‘อิ๊งค์’ผวาซ้ำรอย

กลัวรัฐบาลพัง

ก่อนแต่งตั้งรมต.

ดูประวัติละเอียด

นายกฯลั่นต้องยึดมาตรฐานเข้ม ตรวจสอบให้ดี ทำงานหนักทุกครั้งที่ตั้งรมต. หวั่นซ้ำรอย-เปลี่ยนรัฐบาล ลั่นไม่มีใครอยากทำผิดด้าน“ชูศักดิ์”ยัน ระวังเต็มที่ รับมีปัญหาตีความ-การใช้ดุลยพินิจ เพราะกม.ต้องแน่นอน ท้ายสุดคนตั้งต้องรับผิดชอบ ส่วนต้องแต่งตั้งคนประวัติใสกิ๊กหรือไม่นั้น นักการเมืองไม่ใช่นักบวช ต้องไปหารือถ้ามีการแก้รธน.ทั้งฉบับ กำหนดมาตรฐานให้ชัด ไม่เปิดช่องให้ตีความได้หลายทาง ส่วน “ภูมิธรรม” ย้ำต้องรอบคอบ ยึดหลักวิญญูชน

เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกและฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลให้สัมภาษณ์กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 1 ตีตกคำร้องรัฐบาลขอตีความนิยาม “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” โดยให้เหตุผลไม่เข้าหลักเกณฑ์ เพราะการแต่งตั้ง ครม.เป็นอำนาจหน้าที่นายกฯ ระบุรัฐธรรมนูญวางกลไกป้องกันทุจริต-ประพฤติมิชอบเข้มแล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญตอบมาค่อนข้างชัดเจน จริงๆเราก็ทราบแนวทางของศาลพอสมควร แต่เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาจริงๆ ในแง่การตีความหลักสำคัญจะแต่งตั้งบุคคลใด ต้องเอาประวัติมาดู ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนถูกปรับข้อหาจอดรถในที่ห้ามจอด ต้องถามสื่อมวลชนถือว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ ฉะนั้นดุลพินิจกว้าง ซึ่งตามหลักนิติรัฐและนิติธรรม กฎหมายต้องมีความแน่นอน เราถึงพยายามทำเรื่องนี้ให้ชัด แต่ในเมื่อศาลไม่ตอบก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หลังจากนี้จะแต่งตั้งใครต้องใช้ดุลพินิจกันเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากนี้จะตั้งใครต้องสุ่มเสี่ยงเองเลยใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า จะว่าสุ่มเสี่ยงก็ได้ แต่ต้องใช้ความระวัดระวังเต็มที่ ถามต่อว่าแสดงว่าต้องสแกนคุณสมบัติถี่ยิบเหมือนตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.)แพทองธาร 1 ใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาให้สำนักเลขาธิการครม. (สลน.)ตรวจสอบ สอบถามไปคณะกรรมการกฤษฎีกา มันไม่จบเพราะเมื่อเป็นดุลยพินิจก็จะเป็นปัญหาตามมา ต้องชั่งน้ำหนักดู

เมื่อถามว่านในอนาคตปรับครม.และเสนอชื่อใครแล้วสังคมตั้งคำถามจะทำอย่างไร นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ทั้งหมดต้องเอามาประมวลกันว่าใครคิดเห็นอย่างไรมาชั่งน้ำหนักเอา เพราะท้ายที่สุดคนที่ตั้งต้องรับผิดชอบ ถามอีกว่า ต่อไปจะตั้งใครต้องมีประวัติใสกิ๊กเลยใช่หรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ถ้าพูดตรงไปตรงมา การเมืองบ้านเรามาแบบนี้ นักการเมืองก็ไม่ใช่นักบวช ขนาดพระยังมีข้อครหา ก็ต้องดูจนกว่าจะทำการเมืองให้ใสสะอาด เราก็เห็นกันอยู่ว่า เมื่อมาถึงจุดนี้เป็นอย่างไร เขาถึงเรียกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า รัฐธรรมนูญปราบโกง แต่หลักสำคัญควรจะกำหนดมาตรฐานชัดเจน ไม่เปิดโอกาสให้ตีความได้หลายทาง

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือ เข้มงวดและละเอียดรอบคอบมากขึ้นเกี่ยวกับคุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีหรือข้าราชการทางการเมือง ให้เป็นไปตามที่วิญญูชนเห็นว่าควรเป็นอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าจะแต่งตั้งใครและสังคมตั้งคำถามรัฐบาลต้องพิจารณาอย่างเข้มข้นใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องดูว่าเป็นสังคมส่วนไหน ถือเป็นเสียงทักท้วงต้องกลับไปดูให้รอบคอบ ถามต่อว่าการจะตั้งรัฐมนตรีต้องใช้มาตรฐานเข้มข้นเหมือนตั้งครม.แพทองธาร 1 ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกัน ถือเป็นดุลยพินิจของนายกฯในการคัดเลือก อย่างไรก็ตาม ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ตนก็เห็นแบบนั้น เมื่อศาลยังไม่พิจารณา เราก็ต้องรอบคอบมากขึ้น ส่วนจะมีมาตรการหรือดำเนินการระดับใดคงเป็นสิ่งที่นายกฯเรียกหารือ หรือใช้ดุลยพินิจของท่าน ตนไม่สามารถตอบแทนได้ เมื่อถามว่า แสดงว่าบุคคลที่มีคุณสมบัติสุ่มเสี่ยงจะไม่กล้าตั้งใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ต้องรอบคอบมากขึ้นจะแค่ไหนต้องดูความเป็นจริง เพราะเรายังไม่รู้ว่าตำแหน่งอะไร เป็นใคร

“เราต้องพิจารณาเรื่องข้อกฎหมายชัดเจนเข้มงวด คำนึงถึงเรื่องวิญญูชน เพราะที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติโดยคำนึงถึงวิญญูชนในการตัดสินใจ เราต้องเข้มงวดเรื่องนี้มากขึ้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะการที่จะบอกว่าวิญญูชนพึงกระทำมันยาก คงเป็นเรื่องที่ต้องไปขบคิดก่อน ซึ่งยังอีกไกล ขอย้ำว่า การยื่นศาลตีความเรื่องนี้ไม่เกี่ยวเรื่องการปรับครม.เร็วๆนี้ เพราะนายกฯก็ย้ำไปแล้ว

ขณะที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ประเด็นเดียวกันว่า ไม่มีอะไรเลย ก็ตามนั้น เราถือว่าเราได้ถามไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯจะใช้อะไรเป็นมาตรฐานตั้งรัฐมนตรี ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการแต่งตั้งครม.แพทองธาร 1 หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า คงต้องประมาณนั้น ไม่อยากให้มีอะไรที่เป็นเรื่องอ่อนไหว พยายามตรวจสอบให้ดีที่สุด และตนไม่ได้จบด้านกฎหมาย จึงได้พูดคุยกับทีมงานว่าไม่แน่ใจว่ารวมคนที่เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือไม่ จึงได้ตรวจสอบทั้งหมด ซึ่งเป็นกระบวนการค่อนข้างนานมาก ต้องส่งไปถามทุกที่ ทุกครั้งที่ต้องแต่งตั้งจะทำงานหนัก เพราะไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาด หรือเป็นเรื่องใหญ่เกินว่าที่ควรจะเป็น จึงต้องตรวจสอบให้ดี และทุกกระทรวงที่จะส่งใครมาให้เซ็น เขาต้องตรวจสอบกันเองด้วย ถามความเห็นให้ครบ เราก็สบายใจในการเซ็นมากกว่า เพราะไม่มีใครอยากทำผิดกฎหรอก