"วิป 3 ฝ่าย"คุยต่อรองกรอบเวลาจ้อศึกซักฟอก! "รัฐบาล"ถอยให้สุดแล้ว เฟิร์มที่ 23+7 มากกว่านี้ไม่ได้ ด้าน"ฝ่ายค้าน"ลั่นไม่ยุติธรรม ขณะที่"ผู้นำเท้ง"ขู่วันจริงเจอแน่ ไม่ใช่แค่คำว่า"บุคคลในครอบครัว" แจงแค่เขียนเป็นทางการในญัตติ ลามโยงทิ้งบอมบ์ถึง"ยิ่งลักษณ์"เป็นไปได้ ฉายตัวอย่างธีม"ดีลแลกประเทศ"เอื้อ"ชินวัตร" รอดูฝีมือ"นายกฯอิ๊งค์"จะคุมเสียง-สั่งรมต.ชี้แจงแทนได้หรือไม่
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และตัวแทนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือ วิป 3 ฝ่าย โดยมี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม , นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ในฐานะตัวแทนคณะรัฐมนตรี (ครม.) , นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานวิปรัฐบาล , นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการวิปรัฐบาล พร้อมด้วย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร , นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน , นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน , นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะวิปฝ่ายค้าน เข้าร่วมประชุม เพื่อหารือเรื่องกรอบระยะเวลาในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151
โดยก่อนเริ่มการประชุม นางมนพร ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า จากที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือสอบถามไปที่ ครม.เรื่องการกำหนดเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ทาง ครม.มีหนังสือแจ้งกลับมาว่า ครม.มีความพร้อมในการที่มาตอบข้อชี้แจง ช่วงวันที่ 24 - 25 มี.ค.และลงมติในวันที่ 26 มี.ค.เนื่องจากในวันที่ 27 มี.ค.นั้น นายกรัฐมนตรีได้กำหนดวาระการประชุม ครม.
ด้าน นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ฝ่ายค้านเห็นความสำคัญของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เนื่องจากเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่ฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบได้ โดยที่ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถใช้สิทธิปฏิเสธ จึงควรให้ใช้เวลาอย่างเต็มที่ตามเนื้อหาที่ได้เตรียมมา ส่วนจะเป็นกี่วันนั้น คงจะขยับเขยื้อนและพูดคุยกันได้ แต่อย่างน้อย อยากจะขอให้ฝ่ายรัฐบาลไม่บิดเวลาฝ่ายค้านมากจนกระทบกับเนื้อหาที่เราได้เตรียมไว้
ขณะที่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า จากที่ฝ่ายค้านเสนอเรื่องกรอบระยะเวลาที่จะใช้ในการอภิปรายไปเมื่อครั้งก่อนที่ผ่านมา ตนได้นำเรื่องดังกล่าวไปหารือในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า เราให้ฝ่ายค้านเยอะที่สุดแล้วคือ 23 ชั่วโมง หากจะอภิปรายคนละครึ่งชั่วโมงจะได้ 40 กว่าคน แต่หากอภิปรายคนละ 1 ชั่วโมง จะได้ 23 คน แต่ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลจะได้ 7 ชั่วโมง ซึ่งอาจมีการพาดพิงรัฐมนตรีคนใดก็อาจจะต้องใช้เวลาในการชี้แจง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ดังนั้น ยืนยันว่าการอภิปรายต้อง 2 วัน อาจจะเริ่มเช้าหน่อย ก็แล้วแต่ประธานจะนัด ซึ่งพรรคเพื่อไทยพร้อมแล้วที่จะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตั้งแต่ช่วงเวลา 08.00 น.ทุกคนพร้อมที่จะมาเป็นองค์ประชุม ทั้ง 2 วัน ฉะนั้น ย้ำว่ายืนยันในหลักการเดิม พวกตนถอยให้สุดแล้ว มากกว่านี้คงไม่ได้ และขอให้ประธานพิจารณาว่าหากจะเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น.ก็จะได้เวลาทั้งหมด 32 ชั่วโมง ไม่ใช่ 30 ชม.ซึ่งถือว่าเยอะเกิน
อย่างไรก็ตาม นายปกรณ์วุฒิ ขอชี้แจงว่า การที่รัฐบาลจะไปกำหนดว่าให้เวลาเท่านั้นเท่านี้ ดูจะไม่เป็นธรรมกับเราเท่าไหร่ เนื่องจากฝ่ายค้านเป็นฝ่ายที่ต้องเตรียมเนื้อหา ซึ่งหากนายกรัฐมนตรี หรือ ครม.อยากได้เวลาเท่าไหร่เราก็เคารพ
ส่วน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้การอภิปรายเดินหน้าอย่างราบรื่น ซึ่งควรจะต้องมีข้อสรุปให้ได้ว่าจะอภิปรายในกรอบเวลากี่ชั่วโมง รวมถึงกติกาในการหักเวลาระหว่างกัน เช่น การประท้วงควรจะต้องไปหักเวลาในแต่ละฝ่าย เพื่อไม่ให้กินเวลาฝ่ายอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้สิ่งที่ตนคาดหวังคืออยากให้หาข้อสรุปตรงกันให้ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลมีมติให้เวลาฝ่ายค้าน 23 ชั่วโมง และฝ่ายรัฐบาล 7 ชั่วโมง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า เชื่อว่ายังสามารถปรับยืดหยุ่นกันได้ แต่ส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการตั้งกรอบจำนวนวัน ที่ควรจะต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพในการประชุมมากที่สุด เช่น ไม่ควรจะต้องเลิกดึกเกินไปเพราะนายกรัฐมนตรีคงไม่สามารถชี้แจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องเลิกใกล้เที่ยงคืน
"ท่านนายกฯ ก็คงรวบรวมประเด็นได้ไม่หมด อีกประการหนึ่งคือ ประชาชนที่กำลังรับฟังอยู่ทางบ้าน อาจจะรับฟังได้ไม่ทั่วถึง เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าหลักที่สำคัญถ้ารัฐบาลเปิดกว้าง ควรจะต้องยึดหลักว่าต้องให้อภิปรายอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างมากที่สุด" ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าว
เมื่อถามว่า หากต่อรองเวลาฝ่ายค้านเป็น 25 ชั่วโมง จะรับได้หรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนยังไม่อยากให้ข่าวก่อนถึงเวลา ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นการเสียมารยาทด้วย ยืนยันในหลักว่าเราสามารถปรับยืดหยุ่นกันได้เสมอ แต่หลักที่ควรจะมีร่วมกันคือการทำให้การอภิปรายครั้งนี้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด ฝั่งรัฐบาลเองก็พูดเสมอว่าอยากให้ฝ่ายค้านอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ สำหรับตนการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์คือประชาชนสามารถติดตาม รับทราบข้อมูลข่าวสารได้อย่างถ้วนหน้า
เมื่อถามถึงสาเหตุของการเปลี่ยนชื่อในญัตติจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลในครอบครัว นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คำว่าบุคคลในครอบครัวสามารถอภิปรายได้กว้างขึ้น ซึ่งธีมในการอภิปรายครั้งนี้คือคำว่าดีลแลกประเทศ หมายความว่า เรามองเห็นว่าพรรคเพื่อไทยเอาผลประโยชน์ของประเทศมาแลกกับผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัว เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนชื่อจากนายทักษิณ เป็นบุคคลในครอบครัว สำหรับพวกเราเองมองว่าเป็นการเปิดกว้างในการอภิปรายได้มากขึ้นด้วยซ้ำ
"ในเรื่องของการใช้คำในการอภิปราย ในวันจริงผมเชื่อว่าจะมีคำอีกหลากหลาย นอกเหนือจากคำว่าบุคคลในครอบครัว การใช้คำว่าบุคคลในครอบครัวเป็นภาษาทางการ ที่ใส่เป็นภาษาเขียนไว้ในญัตติ แต่ผมคิดว่าเป็นคำที่ค่อนข้างมีความเหมาะสมดีแล้ว" นายณัฐพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีการวิเคราะห์กันว่าการใช้ของบุคคลในครอบครัว สามารถลากเอาญาติคนอื่นมาได้ด้วย เช่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะได้เห็นในการอภิปรายหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ แต่ก็อยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ที่เรามองว่าการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ รวมถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่ได้เอาผลประโยชน์ของประชาชนของประเทศเป็นตัวตั้ง แต่เอาผลประโยชน์ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรเป็นตัวตั้ง
เมื่อถามว่า ข้อมูลที่อธิบายลึกแค่ไหน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีหลายส่วนที่ได้มา เราไม่เคยเปิดเผยผ่านสื่อมวลชนมาก่อน ยืนยันว่า ประชาชนจะได้รับประโยชน์สูงสุด
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า การอภิปรายในครั้งนี้ ถ้าจะเล็งเห็นผลถึงการลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีเลย ต้องเรียนตามข้อเท็จจริงว่าเป็นไปได้ยาก แต่ข้อมูลที่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ ตนเชื่อว่าจะใช้เป็นหลักฐานในการยื่นฟ้องร้องต่อไป ถ้านายกรัฐมนตรีไม่สามารถชี้แจงได้อย่างชัดเจน ข้อมูลหลักฐานในครั้งนี้มีแนวโน้มสูงที่จะนำไปสู่การยื่นถอดถอนได้ในอนาคต
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านอีกคนที่ถูกจับตา คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จะมีการแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า มีการแบ่งกันอยู่แล้ว พรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมาก็แสดงจุดยืนว่าจะขออภิปรายด้วย อย่างไรก็ต้องมีการจัดสรรเวลาอยู่แล้ว ส่วนภายในจะให้ใครมาเป็นผู้อภิปรายของพรรคพลังประชารัฐ เป็นเรื่องของแต่ละพรรค ยืนยันว่า จำนวนเสียงในการลงมติ จะสะท้อนส่วนสำคัญว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพมากน้อยขนาดไหน เพราะฉะนั้น ทุกคะแนนเสียงที่จะโหวตเห็นชอบให้กับนายกรัฐมนตรี จะเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถประเมินได้ว่าตกลงแล้ว นายกรัฐมนตรีสามารถควบคุมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลได้จริงหรือไม่ จะมอบหมายให้รัฐมนตรีชี้แจงแทนได้หรือไม่
เมื่อถามว่า จะฉายภาพให้เห็นถึงรอยร้าวพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการดำเนินงานในฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายต่างๆ ที่ไม่สามารถเดินหน้าได้ พอพรรคร่วมรัฐบาลไม่เอา พรรคเพื่อไทยก็ต้องถอยตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว การอภิปรายในวันครั้งนี้ จะยิ่งเป็นการชี้ให้สังคมเห็นว่าปัญหาของรัฐบาลชุดนี้คือเรื่องนี้จริงๆ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี