“วิโรจน์”ชำแหละไทม์ไลน์แก้ รธน. ผิดหวังเพื่อนรัฐสภาไม่กล้าหาญ ซัดสภาเป็น “โรงลิเก” หลอกต้มประชาชน โต้ “สุทิน” จะยอมเลื้อย - ซุกอยู่ในรู – อยู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะเจ็บปวดทำไม ฉะคำวินิจฉัยศาลใช้ความกำกวมมาเป็นเหยื่อล่อให้ สส.กลัว สุดท้าย “มะงุมมะงาหรา” เถียงกันไปมา
17 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา วาระพิจารณาเรื่องด่วน 2 เรื่อง ได้แก่ 1.ญัตติด่วน ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ที่มี นพ.เปรมศักดิ์ เพียุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นผู้เสนอ 2.ญัตติด่วนเรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ
ช่วงหนึ่ง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า วันนี้ต้องเล่าเรื่องเก่าให้เห็นเส้นเรื่องว่าการยื้อแก้รัฐธรรมนูญนั้นไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเราจำกันได้ หลังรัฐประหาร ปี 2557 สส.จำนวนมากมายหลายพรรคมีท่าทีแก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านกลไกของสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาโดยตลอด จนกระทั่ง 17 ส.ค. 2563 ฝ่ายค้านของสภาฯชุดที่แล้ว ได้ยื่นเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และมี สส.รัฐบาลยื่นร่างประกบ เวลานั้น สส.กล้าหาญกันมาก วันนี้ตนอยากให้มีความกล้าหาญเหมือนขณะนั้น ความกล้าหาญในอดีตเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่อย่าเอาความขาดเขลาหวาดกลัวในปัจจุบันไปโยนให้คนอื่น ความกล้าหาญที่แท้จริงต้องกล้าหาญทั้งในอดีตและปัจจุบัน ความกล้าหาญในอดีต แต่ปัจจุบันขาดเขลา สยบยอม หงอ มีแต่ประชาชนเขาประนามหยามเหยียด
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 23-24 ก.ย. 2563 ก็มีการประชุมร่วมรัฐสภา ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านมีแนวคิดตรงกันที่จะแก้ ม.256 เปิดให้มี สสร. วันนี้ประชุมกันห้องสุริยันห้องเดิม สิ่งที่หายไปคือเจตจำนงทางการเมือง ซึ่งช่วงนั้น หลังจากอภิปรายข้ามคืน อยู่ดีๆ ก็มีการลุกขึ้นเสนอญัตติแทรก โดยอาศัยข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ให้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่าง สส.และ สว. เพื่อพิจารณาก่อนลงมติในวาระที่ 1 วันนั้นพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล ประกาศไม่ร่วมสังฆกรรม งดส่งคนไปร่วมในคณะกรรมการร่วม ทำให้เหลือคนในกรรมาธิการแค่ 31 คน จากโควตาเต็ม 45 คน
“วันนั้น สส.เรากล้าหาญกันมากๆ ยืนหยัดกันมากๆ ผมต้องขอบคุณคุณสุทิน คลังแสง หนึ่งใน สส. ที่ได้รับการยอมรับนับถือจากในสภาตอนนั้น ถึงกับออกปากวิจารณ์ว่าเข้าร่วมไม่ได้ เป็นโรงลิเกหลอกต้มประชาชน แต่ ณ วันนี้ ท่านสุทิน ผมฟังท่านอภิปราย ว่าโลกแห่งอุดมการณ์ต้องยอมทำตามโลกแห่งความเป็นจริง ผมก็ต้องตั้งคำถามว่าถ้าโลกแห่งความเป็นจริงเป็นโลกแห่งความฟอนเฟะ ที่พยายามกดหัวให้ สส. ที่มีศักดิ์และสิทธิ์ มีศักดิ์ศรีได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ให้สยบยอมกับอำนาจมืด โลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะแบบนั้น เราจะไม่ยอมดึงให้กลับมาอยู่โลกอุดมคติที่ประชาชนพึ่งพาได้จริงๆหรือ จะยอมเลื้อย ยอมสยบ ยอมคุดคู้ จะยอมซุกอยู่ในรู อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ฟอนเฟะเจ็บปวดทำไม” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ อธิบายไทม์ไลน์การประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าหลังจากเหตุการณ์นั้น ดูเหมือนฟ้าจะเปิด จะไปต่อได้ ดูเหมือนพลัง สส.ของเราจะดันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปได้เพื่อพลิกฟื้นประชาธิปไตย มันกำลังจะมีความหวัง แต่สุดท้ายก็มานั่งตีความศาลรัฐธรรมมนูญ
“เราก็อยู่แล้วว่าคำวินิจฉัยของศาลฯมันจะเป็นปริศนาธรรมที่ไม่เคยมีความชัดเจน เอาความกำกวมให้ตีความกันเอง สุดท้ายมันคือคนที่มีอำนาจนิติบัญญัติที่ได้รับจากประชาชน ที่จะต้องอาศัยความกล้าหาญของตัวเองในการใช้อำนาจที่ประชาชนประทานมาให้ ไม่ใช่ไปพึ่งพาศาล หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดที่มีอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน เขากำลังท้าทายว่า สส. ที่มาจากประชาชน จะกล้าใช้อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับมาจากประชาชนหรือไม่ เอาความกำกวมมาเป็นเหยื่อล่อ สุดท้ายการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกคว่ำกลางสภา สุดท้ายก็เป็นความกลัว เนื่องจากเสียงที่ไม่เห็นด้วยมีไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภาในขณะนั้น” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนั้น ตนต้องชื่นชมนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ที่ประกาศว่าไม่ร่วมสังฆกรรมด้วยกับพวกฉ้อฉล ศรีธนญชัย โกหกปลิ้นปล้อนและไร้สาระสิ้นดี นี่คือสภาโจ๊ก
“วันนั้นท่านชาดาพูดได้สะใจผมมาก เราเสียเวลากันมาเพื่ออะไร เราหลอกประชาชนเพื่ออะไร คำวินิจฉัยที่ 4/2564 ของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 เรียบง่ายมากครับ เพียงบอกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการกระทำใหม่ทั้งฉบับ รัฐสภาทำได้ แต่ต้องให้ประชาชนได้ลงประชามติว่าประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าต้องทำประชามติกี่ครั้ง แล้วอยู่ดีๆ ประเทศก็มะงุมมะงาหรา เถียงกันไปมา เรื่องทำประชามติ 2 ครั้งบ้าง 3 ครั้งบ้าง ไม่จบไม่สิ้นผมว่า เผลอๆ เถียงไปมาเดี๋ยวจะมี 4-5 ครั้ง คนที่ไม่คิดว่าจะแก้มันจะหาเหตุผลมารองรับความหวาดกลัวและความขาดเขลาที่จะไม่แก้ แต่คนที่มีเจตจำนงที่แก้ จะจ้องจะพยายามหาทางที่จะแก้ เพื่อให้อำนาจตกอยู่ที่หนึ่งประชาชนอีกครั้งให้ได้” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวไปถึงเหตุการณ์ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นญัตติต่อรัฐสภาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา วันนั้นตนก็ไม่ขัด อยากจะส่งก็ส่ง เพราะยังเชื่อว่าอำนาจนิติบัญญัติยังคงอยู่ในคนที่เป็น สส. ที่ได้รับเลือกจากประชาชน ประชาชนเลือกเราเพราะคิดว่าพวกเราจะกล้าหาญ ใช้อำนาจเพื่อพวกเขา ซึ่งสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ เหมือนตบหน้าอำนาจนิติบัญญัติ ไม่รับคำร้องที่รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความอำนาจของรัฐสภา
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ทำงานอย่างแข็งขันจนทำให้ประธานรัฐสภาบรรจุญัตติแก้รัฐธรรมนูญในวาระ เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ถ้านับตั้งแต่วันที่เราพิจารณาครั้งแรก จนถึงตอนนี้ 4 ปีกว่า จะ 5 ปีแล้ว
“เด็กอายุ 7 ขวบ จะขึ้นปี 1 แล้ว คนอายุ 55 ปี ตอนนี้จะเกษียณแล้ว ถ้าเรายังจะเลื่อนพิจารณาออกไปอีก วันนี้ผมไม่มีทางเลือกอื่น จะส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความอีกเพื่อยื้อเวลาไปอีก ผมก็เห็นด้วยกับคุณสุทิน และคุณชาดา อย่างยิ่ง ว่านี่คือโรงลิเกหลอกต้มประชาชน เป็นสภาโจ๊กที่ประชาชนไม่อาจให้ความหวังได้ ไม่รู้ว่าจะเลือกตั้งนักการเมืองแบบนี้มาทำไม เพราะนักการเมืองเหล่านี้ไม่กล้าหาญที่จะใช้อำนาจนิติบัญญัติที่ประชาชนยกมาให้ด้วยความเต็มใจ วันนี้ประเทศชาติเสียเวลาน้อยกว่าครึ่งทศวรรษแล้วยังจะให้เสียเวลาอีกต่อไปหรือ จะไปซ้ำรอยกับอาจารย์ชูศักดิ์เคยยื่นไปแล้วเพื่ออะไร” นายวิโรจน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี