้ให้การไว้ เมื่อไปถึงชั้น 14 ด้านหลังจะอยู่ทาง รร.เอราวัณ ห้องพักของนายทักษิณจะอยู่ริมสุดของอาคารและอยู่ติดถนน โดยจากจุดที่ขึ้นไปถึงชั้น 14 ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องที่นายทักษิณพักทักษาตัว ส่วนด้านขวามือจะเห็นห้องรับแขก ตนก็ต้องชี้สถานที่เกิดเหตุโดยเริ่มจากการไปเยี่ยมนายทักษิณครั้งแรก คือที่ห้องรับแขก ซึ่งปกติแล้วห้องแบบนี้จะแบ่งกัน ห้องหนึ่งให้ผู้ป่วยนอน อีกห้องเป็นที่พักของญาติผู้ป่วย
โดยในห้องรับแขกที่ตนเคยไปนั่งรอนายทักษิณ ในภาพรวมยังเหมือนเดิม แต่มีรายละเอียดบางอย่างเปลี่ยนไปบ้าง เช่น การจัดวางโต๊ะ - เก้าอี้ สักพักนายทักษิณก็เดินมาจากห้องที่ถูกระบุว่าเป็นห้องพักผู้ป่วย ซึ่งดูแล้วสภาพเหมือนคนไม่ป่วย สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ จากนั้นก็พูดคุยกันเรื่องบ้านเมืองบ้าง คดีความบ้าง ชีวิตความเป็นอยู่บ้าง ซึ่งในการพาชี้จุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะบันทึกภาพตามที่ตนให้การ เช่น ตนนั่งตรงไหน นายทักษิณนั่งตรงไหน แต่เมื่อจะไปห้องที่นายทักษิณเคยนอนพักรักษาตัว ทาง รพ.ตำรวจ กลับแจ้งว่ามีผู้ป่วยรายอื่นอยู่
“ทำไมนัดให้มาชี้ที่เกิดเหตุแล้ว ป.ป.ช.ก็ดี โรงพยาบาลก็ดี ทำไมคุณนัดกันวันนี้ คุณนัดหมายความว่าต้องพร้อมเข้าไปในห้องนี้ มันมีความจำเป็น ห้องรับแขกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ห้องที่คุณทักษิณนอนป่วยจริงๆ จะไปให้เขาดูสภาพห้องเป็นอย่างไร ห้องพักรักษาตัว มีเครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ทางการแพทย์มาก - น้อยแค่ไหน ห้องรับแขกเป็นอย่างไร ติดสนามม้า ชมวิวดูม้าแข่งได้ไหม อะไรอย่างนี้” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เมื่อทาง รพ.ตำรวจ กลับแจ้งว่าห้องที่นายทักษิณเคยพักรักษาตัวมีผู้ป่วยรายอื่นอยู่ แล้วจะให้ทำอย่างไร แม้ตนอยากเข้าแต่ก็ไม่อยากไปละเมิดเขา เดี๋ยวจะมีการฟ้องร้องกันอีก ถูกกล่าวหาว่าเอาโรคไปติดผู้ป่วย ซึ่งจริงๆ ไม่ควรให้มีสภาพแบบนี้เกิดขึ้น การตรวจสถานที่เกิดเหตุห้องต้องว่าง ต้องสามารถเข้าไปได้ จะให้ตนคิดอย่างไร ให้คิดว่า ป.ป.ช.กับ รพ.ตำรวจ รู้กัน หรือให้เอาเพียงว่าพาตนไปชี้จุดเกิดเหตุให้เป็นข่าวก็พอแล้ว แต่ไม่สนใจผลว่าจะเป็นอย่างไรอย่างนั้นหรือ
ซึ่งแม้ตนพูดได้แต่ก็ไม่อยากจะวิจารณ์อะไรมากมาย เพราะอยากให้มีผลเป็นที่ประจักษ์มากกว่า ไปวิจารณ์เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน อนึ่ง หลังจากชี้จุดเกิดเหตุที่ชั้น 14 แล้ว ก็ขึ้นต่อไปที่ชั้น 19 เป็นห้องประชุมซึ่งจัดไว้ให้เจ้าหน้าที่ทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เมื่อทำเสร็จแล้วก็ให้ตนดูความถูกต้องก่อนลงชื่อรับรอง แต่ตนก็มีข้อสังเกตการทำงานของ ป.ป.ช. ว่า ในฐานะที่ตนเป็นตำรวจ เป็นอาชีพที่ต้องไปตรวจสถานที่เกิดเหตุบ่อยๆ ตั้งแต่ในบ้าน บนถนน ในป่า บนภูเขา ในขณะที่ ป.ป.ช.การทำงานจะพิจารณาจากเอกสาร ก็จะไม่เข้าใจ
แม้แต่การนัดหมายก็ยังนึกไม่ออกว่าควรจะใช้เวลาเท่าใด จริงๆ ควรนัดตั้งแต่เช้า สักประมาณ 09.00 น.พอนัด 11.00 น.ก็เห็นว่าทีมงานของ ป.ป.ช. ข้าวก็ไม่ได้กิน จะสั่งอาหารขึ้นมาส่งก็ไม่ได้เพราะเป็นโรงพยาบาล โดยสรุปคือในวันดังกล่าว ป.ป.ช. ให้ตนเดินนำชี้จุดต่างๆ ยกเว้นห้องสำคัญ อนึ่ง ในการจัดหาอาหารให้เจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่ไปทำงาน กรณีเป็นตำรวจ เช่น ผู้กำกับหรือผู้การไปลงพื้นที่ก็ต้องเลี้ยงลูกน้อง
แต่ตนอยากถามคนที่มาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งก็เป็นอดีตข้าราชการ มีเงินบำนาญ พอมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ก็มีเงินเดือน มีค่ารับรองที่อย่างต่ำเท่ากับเงินเดือน ได้ถึง 3 เด้ง แล้วไม่นำมาใช้บ้างหรือ ซึ่งวันที่ไป รพ.ตำรวจ ทีมงาน ป.ป.ช. มีแต่ระดับเจ้าหน้าที่ ไม่มีกรรมการมาด้วย เห็นมีน้ำขวดเล็กวางไว้ให้ 1 ขวด ไม่มีข้าวให้กิน ตนไม่กินก็ได้แต่มีคำถามว่าแล้วเงินรับรองไปไหนหมด ไม่ช่วยจ่ายบ้างหรือ เจ้าหน้าที่มาสิบกว่าคนไม่มีอะไรกิน ระบบต้องทำให้เรียบร้อย
ส่วนคำถามว่าหากในวันดังกล่าวสามารถเข้าไปในห้องที่ถูกระบุว่านายทักษิณเคยนอนพักรักษาตัว จุดสำคัญคือจะได้เห็นว่าตรงกับที่ตนเคยให้การไว้หรือไม่ กรณีตนไปเยี่ยมนายทักษิณครั้งที่ 2 ครั้งนี้นายทักษิณชวนตนออกจากห้องรับแขกเข้าไปที่ห้องพัก แต่ห้องพักนั้นก็จะแบ่งเป็น 2 ห้องย่อยอีกเช่นกัน ห้องหนึ่งตนไม่กล้าละลาบละล้วงเข้าไปด้วยมารยาท แต่อีกห้องที่ให้ญาติผู้ป่วยได้พักหรือเป็นห้องเตรียมอาหารดูแล ตนได้เข้าไปในห้องนี้ หากได้เข้าไปดูก็จะได้เห็นว่าอยู่ติดสนามม้าจริงหรือไม่ หรือมีขนาดใหญ่จริงหรือไม่
เพราะห้องอีกฟากหนึ่งซึ่งใช้เป็นห้องรับแขกเมื่อตนไปเยี่ยมนายทักษิณครั้งแรก จะอยู่ใกล้กับทางหนีไฟภายในอาคาร ในขณะที่ห้องฟากที่นายทักษิณอยู่จะไม่มีทางหนีไฟ ห้องจึงมีขนาดกว้างกว่า หรือห้องที่ติดสนามม้าจะเป็นห้องกระจก นายทักษิณก็พาตนไปนั่งคุยกันริมกระจกนั้นซึ่งสามารถมองเห็นสนามม้าเพียงแต่วันดังกล่าวไม่มีม้าแข่ง ทีมงานของนายทักษิณนำกาแฟและข้าวเหนียวมะม่วงมาเสิร์ฟ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ก็ต้องไปดูว่าจริงอย่างที่ตนให้การไว้แบบนี้หรือไม่
“นอกจากนั้นควรไปดูห้องผู้ป่วยด้วย ว่าเป็นห้องผู้ป่วยไหม มีเตียงผู้ป่วย มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีสายท่อออกซิเจน ผมไม่รู้นะ ศัพท์แพทย์ ถ้าเป็นห้องผู้ป่วยมันควรมีอุปกรณ์อะไรบ้าง มันต้องเข้าไปดู ไม่มีแล้วคุณป่วยวิกฤตอย่างไร ซึ่งคุณจะมาสร้างก็ลำบาก ไม่ใช่เฉพาะคุณทักษิณ มาทุบตึกทำเพื่อให้สมจริงสมจัง ต่อเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ขึ้นมาอะไรต่างๆ คงจะไม่ถึงขนาดนั้น ได้ไปดู ได้ไปถ่ายรูปไว้ แต่ตอนนี้พอมีอ้างผู้ป่วย ผมก็ไม่กล้าละเมิดสิทธิ์เขา แล้วถือว่าตรวจหรือยัง ก็ยัง แล้วจะมาตรวจไหม” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุ
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า หากเป็นตนก็คงต้องกลับไปอีกครั้ง เพราะถือว่ายังไม่ได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุในจุดที่สำคัญ จึงขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช. ต้องไปตรวจ และเรื่องนี้ระดับเจ้าหน้าที่ตัดสินใจเองไม่ได้ มาแล้วต้องพร้อม แบบนี้สมมติหากประชาชนไม่ติดตามหรือตนไม่พูด มีแต่ข่าวออกมาว่าไปตรวจแล้วก็จบ อย่างนั้นในสำนวนก็ไม่มีอะไร ไปถึงอัยการและศาลก็ไม่มีในส่วนห้องที่นายทักษิณอ้างว่าป่วย แล้วจะทำอย่างไร ป.ป.ช. จึงต้องไปตรวจสอบ และตนก็พร้อมจะไปชี้จุดให้ด้วยหากนัดมา
นอกจากนั้น ในเมื่อ ป.ป.ช. เรียกตนและบุคคลต่างๆ ที่เคยไปเยี่ยมนายทักษิณ ก็ต้องเรียกครอบครัวนายทักษิณด้วย เพราะตอนที่นายทักษิณเข้าโรงพยาบาลใหม่ๆ กรมราชทัณฑ์ให้บุคคล 10 คน ไปเยี่ยมได้ และไปแล้วก็ต้องบันทึกวัน – เวลา อย่างตนไม่ได้อยู่ในรายชื่อ กรมราชทัณฑ์ถึงบอกว่าไม่ได้อนุญาตให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เข้าเยี่ยมนายทักษิณ ก็เพราะตนไม่ได้ขออนุญาต แต่ตนสามารถเข้าไปได้ และตนก็ไปชี้ที่เกิดเหตุได้ ดังนั้นจะพูดอย่างนั้นไม่ได้ ก็ต้องเรียก 10 คนนั้นไปให้ปากคำด้วย ดูว่าจะให้การอย่างไร จะได้ปรากฏอยู่ในสำนวน จะได้รู้ว่าตนหรือทางนั้นโกหก
“ถ้าผมโกหก ผมสร้างเรื่อง ดำเนินคดีผมสิ แต่ถ้าทางนั้นโกหกก็ต้องดำเนินคดี สำนวนมันจะได้สมบูรณ์ ความจริงมันจะได้ปรากฏ ป.ป.ช.ทำไหมล่ะ ผมบอกไปแล้ว ไปดูผลเอา” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี