สว.เหน็บแรง
มั่วแจกเงินหมื่น
จี้รบ.ปลดล็อก
จ่ายค่าเทอมนร.
“สว.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน” ชี้รัฐบาล ยังขาดความรอบคอบในการเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล ถามเป็นพายุหมุนจริงหรือไม่ หวั่น ไม่ตรงปกเป็นแค่มาตรการชั่วคราว วอนปลดล็อกให้ใช้จ่ายค่าเทอม หวังแบ่งเบาภาระประชาชน เสริมเศรษฐกิจฐานราก
เมื่อวันที่15 มีนาคม 2568 น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศันสนียชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลว่า แนวทางดำเนินงานของรัฐบาลในเรื่องนี้ยังขาดความรอบคอบในหลายด้าน
“หากพูดให้เข้าข้างรัฐบาลมากที่สุด อาจเป็นไปได้ว่ารัฐบาลต้องการประเมินความคุ้มค่าของโครงการอย่างละเอียดขึ้น จึงเลือกแจกเงินเป็นกลุ่ม ๆ แต่การจำกัดสิทธิ์การใช้จ่ายโดยไม่ได้คำนึงถึงความจำเป็นที่แท้จริง อาจทำให้โครงการนี้ไม่บรรลุเป้าหมายอย่างที่ควรจะเป็น” น.ส.ภิญญาพัชญ์กล่าว
โดยเฉพาะการกำหนดให้กลุ่มเยาวชนอายุ 16-20 ปีได้รับเงินดิจิทัลก่อนนั้น แม้จะช่วยลดความเสี่ยงในแง่การบริหารจัดการระบบ แต่รัฐบาลควรติดตามอย่างจริงจังว่าเยาวชนใช้เงินไปกับอะไร
“มีบางคนให้เหตุผลว่า เงินที่ได้รับเป็นสิทธิ์ของเขา จะนำไปใช้ซื้ออะไรก็ได้ แม้แต่เติมเกมหรือซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่สิทธิ์นั้นควรมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เยาวชนควรตระหนักถึงหน้าที่ของตนเอง และใช้เงินอย่างมีสติ” น.ส.ภิญญาพัชญ์กล่าว
นอกจากนี้ น.ส.ภิญญาพัชญ์ ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อจำกัดในการใช้เงินดิจิทัล โดยเฉพาะการห้ามนำไปจ่ายค่าเทอมหรือค่าสาธารณูปโภค ขณะที่สามารถใช้จ่ายกับสินค้าฟุ่มเฟือยได้ ซึ่ง สว.ภิญญาพัชญ์ มองว่าเป็นแนวทางที่ขาดหลักการที่ชัดเจน
“ดิฉันอยากทราบจริง ๆ ว่ารัฐบาลกำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมจึงอนุญาตให้ใช้เงินในบางกรณี แต่กลับไม่อนุญาตให้ใช้ในเรื่องที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การปลดล็อกให้สามารถใช้จ่ายค่าเทอมได้จะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ในทางที่ยั่งยืน” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
น.ส. ภิญญาพัชญ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้มีข้อมูลว่ารัฐบาลจะอนุญาตให้ใช้เงินดิจิทัลกับค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟได้ แต่เมื่อถึงเฟส 3 กลับมีการเปลี่ยนแปลง โดยระบุว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จัดอยู่ในหมวด “ค่าบริการ” ซึ่งไม่อยู่ในเงื่อนไขของโครงการ
“การที่รัฐบาลเปลี่ยนเงื่อนไขไปมาเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการขาดวิสัยทัศน์ที่แน่วแน่ และขาดความรอบคอบในเชิงนโยบาย” น.ส.ภิญญาพัชญ์กล่าว
น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าวว่าการแจกเงินดิจิทัลอาจช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจจริง แต่รัฐบาลต้องพิจารณาว่าการหมุนเวียนดังกล่าวจะส่งผลดีอย่างยั่งยืนหรือไม่
“มันอาจเกิดการหมุนเวียนจริง แต่คำถามคือ มันจะหมุนจนกลายเป็นพายุหมุนหรือไม่ รัฐบาลจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวให้ชัดเจน มิฉะนั้น โครงการนี้อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราวที่ไม่ได้สร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนอย่างที่ควรจะเป็น” น.ส.ภิญญาพัชญ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตั้งเป้าจะทำเศรษฐกิจดิจิทัลภายใน 1 ปี ว่า ต้องดูคำสัญญา ที่เคยให้ไว้ในหลายครั้ง ซึ่งโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เคยบอกว่า จะแจกพร้อมกันเพื่อให้เกิดเป็นพายุหมุนในระบบเศรษฐกิจ แต่สุดท้ายก็ต้องแบ่งเป็นหลายเฟส และไม่สามารถทำให้เกิดพายุหมุนได้จริง
ส่วนอีกประเด็นที่ในทักษิณได้พูดไว้บนเวที คือพลังงานสีเขียวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งดาต้า เซ็นเตอร์ อุตสาหกรรมเอไอ รวมทั้งค่าไฟแพงที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนว่า จะมีการปรับลดลงเหลือ 3 บาทปลายๆ ก็ยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งมาตรการลดค่าไฟที่เห็นอยู่ในขณะนี้ มีการออกมาเปิดรับฟังความคิดเห็น เพื่อให้รัฐบาลอุดหนุนต่อหรือไม่ เพราะฉะนั้นเรื่องการลดค่าไฟเป็นสิ่งที่พรรคประชาชนสื่อสารมาโดยตลอด ว่า ต้องกลับไปปฏิรูปที่โครงสร้างไฟฟ้า และไม่อยากเห็นมาตรการเฉพาะหน้าในการใช้ภาษีของประชาชนไปอุดหนุนเพื่อลดค่าไฟ สุดท้ายระยะยาวก็ไม่ได้เกิดการส่งเสริมเศรษฐกิจใดๆได้จริง พร้อมย้ำว่า อยากเห็นสิ่งที่เกิดประโยชน์กับประชาชน แต่หากดูคำพูดที่ผ่านมาของพรรคเพื่อไทย ก็ตั้งข้อสงสัยว่า จะเป็นจริงได้หรือไม่
เมื่อถามว่า สุดท้ายแล้วจะกลายเป็นโฆษณาชวนเชื่อหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ต้องรอดู เราก็ไม่อยากเห็นคำพูดที่ดูโตๆ ที่พูดแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ หรือ การคิดไปทำไป เหมือนเช่นที่ผ่านมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี