‘ซูเปอร์โพล’แยก GEN กลุ่มไหนหนุน-ไม่หนุนเปิด‘ซักฟอก’นายกรัฐมนตรี
16 มีนาคม 2568 สำนักวิจัย “ซูเปอร์โพล” เสนอผลสำรวจเรื่อง “ประชาชนคิดอย่างไรต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพผู้ตอบแบบสอบถามรวมทั้งสิ้น 1,125 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 10–15 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา
ผลสำรวจพบว่า จำนวนมากหรือร้อยละ 44.7 เห็นด้วยกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ในขณะที่จำนวนมากเช่นกัน หรือร้อยละ 40.2 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 15.1 ไม่มีความเห็น
เมื่อแบ่งออกตามช่วงอายุ พบว่า กลุ่มวัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะไม่สนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจมากที่สุด (45.1%) ซึ่งอาจสะท้อนถึงการรับข้อมูลข่าวสารและทัศนคติที่แตกต่างจากกลุ่มอื่น ในทางกลับกัน กลุ่มวัยเกษียณมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจมากที่สุด (51.8%) อาจเนื่องมาจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ยาวนานกว่าและการให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของรัฐบาลปัจจุบัน
ขณะที่กลุ่มวัยทำงานมีการแบ่งความคิดเห็นออกเป็นสองฝ่าย โดยมีสัดส่วนของผู้ที่สนับสนุน (42.5%) และไม่สนับสนุน (41.3%) ใกล้เคียงกัน สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันภายในกลุ่มประชากรที่เป็นกำลังแรงงานหลักของประเทศ
เมื่อถามถึงการสนับสนุนให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ พบว่า เกินครึ่งหรือร้อยละ 52.8 สนับสนุน ในขณะที่ร้อยละ 30.5 ไม่สนับสนุน และร้อยละ 16.7 ไม่มีความเห็น
เมื่อจำแนกแบ่งออกตามช่วงอายุ พบว่า วัยรุ่นเป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลให้อยู่ครบวาระมากที่สุด (58.6%) ซึ่งอาจเกิดจากการที่พวกเขามีมุมมองในระยะยาวต่อสถานการณ์ทางการเมือง
กลุ่มวัยเกษียณส่วนใหญ่ (44.6%) ไม่สนับสนุนรัฐบาลอยู่ครบวาระ ซึ่งอาจสะท้อนถึงช่องว่างของความคาดหวังและความพึงพอใจของกลุ่มผู้เกษียณอายุ และความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาลรวมถึงความสามารถในการแก้ปัญหาสังคม
ขณะที่ วัยทำงานมีมุมมองที่ค่อนข้างน่าสนใจ โดย 47.2% สนับสนุนรัฐบาลให้อยู่ครบวาระ ในขณะที่ 35.1% ไม่สนับสนุนอยู่ครบวาระ ซึ่งอาจจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและการเห็นการทำงานของรัฐบาลจากกลุ่มคนวัยทำงานที่เข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองในขณะที่กลุ่มคนไม่สนับสนุนน่าจะมาจากความรู้สึกยังไม่เชื่อมั่นและไม่แน่นอนในกลุ่มประชากรที่รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจของประเทศและปัญหาปากท้องของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ซูเปอร์โพล ยังค้นพบ 5 อันดับแรกของความพอใจผลงานของรัฐบาล ได้แก่ อันดับ 1 ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจบริการ ร้อยละ 68.5 อันดับ 2 ได้แก่ การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ร้อยละ 63.2 อันดับ 3 ได้แก่ ความร่วมมือต่างประเทศ ร้อยละ 55.8 อันดับ 4 ได้แก่ ปราบปรามยาเสพติด ร้อยละ 50.3 และอันดับ 5 ได้แก่ เงินดิจิทัล แจกเงิน ร้อยละ 47.1 ตามลำดับ
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกระบวนการสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่สะท้อนถึงความโปร่งใสและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาล โพลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว รวมถึงแนวโน้มที่รัฐบาลจะสามารถดำรงตำแหน่งครบวาระ ตลอดจนผลงานที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน
รายงานของ ซูเปอร์โพล ได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงวิชาการต่อรัฐบาลและสังคมจากผลสำรวจของ Super Poll ดังนี้
1.การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตยและการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจ จากผลสำรวจ พบว่าประชาชนมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยมีประชาชนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ใกล้เคียงกัน การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่ช่วยให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อประชาชน รัฐบาลควรส่งเสริมให้เกิดกระบวนการตรวจสอบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดเผยและมีเหตุผลมากขึ้น ผ่านกลไกสภาและสื่อมวลชนเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
2.การพัฒนาแนวทางบริหารงานที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในช่วงวัยต่าง ๆ ผลสำรวจพบว่า วัยรุ่นมีแนวโน้มไม่สนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในขณะที่กลุ่มวัยเกษียณส่วนใหญ่สนับสนุน ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างเจเนอเรชัน ดังนั้น รัฐบาลควรพัฒนานโยบายที่สามารถรองรับและสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของแต่ละกลุ่มประชากร โดยอาศัยการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน และการออกแบบนโยบายที่มีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
3.การเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและความเชื่อมั่นของประชาชน การสำรวจพบว่าเกินครึ่งของประชาชนสนับสนุนให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ โดยกลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลให้อยู่ครบวาระมากที่สุด ขณะที่กลุ่มวัยเกษียณเป็นกลุ่มที่ไม่สนับสนุนมากที่สุด ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลที่ยังมีความไม่แน่นอน ดังนั้นรัฐบาลควรเน้นสร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน และเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเมืองผ่านการดำเนินนโยบายที่มีความรับผิดชอบและเป็นที่ยอมรับของประชาชน
4.การปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจและสังคมให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ผลสำรวจระบุว่าประชาชนมีความพอใจสูงสุดต่อผลงานของรัฐบาลในด้านธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ รองลงมาคือการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และความร่วมมือต่างประเทศ นโยบายที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้ควรถูกพัฒนาให้เป็นแนวทางหลักในการบริหารประเทศ ขณะเดียวกัน ควรมีการประเมินผลกระทบของนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกภาคส่วนได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และสามารถแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ปัญหาปากท้อง และความมั่นคงทางอาชีพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและการพัฒนาการสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐบาลควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจทางการเมืองมากขึ้น โดยการสร้างช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ควรมีการเสริมสร้างบทบาทของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลที่เป็นกลาง และกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ในสังคม
จากผลสำรวจของ Super Poll สามารถสรุปได้ว่าประชาชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและการสนับสนุนให้รัฐบาลอยู่ครบวาระ นโยบายที่รัฐบาลควรมุ่งเน้น ได้แก่ การส่งเสริมประชาธิปไตยและการตรวจสอบอำนาจ การพัฒนานโยบายที่สอดคล้องกับกลุ่มประชากรต่างวัย การสร้างเสถียรภาพทางการเมือง การปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจและสังคม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน หากรัฐบาลสามารถดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ได้ จะช่วยให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่างมั่นคงและสร้างความไว้วางใจจากประชาชนได้มากขึ้น
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี