เตือนรบ.ละเมิดก.ม.
แจกเงินหมื่นให้โจ๋
ซื้อเหล้า-บุหรี่ได้
ละเลงงบทิงชัดๆ
นักวิชาการออกโรง เตือนรัฐบาล แจกเงิน1 หมื่น เฟส 3 ให้ “วัยโจ๋ 16-20 ปี” โดยปรับเงื่อนไข เปิดช่องให้ซื้อ “เหล้า-บุหรี่” ในร้านชำเล็กๆ ได้ เป็นการละเมิดกฎหมายและอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ไทยเป็นภาคีหรือไม่แปลกใจทำไมถึงไม่ใช้งบไปส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิต ฝึกทักษะให้เด็กพร้อมเข้าตลาดแรงงานหลังเรียนจบ แต่กลับเลือกวิธีแจกเงินละลายแม่น้ำ
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม นายประพฤติ ฉัตรประภาชัยหรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมาย และ อดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กให้ความเห็นประเด็นรัฐบาลเตรียมแจกเงิน 1 หมื่นบาทผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 ว่า ตนเห็นข่าวที่รัฐบาลจะแจกเงินหมื่นดิจิทัลเฟสสาม มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กและเยาวชนอายุ 16-20 ปี ซึ่งเงื่อนไขการใช้เงินมีช่องโหว่ที่ผู้ใช้เงินสามารถนำเงินไปซื้อเหล้าหรือบุหรี่ในร้านชำเล็กๆได้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแม้กฎหมายจะห้ามขายเหล้าและบุหรี่ให้กับบุคคลที่อายุต่ำกว่า 20 ปี แต่ก็บังคับใช้เฉพาะกับร้านเจ้าใหญ่ๆเท่านั้น
ส่วนร้านชำเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ตามชุมชน ก็เป็นที่รู้กันดีว่าในทางปฏิบัติรัฐตรวจสอบได้ยากและกฎหมายก็มักบังคับไปไม่ถึง ดังนั้น จึงมีโอกาสสูงที่ผู้ที่ได้สิทธิตรงนี้จะนำเงินไปซื้อสิ่งเหล่านี้มาเสพซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับตัวเด็กและเยาวชน มีแต่โทษ
ทั้งนี้ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on Rights of the Child) ซึ่งไทยเป็นภาคี มีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ข้อ 1 กำหนดว่า เด็ก หมายถึงมนุษย์ทุกคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี และ ข้อ 3.1 ระบุว่า ในในการกระทำทั้งปวงที่เกี่ยวกับเด็ก ไม่ว่าจะกระทำโดยสถาบันสังคมสงเคราะห์ของรัฐหรือเอกชน ศาลยุติธรรม หน่วยงานฝ่ายบริหาร หรือองค์กรนิติบัญญัติ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรก ส่วนข้อ 6.กำหนดว่า 1) รัฐภาคียอมรับว่าเด็กทุกคนมีสิทธิติดตัวที่จะมีชีวิต และ 2) รัฐภาคีจะประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ให้มีการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก
“ผมจึงอยากตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า การที่รัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารแจกเงินเด็ก และเปิดช่องให้เอาเงินตรงนี้ไปซื้อเหล้ากับบุหรี่ได้ ถือว่าได้คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นลำดับแรกหรือไม่ ตามข้อ 3.1 และรัฐบาลกำลังบั่นทอนชีวิตเด็กและเยาวชนในทางอ้อม และบั่นทอนการอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก ซึ่งขัดกับข้อ 6 ของอนุสัญญาสิทธิเด็กหรือไม่”นายประพฤติกล่าว
และว่า ทั้งที่รัฐบาลมีทางเลือกมากมายในการใช้เงินเพื่อส่งเสริมการมีชีวิต การอยู่รอดและการพัฒนาของเด็ก เช่น การให้ทุนการศึกษา การให้ทุนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในยุคปัญญาประดิษฐ์ หรือการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทำงานพาร์ทไทม์ โดยได้ค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เอาเงินตรงนี้ ไปชดเชยให้ผู้ประกอบการที่จ้างเด็กและเยาวชนเหล่านี้ทำงาน เพื่อฝึกทักษะให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานเมื่อจบการศึกษา แต่รัฐบาลกลับเลือกวิธีหว่านแจกเงินละลายแม่น้ำแบบที่คุ้นชิน แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของเด็กสูงสุด ซึ่งขัดกับอนุสัญญาข้างต้นอย่างชัดเจน ตนจึงอยากให้รัฐบาลคิดให้ดี ก่อนจะไปอับอายบนเวทีโลก ด้วยความปรารถนาดี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี