"กัณวีร์"เป็นงง! "ผู้หญิงญาติอุยกูร์"กอด"ภูมิธรรม"ได้อย่างไร รับไม่ได้"กลาโหม"พาสื่อบินดูความเป็นอยู่ ข้องใจได้ข้อมูลจริงหรือไม่ เหตุสื่อมวลชนเองยังถูกปิดปาก เผย"อภิปรายไม่ไว้วางใจ"ได้เวลา 40 นาที เจอแน่ เตรียมเปิดหลักฐาน"จดหมายผิดซอง-คลิปเสียง"
เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 ที่รัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีรัฐบาลไทย นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และคณะ พาสื่อมวลชน เดินทางไปยังเมืองซินเจียง เพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ หลังส่งกลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า จริงๆ แล้วไม่อยากจะมีความเห็นกับการที่รัฐบาลไทยได้มีการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียน เพราะจริงๆ แล้วตนเองไม่เห็นชอบตั้งแต่แรกในการผลักดันกลับ ตนถามเสมอมาว่าความสมัครใจของผู้ลี้ภัย 40 ชีวิต ที่เป็นชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องกักของ สตม.มา 11 ปี เขามีความสมัครใจขนาดไหน มีหลักฐานอะไรมายืนยันบ้าง ให้กับประชาคมระหว่างประเทศเห็นถึงความสมัครใจ ซึ่งหนึ่งในการแก้ไขปัญหาของผู้ลี้ภัยคือการสมัครใจเดินทางกลับประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไทยไม่สามารถชี้แจงในเรื่องหลักฐานต่างๆ ได้
"สุดท้ายเป็นเหมือนการตบหัวแล้วไปลูบหลัง ที่บอกว่าเราจะไปเยียวยาเขา จะส่งผู้บริหารระดับสูงตั้งแต่รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง เดินทางไปเยี่ยมเยียน เราเห็นเมื่อวานนี้ว่ามี 4 คน ที่ทางรองนายกฯ ไปพบ 2 คน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไปพบอีก 2 คน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นการพูดคุยผ่านระบบซูม" นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า การกลับไปเยี่ยมเยียนแบบนี้ ทุกคนทราบ พี่น้องประชาชน และสื่อมวลชนทราบดี ประชาคมระหว่างประเทศทราบดีแน่ๆ ว่าเป็นรูปแบบอย่างไร ซึ่งพี่น้องชาวอุยกูร์เป็นชาวมุสลิม ซึ่งเมื่อวานนี้ ภาพที่ออกมาน่าตกใจพอสมควร ที่มีการกอดแขนท่านรองนายกฯ โดยผู้หญิงชาวอุยกูร์ที่บอกว่าเป็นคุณแม่ และน้องสาว หรือพี่สาว ตอนที่ตนเองไปเจอผู้หญิงมุสลิม ต้องใส่ฮิญาบ จึงมองว่าไม่สามารถเป็นขนาดนั้นได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นภาพที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง ถ้าบอกว่าความพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว ตนเองว่าพี่น้องมุสลิมทั่วโลก คงบอกว่าอันนี้ไม่ใช่การพัฒนาในเชิงศาสนา แต่เป็นการสร้างภาพหรือไม่ ดังนั้น จึงมีอะไรหลายอย่าง และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่แสดงให้เห็นว่ามันไม่จริง ความเป็นจริงในการเดินทางกลับไปดูแล้วต้องแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นใครอยู่ที่ไหน โดยจากการเช็คข้อมูลของตนเองสามารถบอกได้ว่าเป็น 2 ใน 40 คน ที่เดินทางกลับไป แต่กลับแล้วเป็นอย่างไรก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ย้อนแย้งต่อสายตาประชาคมโลก
เมื่อถามว่า ภาพที่ออกมาจะสามารถยืนยันได้ชัดเจนหรือไม่ว่าพวกเขาปลอดภัย นายกัณวีร์ กล่าวว่า ข้อกังขาในเวทีระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าเขากลับไปแล้วอยู่ดีมีสุขหรือไม่ แต่คือความสมัครใจของพวกเขา รัฐบาลหากจะทำขนาดนี้ในการเดินทางกลับไป ควรเอาหลักฐานออกมาดีกว่า ว่าเขาสมัครใจ กลไกที่มามีกระบวนการการพูดคุยระหว่าง สถานทูตจีนในประเทศไทย และ สตม.มีหลักฐาน รูป วิดีโอ หรือไม่ โดยคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ถามขอภาพ CCTV แต่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง บอกว่าไม่มีอัดไว้ มีแต่เรียลไทม์ ดังนั้น ทุกอย่างไม่มีหลักฐาน ซึ่งมองว่าเป็นข้อกังขาใหญ่
เมื่อถามถึงคำสัมภาษณ์ของชาวอุยกูร์ ที่บอกว่าเต็มใจกลับจีน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีการถูกชักจูงจากกลุ่มหัวรุนแรง รวมถึงไม่มีจดหมายที่เขียนออกมา นายกัณวีร์ กล่าวว่า "ผมเสียดายนะ เสียดายในเรื่องภาษีพี่น้องประชาชนที่เอาบินไปประเทศจีน แล้วก็เอาไปหาข้อมูลจดหมายของผม 3 ฉบับ ว่าเป็นจดหมายฉบับจริงหรือไม่ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมว่ามันไม่ควร ภาษีพี่น้องประชาชนก็ตามไปต่อต้านข่าวกรองในเรื่องที่ผมมี"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า จริงๆ แล้วการเดินทางกลับไป ถ้าใช้มาตรฐานสากลจริงๆ คือ individual choice การตัดสินใจรายบุคคล การที่จะบอกว่าคน 2 คน แล้วเป็นของบุคคลทั้งหมด 40 คนนั้น ไม่จริง 40 คนตอนนี้อยู่ที่ไหน เราเห็นแค่ 4 คนเท่านั้น เห็นแค่จากรูปถ่ายและวิดีโอ เราไม่สามารถบอกได้ว่าอีก 30 คนไปไหน และยังมีข้อมูลอันนึงที่บอกว่ามีคนนึงอยู่กับพี่สาว ทำงานอยู่ และอยู่คนละเมืองกับภรรยา และลูก ตนเองจึงตั้งคำถามว่า เมืองไหน เพราะฉะนั้น เมืองที่เขาพูดอยู่ตรงไหน คือหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ต้องแสดงข้อเท็จจริง แต่ตอนนี้เป็นกระแสในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ออกมาจากฝั่งเดียว คำครหาคือการผลักดันกลับในตอนแรก คือความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย และรัฐบาลจีน การเดินทางกลับไปเยี่ยมคนที่กลับไป ก็เป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลจีน เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า คุณจะมีข้อพิสูจน์อะไรมีองค์กรกลางใดๆ สามารถไปเยี่ยมชมได้เช่นกันในการที่บอกว่าใช่ ไม่ใช่
"ผมว่าพี่น้องสื่อมวลชนเองก็เหมือนกัน ก็โดนเลือกไปเหมือนกันว่าจะมีใครไปได้บ้าง และหลายคนไม่สามารถเดินทางไปได้ เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสิ่งที่ผมมองว่าไม่ตอบโจทย์ จึงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรต่อ" นายกัณวีร์ กล่าว
เมื่อถามว่า การเดินทางไปในครั้งนี้เพื่อแก้ต่างให้จีนหรือไม่ นายกัณวีร์ กล่าวว่า เป็นการแก้เกม ตนเองเคยอยู่ในแวดวงของความมั่นคงก็รู้ว่า คิดอะไรทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป การโชว์มามันไม่ตอบโจทย์ความเป็นจริง
"ผมพยามจะมองข้ามในเรื่องเกี่ยวกับการกลับไปเยี่ยมเยียนครั้งนี้ เพราะว่ารับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่พอยิ่งกลับไปดูว่าเขาทำอะไรออกมา สร้างภาพอะไรออกมา ผมยิ่งรับไม่ได้ และในเวทีระหว่างประเทศยิ่งรับไม่ได้" นายกัณวีร์ กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าสื่อที่ถูกเลือกไปก็ถูกปิดปาก นายกัณวีร์ กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบว่าถูกปิดปากหรือไม่แต่ว่าเราเห็นข้อมูลต่างๆ ออกมาเป็นอย่างไรบ้างรูปต่างๆ ที่เราเห็นก็เห็นว่ามีการเบลอหน้าทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่จีน มีเพียงเจ้าหน้าที่ไทยที่ไม่ต้องเบลอหน้า แล้วทำไมเราถึงไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าบอกว่าการเดินทางกลับไปในครั้งนี้ เป็นการแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องผู้ลี้ภัย ทุกคน ณ ปัจจุบันนี้ จะไม่ใช่เหยื่ออีกต่อไป ทุกคนต้องกลับไปคืนสู่สังคมได้แล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปนี่เป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจตนเองเช่นกัน
นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า ตอนแรกเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจเตรียมไว้ 3 เรื่อง คือ เรื่องชายแดนใต้ ชายแดนไทยเมียนมา และเรื่องอุยกูร์ แต่ตอนนี้เห็นว่าเป็นประเด็นที่มีรายละเอียดเยอะ จึงจะมุ่งเน้นอภิปรายเรื่องอุยกูร์อย่างเดียวทั้งหมด 40 นาที นำหลักฐานทั้งหมดมาแสดงให้เห็น หลักฐานต่างๆ ที่บอกว่าเป็นจดหมายผิดซอง คลิปเสียง ภาพ ไทม์ไลน์ต่างๆ ออกมาว่ามันมีข้อกังขาอะไรบ้าง ที่ทำให้ไม่สามารถตอบอย่างชัดเจนได้
นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีการโต้ว่าจดหมายที่ออกมาเปิดเผยนั้นไม่มีอยู่จริง ว่า ก็ไปถามคนเดียวสองคน ถ้าจะให้ 40 คนเขียน ก็ต้องเขียนคนละตัว เวลาไปถามคน ก็ไปถามคนที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ คนที่เขียนจดหมายก็ต้องเป็นคนที่รู้ภาษาอังกฤษ ดังนั้น คงจะถามผิดคนเช่นเดียวกัน
"ถ้าบอกผมจดหมายผิดซอง เขาก็ถามผิดคน" นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ตนยืนยันในหลักฐานที่มีอยู่ และในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะมีหลักฐานมากกว่านั้นอาจจะเป็นซีรี่ส์เลยเพื่อให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเราต้องเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าเกิดอะไรขึ้น
นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่ผู้นำศาสนาบอกว่ารัฐบาลจีนดูแลเป็นอย่างดี ว่า อันนั้นก็เป็นข้อมูลจากฝั่งของเขา ตอนนี้ตนเองยังไม่ได้รับทราบ "แต่ว่าลองดูดีๆ นะ ว่า 4 คนที่เห็น เวลากลับไปแปลกเนาะ เวลาเราไปเจอผู้หญิงพี่น้องมุสลิม เขาต้องมีการคลุมฮิญาบ เขาไม่สามารถที่จะไปแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายได้ แต่ผมเห็นอยู่ดีๆ จะมากอดพี่อ้วนผมได้ไง ในมุมของศาสนาก็เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งข้อสังเกต"
ส่วนที่ทางการจีนบอกว่าไม่ได้ปิดกั้นอะไรนั้น ก็เป็นเรื่องภายในประเทศเขา ซึ่งเราคงไม่ก้าวล่วง แต่สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ซึ่งไทยเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เช่น การส่งกลับ เราต้องตอบคำถามให้ได้ ทั้งเรื่องต่างๆ ก็เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนอีกเรื่องหนึ่ง แต่ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับ การผลักดันกลับไปประเทศที่อาจเกิดการประหัตประหารได้ เป็นสิ่งที่เราเกี่ยวข้องโดยตรง เพราะเรามีกฎหมายภายในประเทศ และมีกฎหมายระหว่างประเทศที่เราให้สัตยาบัน แต่เราไม่ปฏิบัติตามทางกฎหมายภายในและภายนอกประเทศ จึงเป็นเรื่องผลกระทบ พร้อมย้ำว่า เรื่องภายในประเทศของจีนก็เป็นเรื่องขององค์การระหว่างประเทศที่ต้องไปตรวจสอบอีกครั้งนึง
นายกัณวีร์ กล่าวถึงกรณีที่แฟนคลับพรรคการเมืองหนึ่ง ยื่นสอบจริยธรรมของตนเอง ว่า ตนเองพร้อม เพราะตอนนี้เป็นผู้แทนประชาชน เรามีกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรม ให้เป็นไปตามกระบวนการ อยากให้ สส.พร้อมรับการตรวจสอบ เพราะเราก็ตรวจสอบคนอื่นเช่นเดียวกัน อย่างตนเองก็ตรวจสอบรัฐบาล ฝ่ายบริหาร เพราะฉะนั้น ใครอยากตรวจสอบสิ่งที่ตนเองทำก็เชิญ และยืนยันว่าจะแสดงความชัดเจน และความโปร่งใส และตนเองอยากเห็นกลไกการตอบสนองด้วยเช่นกัน สมมุติว่าการร้องต่างๆ เป็นเท็จ จะมีกลไกตรวจสอบกลับไปหรือไม่อย่างไร
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี