วันที่ 14 มีนาคม 2568 นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า
ผมเห็นข่าวที่รัฐบาลจะแจกเงินหมื่นดิจิทัลเฟสสาม โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและเยาวชนอายุ 16-20 ปี ซึ่งเงื่อนไขการใช้เงินมีช่องโหว่ที่ผู้ใช้เงินสามารถนำเงินไปซื้อเหล้าหรือบุหรี่ในร้านชำเล็ก ๆ ได้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแม้กฎหมายจะห้ามไม่ให้ขายเหล้าและบุหรี่กับบุคคลที่อายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็บังคับใช้เฉพาะกับร้านเจ้าใหญ่ ๆ เท่านั้น ส่วนร้านชำเล็ก ๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามชุมชน ก็เป็นที่รู้กันดีว่าในทางปฏิบัติรัฐตรวจสอบได้ยากและกฎหมายก็มักบังคับไปไม่ถึง ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ผู้ที่ได้สิทธิตรงนี้จะนำเงินไปซื้อสิ่งเหล่านี้มาเสพซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเด็กและเยาวชน มีแต่โทษ
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on Rights of the Child) ซึ่งไทยเป็นภาคี มีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ข้อ 1 กำหนดว่า เด็ก หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และ ข้อ 3.1 ระบุว่า ในในการกระทำทั้งปวงที่เกี่ยวกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันสังคมสงเคราะห์ของรัฐหรือเอกชน ศาลยุติธรรม หน่วยงานฝ่ายบริหาร หรือองค์กรนิติบัญญัติ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรก ส่วนข้อ 6.กำหนดว่า 1) รัฐภาคียอมรับว่าเด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิต และ 2) รัฐภาคีจะประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ให้มีการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก
ผมจึงอยากตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า การที่รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารแจกเงินเด็ก ๆ และเปิดช่องให้เอาเงินตรงนี้ไปซื้อเหล้ากับบุหรี่ได้ ถือว่าได้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรกหรือไม่ ตามข้อ 3.1 และรัฐบาลกำลังบั่นทอนชีวิตเด็กและเยาวชนในทางอ้อม และบั่นทอนการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก ซึ่งขัดกับข้อ 6 ของอนุสัญญาสิทธิเด็กหรือไม่
ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลมีทางเลือกมากมายในการใช้เงินเพื่อส่งเสริมการมีชีวิต การอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก เช่น การให้ทุนการศึกษา การให้ทุนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัญญาประดิษฐ์ หรือการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทำงานพาร์ทไทม์โดยได้ค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ โดยเอาเงินตรงนี้ไปชดเชยให้ผู้ประกอบการที่จ้างเด็กและเยาวชนเหล่านี้ทำงาน เพื่อฝึกทักษะให้พร้อมในการเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อจบการศึกษา แต่รัฐบาลกลับเลือกวิธีหว่านแจกเงินละลายแม่น้ำแบบที่คุ้นชิน แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กสูงสุด ซึ่งขัดกับอนุสัญญาข้างต้น อย่างชัดเจน ผมจึงอยากให้รัฐบาลคิดให้ดี ก่อนที่จะไปอับอายบนเวทีโลกครับ ด้วยความปรารถนาดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี