‘บิ๊กอ้วน-ทวี’บินจีน
ตามติดชีวิต‘อุยกูร์’
พาตม.พิสูจน์ตัวจริง
ยันสื่อได้คุย-ถ่ายรูป
“ภูมิธรรม-ทวี”นำคณะบินเยี่ยม 40 อุยกูร์ที่ซินเจียง ย้ำเพื่อความบริสุทธิ์ใจ เป็นการทำหน้าที่ของเราให้ครบกระบวนการ เผยได้คุย-ซักถามชาวอุยกุร์ไม่ต่ำกว่า 5 คนแน่ พร้อมเปิดให้ถ่ายภาพ และมีเจ้าหน้าที่ ตม.ร่วมคณะพิสูจน์ตัวจริงหรือไม่ เพราะรู้จักคุ้นเคยกันมากว่า 10 ปี ส่วนชื่อจนท.ไทยถูกสหรัฐฯแบล็กลิสต์ บอก กต.แถลงชัดเจนแล้ว ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนป้องไทยปมส่งกลับอุยกูร์ 40 คน ลั่นสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงความร่วมมือสองปท.
เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางร่วมคณะไปมณฑลซินเจียง ประเทศจีน พร้อมนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เพื่อติดตามความคืบหน้าและความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์40 คนที่ไทยส่งกลับไปจีน โดยยืนยันว่าการพิจารณาส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ว่าในรอบ 10 กว่าปี ไทยน่าจะทำเรื่องการทรมานและการกระทำที่โหดร้าย ตามกฎหมายป้องกันการทรมานและการอุ้มหาย และรัฐบาลไทยต้องแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจส่งกลับจีน แต่ในกฎหมายการส่งกลับหากเชื่อว่าจะส่งไปทรมาน หรือโดนกระทำที่โหดร้าย หรือทำให้สูญหาย ประเทศไทยจะมีความผิด เห็นได้ว่าอยู่ในไทย รัฐบาลก็เสี่ยงทำความผิด แต่เมื่อส่งกลับจีนก็ได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นจดหมายทางการทูต และเพื่อให้เกิดความมั่นใจรัฐบาลจีนได้เชิญชวนให้รัฐบาลไทยไปตรวจสอบว่าที่ส่งกลับมายังจีนไม่ได้อยู่ในสภาพที่ทรมาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การตัดสินใจส่งกลับจีนเป็นเพราะไทยถูกบีบจากหลายภาคส่วนใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า เราคำนึงจากหลักมนุษยธรรม ความเป็นมนุษย์ อีกทั้ง เรามีขีดจำกัดเรื่องข้อกฎหมาย เพราะหากจะปล่อยเขา เราก็ทำผิดกฎหมายไทย ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้แล้วว่า การส่งกลับไปเขาจะไม่ได้รับการทรมานหรือถูกฆาตกรรม อีกทั้ง ไทยก็มีอำนาจอธิปไตย และเราคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม หากปล่อยสภาพเช่นนี้ไป เขาก็จะถูกทรมานไปเรื่อยๆ
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าชาวอุยกูร์ที่จีนนำมาให้ตรวจสอบเป็นตัวจริงใน 40 คนที่เราส่งกลับไปล่าสุด พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า เรามีเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)ไปด้วย ที่ดูแลชาวอุยกูร์และอยู่ด้วยกันมาตลอด 10 ปี เขารู้จักกันเป็นอย่างดี
ส่วนจะได้พบชาวอุยกูร์ที่เคยส่งไปในปี 2557 ด้วยหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า การเดินทางครั้งนี้จากการสอบถามทางการจีน ทราบว่าได้เชิญเข้ามาประมาณ 10 คน ซึ่งรัฐบาลจีนส่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ดูเป็นวิดีโอและรูปภาพยืนยัน และสมช.ส่งต่อให้ตม. สิ่งนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนตัดสินใจกลับจีน และตม.ยืนยันว่าจำได้ทั้งหมดทั้งกลุ่มแรกที่ส่งไปและกลุ่มสองที่เพิ่งส่งกลับไปจีน
ถามว่าการเดินทางไปจีนและนำข้อมูลมายืนยันว่าเขาปลอดภัยดีจะทำให้ชาติตะวันตกเข้าใจมากขึ้นหรือไม่ พ.ต.อ ทวีกล่าวว่า ไทยได้รับการยอมรับและเข้าเป็นอนุสัญญาการอุ้มหาย ซึ่งเป็นไม่กี่ประเทศที่สหประชาชาติยอมรับ และเคยระบุว่าคนที่อยู่ในห้องกักขังเข้าข่ายทรมาน จึงอยากให้เข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาลไทย เราไม่ได้ให้น้ำหนักไปประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวอุยกูร์
ถามว่าหลักฐานที่ยืนยันว่าเขายังมีชีวิตอยู่จะทำให้สหรัฐชะลอการจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คนหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีระบุว่า ประเด็นนี้อาจอยู่นอกเหนือการเดินทางไปจีน แต่กระทรวงการต่างประเทศต้องทำความเข้าใจ ซึ่งเราเคารพทุกมุมมองของแต่ละประเทศ ดูจากถ้อยแถลงของสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทยจะเข้มงวดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการส่งกลับชาวอุยกูร์ ทั้ง 40 คนไม่ได้เป็นการห้ามวีซ่า อีกทั้ง รัฐบาลไทยถูกตำหนิมาตลอด ปล่อยให้ 40 ชาวอุยกูร์อยู่ในสภาพทรมาน
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกล่าวถึงรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่สหรัฐฯจะงดออกวีซ่าให้ ผลจากไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีนว่า ยังไม่เห็น เห็นแค่คำแถลง ขอให้ไปดูที่กระทรวงการต่างประเทศว่าใครโดนบ้าง แต่ตนคิดว่าเป็นสิทธิของสหรัฐฯ เขาทำหน้าที่ของเขา เราเองก็ทำหน้าที่ของเรา เราทำสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ได้กังวลหรือมีปัญหาอะไร ต่างคนต่างทำหน้าที่ เราเพียงดูว่าทำอย่างไรจะดีกับเราที่สุด
ส่วนการที่ประเทศนั้นๆไม่ออกวีซ่าให้เจ้าหน้าที่รัฐถือเป็นการออกกฎที่แรงไปหรือไม่นั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขอให้ไปถามกระทรวงการต่างประเทศ ตนคิดว่า กต. แถลงทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า การพาสื่อมวลชนไปเยี่ยมชาวอุยกูร์ จะทำให้สถานการณ์ที่ไทยถูกมองเป็นบวกขึ้นหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็อย่าไปคิดลบ การเดินทางไปครั้งนี้เป็นไปตามที่เราคุยและตกลงกันไว้กับสื่อ ทำให้ทุกอย่างเห็นว่าการพูดทุกอย่างของเรา ไม่ใช่การแก้ตัว เมื่อเราส่งไปแล้วก็อยากไปดูติดตาม ไปขอพบ จะได้ชัดเจน เมื่อไปพบแล้วเขาพูดมาอย่างไร ก็อยู่ที่เขาแล้ว คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาจินตนาการหรือวิพากษ์วิจารณ์ ถ้าชาวอุยกูร์บอกว่าดีแล้วได้กลับมาบ้านเกิด ได้มาอยู่ที่นี่ดีกว่าให้ไปอยู่ในคุกตั้ง 11 ปี ทุกคนก็จะได้รู้ได้ฟังตามนั้น สื่อก็ไปซักกันเอง ไม่มีปัญหา
ส่วนจะมีโอกาสได้รับฟังจากปาก 40 ชาวอุยกูร์ที่กลับไปหรือไม่ว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์เป็นอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ตนพาไปเจอพวกเขาแล้วนี่ไง และเมืองที่เราไปในมณฑลซินเจียงไกลมาก ไม่ได้ติดเมืองหลวง คนส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อยู่ชายแดนแถวนั้น ซึ่งภูมิประเทศแถบนั้นแค่มณฑลเดียวใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 3 เท่า กว้างใหญ่ไพศาล ฉะนั้น เขาพยายามจัดคนที่อยู่ใกล้ๆมาพบกับเรา ส่วนคนที่อยู่ไกลตนได้บอกว่าจัดผ่านซูมเข้ามาก็ได้
“นอกจากนี้ จะไปหมู่บ้านที่มีชาวอุยกูร์ที่กลับไปอยู่ เราจะเข้าไปดูและพูดคุย โดยให้สื่อที่ไปกับเราสักสองคน เป็นตัวแทนเข้าไปพูดคุย ส่วนคนอื่นจะเข้าไปถ่ายครั้งละ 2 คน เพื่อเก็บบรรยากาศ เพราะเขาบอกว่าบ้านเขาเล็ก ถ้าอยู่ๆ เอาสื่อเข้าไป 10-20 คนก็แน่นไปหมด ส่วนจะซักถามอะไรก็ซักถามไป คนอื่นก็เข้าไปเก็บบรรยากาศ หมุนเวียนกันไปให้ครบทุกคน”นายภูมิธรรมชี้แจง
และว่า ชาวอุยกูร์ที่คณะไปพบจะกี่คนไม่ทราบ แต่คิดว่าไม่ควรต่ำกว่า 5 คน ตนบอกไปแล้วว่าให้มาพอสมควร เพราะเราไปได้แค่ 2 วัน และเรายังมีเรื่องอื่นอีก เนื่องจากเราต้องไปคุยกับผู้นำอิสลามที่เหมือนจุฬาราชมนตรีในประเทศไทยว่ารู้สึกอย่างไร เพราะเป็นคนละศาสนา ไปคุยกับหมอที่โรงพยาบาล และไปที่ศูนย์ฝึกอาชีพของเขา ตนว่าเพื่อความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรพิเศษกว่านั้น เราไปทำหน้าที่ของเราให้จบครบตามกระบวนการ
ขณะที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีสหรัฐฯ ประกาศระงับวีซ่าเดินทางเข้าประเทศแก่เจ้าหน้าที่รัฐของไทยกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับจีน รวมถึงตัวของนายกฯด้วยหรือไม่ โดย น.ส.แพทองธารย้อนถามสื่อว่า “มีไหมค่ะ” เมื่อถามย้ำว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดจึงอยากถามความชัดเจน นายกฯ กล่าวว่า “ยังไม่มีนะคะ ยังไม่ทราบ” ถามว่าจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจกับสหรัฐฯหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า จริงๆเรื่องข้อมูลให้กระทรวงการต่างประเทศช่วยอธิบาย เราไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วกับสหรัฐฯ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ถามอีกว่า ความเสียหายจากการถูกแบนครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง นายกฯกล่าวว่า เดี๋ยวพูดคุยกัน ไม่ได้หนักหนา เราต้องพูดคุยกัน ถ้าเราพูดคุยกันก็จะโอเค กรณีส่งชาวอุยกูร์40 คนกลับจีนช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงคัดค้านของนานาประเทศ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั่วโลก โดยเฉพาะรัฐสภาสหภาพยุโรป มีมติประณามไทย และให้ใช้เรื่องการเจรจา FTA เป็นเครื่องมือกดดันรัฐบาลไทยในการดูแลสิทธิมนุษยชน
วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวจาก เหมา หนิงโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาแสดงท่าทีเป็นครั้งแรก โดยระบุว่าการส่งกลับชาวอุยกูร์40 คน เป็นความร่วมมือระหว่างจีนและไทย ในการต่อสู้กับการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่สอดคล้องกับกฎหมายทั้งสองประเทศ สหรัฐฯ ไม่มีสิทธิแทรกแซงใดๆ และมองว่าสหรัฐฯพยายามทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง ดำเนินการแบบ 2 มาตรฐาน เพื่อปราบปรามผู้เห็นต่าง ทั้งที่สหรัฐฯเองก็เนรเทศคนเข้าเมืองผิดกฎหมายไปกว่า 270,000 คนในปีก่อน
“จีนขอประฌามการใส่ร้ายที่มุ่งร้ายใดๆ และการคว่ำบาตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเล็งเป้าเล่นงานจีนและไทย และคัดค้านอย่างถึงที่สุดต่อการที่สหรัฐฯ ใช้ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นข้ออ้างที่บิดเบือนประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซินเจียง แทรกแซงกิจการภายในจีนของ และก่อความปั่นป่วนต่อความร่วมมือบังคับใช้กฎหมาย ระหว่างจีนและประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง”โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี