รุมถล่มยับหวั่นซ้ำรอยเงินดิจิทัล
จี้ถามนายกฯอิ๊งค์
คุยกับพ่อเรื่องซื้อหนี้เสียหรือยัง
‘จุลพันธ์’มั่นใจเกิดในรบ.นี้
ได้หมื่นเฟส 3 ก่อนสงกรานต์
เอาแน่!“จุลพันธ์”มั่นใจแนวคิด“ทักษิณ”ซื้อหนี้ประชาชนจาก“แบงก์” เกิดในรัฐบาลนี้แน่ รอความชัดเจน ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียด ด้านฝ่ายค้านดักคอ หวั่นซื้อหนี้เสีย ซ้ำรอยดิจิทัล วอลเล็ต เสียหายมากกว่า จวก“จุลพันธ์”ไม่เข็ด พูดกลับไปกลับมา ไล่ถาม“นายกฯ”คุยกับ“พ่อ”ในรายละเอียดแล้วหรือยัง ด้าน“ประเสริฐ”เผยแจกเงินหมื่นเฟส 3 กลุ่ม 16-20 ปี คาดก่อนสงกรานต์-กระตุ้นศก. โปรยยาหอม “กลุ่ม 21-59 ปี”ได้แน่แต่รอก่อน
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวถึงแนวคิดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน จะซื้อหนี้ประชาชนจากธนาคารว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียด เป็นเรื่องที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ซึ่งคิดมานานแล้ว แต่วันนี้เป็นเพียงแนวทาง ยังไม่มีความคืบหน้า แต่คงมีไม่กี่แนวทางที่จะดำเนินโครงการ
เมื่อถามว่าเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีกับนายพิชัยเห็นไปในแนวทางเดียวกันน่าจะเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ตนมองว่าเกิดได้ แต่ไม่มีความแน่นอน ตนไม่ใช่คนที่คุยเรื่องนี้ และยังไม่มีข้อสรุป จึงไม่สามารถตอบแทนได้ เมื่อถามว่าจะเกิดขึ้นภายในรัฐบาลนี้ได้หรือไม่ นายจุลพันธ์ ยืนยันอีกว่า“เกิดครับ”
ด้านน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯมีแนวคิดให้รัฐบาลรับซื้อหนี้เสียคืนจากประชาชนว่าประเด็นแรกจะซื้อออกมาในปริมาณเท่าไหร่ ซึ่งนายทักษิณระบุว่าจะซื้ออกมาทั้งหมด เพียงแค่หนี้ Non-Performing Loan หรือ NPLก็มีมูลค่าหนี้อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท แต่เวลาธนาคารขายหนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ก็ไม่ได้ขายมูลค่าหนี้สินในราคา 100 เปอร์เซนต์
“ถึงแม้จะไม่ได้เงิน1.2ล้านล้านบาทก็ยังต้องใช้ถึง 3-5แสนล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่าจะต่อรองกับธนาคารพาณิชย์ว่าจะซื้อในราคาเท่าไหร่ แต่มูลค่าที่ต้องใช้ในการซื้อยังสูงมาก ปัจจุบันเรามีบริษัทในการซื้อหนี้กับธนาคารพาณิชย์อยู่แล้วที่มีอยู่เรียกว่าธนาคารบริหารสินทรัพย์อยู่ประมาณ 87 แห่ง มีมูลค่ารวมของหนี้ที่จัดการกันทั้งหมดแค่ 3 แสนล้านบาทเท่านั้น ถ้าจะต้องใช้เงินมากขนาดนี้ บริษัทบริหารสินทรัพย์อยู่เอาเงินมารวมกันก็ยังไม่มีเงินซื้อ”น.ส.ศิริกัญญากล่าว
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า มีการระบุว่าจะไม่ใช้เงินจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว ก็ต้องถามกลับว่าจะใช้เงินใคร รูปแบบการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ มีการทำกันในหลายประเทศมีทั้งสำเร็จและล้มเหลวแต่ต้องดูเหตุและปัจจัยอื่นด้วย อีกทั้งนายทักษิณได้ระบุว่าจะนำชื่อลูกหนี้ออกจากเครดิตบูโรด้วย ตนมองว่าหากลบออกหมดจะกลายเป็นคนไม่มีประวัติซึ่งจะทำการกู้ยาก ควรมีวิธีทำให้เป็นประวัติดี เพื่อให้มีประวัติในการที่จะไปกู้ใหม่น่าจะดีกว่า แค่ถ้าถามว่าลูกหนี้จะได้ประโยชน์หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าจะต่อรองซื้อได้เท่าไหร่ ยิ่งรัฐบาลจ่ายเงินซื้อเยอะ ลูกหนี้จะต้องจ่ายหนี้ขึ้นเยอะด้วย
“ไม่แน่ใจว่าจะใช้วิธีใดในการช่วยเหลือประชาชน เป็นรายระเอียดที่เราตอบไม่ได้ ต้องรบกวนสื่อมวลชนไปถามนายทักษิณอีกสักรอบ หรือไปคั้นจากตัวต้นคิดคือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าตกลงตอนคุยกับพ่อคุยไว้ว่าอย่างไรในเรื่องของรายละเอียด”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่ได้เคยแสดงวิสัยทัศน์ไว้นานแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไร ในช่วงนี้คงต้องการดึงความเชื่อมั่นในการแก้ไขเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่นายทักษิณเดินทางไปจ.พิษณุโลกจึงมีความจำเป็นที่ต้องพูดอะไรโดนใจประชาชนที่มีปัญหา จึงต้องนำเรื่องนี้กลับมาขายใหม่
เมื่อถามว่าเป็นการแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่เพราะหนี้ส่วนใหญ่ของคนไทยเป็นหนี้ที่อยู่นอกระบบ น.ส.ศิริกัญญาตอบว่าไม่ตรงจุดแน่นอน ตนมองธนาคารพาณิชย์ได้ประโยชน์ที่สุด ะจะได้เคลียร์หนี้เสียที่มีอยู่ ถ้าถามว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีได้เลยหรือไม่ก็ยังต้องทำอีกหลายเรื่อง พราะแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตไม่ดี สุดท้ายธนาคารก็ยังไม่ปล่อยกู้ใหม่อยู่ดี เพราะเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตจะมีแต่ต่ำเตี้ยไปเรื่อย กลัวจะไม่ได้เงินคืน
เมื่อถามว่าจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่ต้องจ่ายหนี้ก็ได้ เพราะเดี๋ยวรัฐบาลก็มาจัดการ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ส่วนนี้เป็นอีกปัญหา เมื่อมีข่าวว่าจะช่วยประชาชนก็เริ่มลังเลว่าจะจ่ายดีหรือไม่ ถือเป็นอันตรายอีกแบบสำหรับระบบเศรษฐกิจ
ส่วนที่ยังไม่มีแนวทางชัดเจนจากกระทรวงการคลังนั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง ยืนยันขนาดนั้นหรือไม่ เพราะสัมภาษณ์เมื่อเช้าก็บอกว่ามีความเป็นไปได้ และ มีความเป็นไปไม่ได้อยู่ดูแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะหลายครั้งที่รับนโยบายมาแล้วทำไม่เสร็จ ก็เสียเครดิตไปเยอะ รอบนี้เลยรู้สึกถึงความแบ่งรับแบ่งสู้ของนายพิชัย ส่วนคนที่ยังมั่นใจว่าทำได้แต่นอน คือ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังซึ่งอาจจะยังไปเข็ดกับการออกมาพูดกลับไปกลับมาของโครงการดิจิทัลวอเล็ต ตนมองว่าอาจจะซ้ำรอยกับดิจิทัลวอเล็ต แต่ความเสียหายอาจจะมากกว่า
ขณะที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 วงเงิน 10,000 บาท สำหรับกลุ่มอายุ 16-20 ปี จำนวน 2.7 ล้านคนว่า ตั้งเป้าแจกช่วงต้นเดือน เม.ย.68 หรือก่อนเทศกาลสงกรานต์ ขณะที่กลุ่มผู้มีสิทธิ์ช่วงอายุ 21-59 ปี รัฐบาลยืนยันจะได้รับเงินตามแผนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเป็นไปตามนโยบายที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งเงินจะถูกโอนผ่านระบบชำระเงินดิจิทัลที่พัฒนาขึ้นเฉพาะโครงการ โดยสามารถใช้จ่ายในร้านค้าภายในประเทศที่เข้าร่วมโครงการได้
โดยขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างการตรวจสอบความพร้อมของระบบชำระเงิน เมื่อวันที่ 18 มี.ค.68 มีการทดสอบรอบแรก เพื่อประเมินเสถียรภาพของระบบ คาดว่าจะได้รับผลสรุปภายในสัปดาห์นี้ หากพบข้อบกพร่องจะมีการปรับปรุงให้พร้อมใช้งานก่อนเริ่มโอนเงินจริงให้ประชาชน ส่วนการทดสอบรอบที่ 2 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 24-31 มี.ค.68 คาดว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหาร จะเข้าร่วมสังเกตการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่า ระบบสามารถรองรับการทำธุรกรรมจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ ยืนยันรัฐบาลมีงบประมาณเพียงพอสำหรับดำเนินโครงการ พร้อมมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสสูงสุด ป้องกันการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ โดยเตรียมวางระบบตรวจสอบที่รัดกุม และดำเนินการลงโทษตามกฎหมาย หากพบการกระทำผิด เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี