มังกรกงสีอิ่มหมีทั้งตระกูล! ‘จอมยุทธ์โรจน์’ร่ายกระบวนท่าที่ห้า 70 นาที กะซวกเข้าจุดอ่อน‘แพทองธาร’สุมหัว‘ครอบครัว’ทำนิติกรรมอำพราง‘ออกตั๋ว PN ลวง’ สร้างหนี้ปลอมหนี‘ภาษีรับให้’ 218 ล้านบาท ซัดเอาแต่หาช่องโกง เอื้อประโยชน์ตัวเอง ไร้ความละอาย ปล่อยคน‘ฐานราก’แบกรับภาระ ยกรัฐธรรมนูญ‘มาตรฐานจริยธรรม’ ขู่เตือน‘สส.’ยกมือหนุน เจอคนไปร้อง‘ป.ป.ช.’ระวังโดยสอยยกเข่งทั้ง‘นาย-ลิ่วล้อ’ ด้าน‘องครักษ์เพื่อไทย’ไม่พลาด ระดมประท้วงป้อง‘นายน้อยหญิง’ เดือดถึงขั้นเรียก‘ไอ้เหลือก’ เจ้าตัวยอมไม่ได้สวนกลับ‘พูดไม่ใช้สมอง’
24 มีนาคม 2568 เวลา 09.40 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา151 ซึ่งนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และคณะยื่นเสนอ
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้รับเวลาการอภิปรายถึง70นาที กล่าวว่า คุณสมบัติของนายกฯตามมาตรา160 (4) และ (5) ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หากดูในรัฐธรรมนูญหมวด4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ในมาตรา50(9) ระบุ บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ แม้แต่นายกฯก็ไม่ได้รับการละเว้นในเรื่องนี้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ดังนั้นโดยสำนึกแล้วนายกฯควรเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเสียภาษี รวมถึงระบบการจัดเก็บภาษีต้องมีความเป็นธรรมต่อสังคม ถ้านายกฯยังทำตัวหนีภาษี ความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร ทุกคนทราบดีว่าภาษีเป็นแหล่งรายได้หลักประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาประชาชน และประเทศ แต่หนึ่งในปัญหาการจัดเก็บภาษีของไทยปัจจุบัน คือการที่คนรวยบางกลุ่มก่อนใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลบเลี่ยงภาษี ซ้ำร้ายหลายกรณีเข้าข่ายหนีภาษี ภาระการเสียภาษีส่วนใหญ่จึงตกไปอยู่กับมนุษย์เงินเดือน ชนชั้นกลาง และประชาชนชาวรากหญ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอสิ้นเดือนต้องโดนหักภาษีมูลค่าเพิ่ม
“พฤติกรรมการหนีภาษีน่ารังเกียจ เอาเปรียบประชาชน และขัดขวางการพัฒนาประเทศ ผมนึกไม่ถึงว่าพฤติกรรมที่น่าอดสูแบบนี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่ชื่อว่าแพทองธาร ชินวัตร นายกฯ การอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไม่ไว้วางใจน.ส.แพทองธารแต่อภิปรายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ให้ประชาชนได้รู้ว่าคนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษี เป็นเยี่ยงอย่างให้การหลีกเลี่ยงภาษีของคนใหญ่โตเป็นเรื่องปกติ สร้างภาวะให้สังคมต้องจำยอมรับสภาพ มนุษย์เงินเดือน คนจน คนฐานราก ต้องแบกรับภาษของประเทศ ถูกขูดรีดให้ต้องปรนเปรอให้คนมั่งมีที่เห็นแก่ตัวได้เสวยสุขอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร หนึ่งในนั้นคือแพทองธาร หลังจากที่น.ส.แพทองธาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ เมื่อวันที่18ส.ค.67 น.ส.แพทองธาร มีการโอนหุ้น19บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่ที่ผมต้องการถามเป็นแค่การโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาทของตัวเองไปให้กับแม่และพี่สาว ผมขอถามว่าโอนไปด้วยวิธีใด เป็นการให้ หรือขายหุ้น” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หุ้นแรกที่น.ส.แพทองธารโอน คือบริษัทอัลไพน์ กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22.4 ล้านหุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท โดยโอนไปให้คุณหญิงพจมานิดามาพงษ์ แม่ เมื่อวันที่ 4ก.ย.67 หุ้นที่สอง บริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16.9 ล้านหุ้น มูลค่า 169.4 ล้านบาท โดยโอนให้น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5ก.ย.67 หากการโอนหุ้นไปให้แม่และพี่สาวเป็นการให้ แม่และพี่สาวในฐานะผู้รับต้องมีภาระการจ่ายภาษีการรับให้ โดยผู้เป็นแม่ ต้องจ่ายภาษีการรับให้ให้รัฐ คิดเป็นเงิน 10.2 ล้านบาท ส่วนพี่สาว ต้องจ่ายฯ คิดเป็นเงิน 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ภาษีในครั้งนี้จำนวน 18.2 ล้านบาท แต่ต้องถามน.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกฯว่า รัฐจะได้ภาษีในส่วนนี้หรือไม่ แต่ภายในวันที่31มี.ค.ประเทศนี้ก็จะรู้
“น.ส.แพทองธาร มีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีการรับให้ตั้งแต่ปี2559 จากที่มีการแก้กฎหมายประมวลรัษฎากรในส่วนของภาษีการรับให้บังคับใช้เมื่อวันที่ 1ก.พ.59 ผมจึงอยากชวนมาดูพฤติการณ์การซื้อหุ้นของแพทองธาร ชินวัตร กันแบบช้าๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แล้วให้ประชาชนทั้งประเทศ มาพิจารณาร่วมกันว่า จริงๆ แล้วแพทองธาร ซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท มาจากพี่สาว โดยเป็นการซื้อเชื่อ โดยที่น.ส.แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่สาวเลยแม้แต่บาทเดียว ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 4 ใบ ให้พี่สาวไปนอนกอด หุ้นมูลค่า2,388.7 ล้านบาท เปลี่ยนมือจากพี่สาว ไปอยู่ในมือของน.ส.แพทองธาร เป็นที่เรียบร้อย โดยพี่สาวเป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีไม่กำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่สาวเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่สาวก็ไม่คิด นี่คือการซื้อหุ้นจากพี่สาว หรือเจตนาแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่สาวกันแน่ กรณีพี่ชาย(นายพานทองแท้ ชินวัตร) ก็เหมือนกัน น.ส.แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 335.4 ล้านบาท มาจากพี่ชาย โดยการซื้อเชื่อเช่นกัน โดยที่น.ส.แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่ชาย เพียงแต่ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 1 ใบ ให้พี่ชายเก็บเอาไว้ ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่ชายเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่ชายก็ไม่คิด
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ตกลงแล้วมันคือการซื้อหุ้นจากพี่ชาย หรืออันที่จริงแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่ชาย ส่วนกับลุง กับป้าสะใภ้ และกับแม่ ก็เช่นเดิม น.ส.แพทองธารได้หุ้นมาจากลุงมูลค่า 1,315.5 ล้านบาท ได้หุ้นมาจากป้าสะใภ้มูลค่า258.4 ล้านบาท และได้หุ้นมาจากแม่มูลค่า 136.5 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อเชื่อ น.ส.แพทองธารไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับลุง ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับป้าสะใภ้ ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับแม่ แต่ออกตั๋ว PN ให้ลุงเอาไปกอด 2 ใบให้ป้าสะใภ้ และแม่ไปเก็บไว้ใต้หมอนคนละใบ อย่างนี้ตกลงเป็นการซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ ของ ลุง ป้าสะใภ้และแม่ กันแน่
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ถ้าน.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ต้องเสียภาษีการรับให้ให้กับรัฐ แต่ถ้าน.ส.แพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ น.ส.แพทองธารก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเนื่องจากหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะใช้เกณฑ์เงินสด ซึ่งรายได้จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดจริง ดังนั้นการที่น.ส.แพทองธาร จ่ายค่าหุ้นที่ซื้อด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้มีการจ่ายเงินกันจริง จะจ่ายกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว และต่อให้มีการจ่ายค่าซื้อหุ้นกันในภายหลัง พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้และแม่ ก็ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะตามมาตรา 40(4)(ช) ของประมวลรัษฎากรกำหนดว่า รายได้จากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะส่วนเกินจากมูลค่าหุ้น (Capital Gain) หรือกำไรจากการขายหุ้นเท่านั้นจึงจะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ดังนั้นหากกงสี ขายหุ้นให้น.ส.แพทองธารในราคาพาร์ หรือราคาทุน พี่สาว พี่ชายลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลย สลึงเดียวก็ไม่กระเด็นออกจากกงสี ดังนั้นเมื่อคำนวณรวมแล้วน.ส.แพทองธาร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท
นายวิโรจน์ อภิปรายทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า ลำพังแค่จะทำหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทย น.ส.แพทองธาร ยังทำให้ดี ทำแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ แล้วจะมีหน้ามาเป็นนายกฯ เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของประชาชนคนไทยได้อย่างไรพฤติกรรมการหนีภาษีการรับให้ 218.7 ล้านบาท ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบประเทศชาติ ล้วนชี้ชัดได้ว่า บุคคลคนนี้มีจิตละโมบ ที่คอยคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเลย การหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีของน.ส.แพทองธาร นี่หรือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
“พฤติกรรมแบบนี้ คือ การใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ใช้เล่ห์เพทุบาย ในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ อย่างไม่รู้จักละอาย คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เป็นเหลือบลิ้นไรกัดกินผลประโยชน์ของประชาชน ไม่สมควรที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ถ้าพฤติกรรมการหนีภาษีของบุคคลคนนี้ เรียกว่าอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี แล้วถ้าประชาชนโดยเฉพาะเยาวชน เกิดไปเอาเยี่ยงเอาอย่างประเทศชาติ มีหวังล่มสลายแน่นอน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ไม่มีความยึดมั่นในกฎหมายเลย วันๆคิดแต่จะหาช่องหาหลืบของกฎหมายกระทำการอย่างไร้ความละอาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบประเทศชาติ นายกฯหนีภาษีแบบนี้ หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ไม่ใช่แค่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง แต่ถึงขั้นเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติ เราจะบอกกับประเทศอื่นๆ ยังไง ว่าประเทศไทยของเรามีนายกหนีภาษี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทั้งนิติกรรมอำพราง ที่ใช้ตั๋ว PN หนีภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า
“คนอย่างน.ส.แพทองธาร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันๆ เอาแต่เสาะหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเอง จุ๊บๆจิ๊บๆ ก็เอาเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่เว้นหนีภาษีแบบนี้ ไม่ใช่แค่เป็นนายกไม่ได้ แต่เป็นแค่คนปกติก็ยังเป็นไม่ได้ น.ส.แพทองธาร ไม่ใช่แค่ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะลุก เดิน ยืน นั่ง ในทำเนียบรัฐบาล แม้แต่ตามถนนหนทางตามตรอกซอกซอย ในประเทศนี้ คนหนีภาษีอย่างน.ส.แพทองธาร ก็ไม่มีหน้าที่จะเดินหน้าตั้งคอตรง สู้หน้าประชาชนได้อีกต่อไป นอกจากนี้นายกฯ โดยตำแหน่งแล้ว ต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติตนอยากรู้จริงๆ ว่าคนหนีภาษีอย่างน.ส.แพทองธาร ยังจะกล้าแบกหน้าไปนั่งประชุมนั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการฯดังกล่าวอยู่อีกหรือ” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะต้องมีการร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ไต่สวนในเรื่องนี้แน่ เชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ น.ส.แพทองธาร ก็ไม่รอด ตนเป็นห่วงก็แต่สส. ที่จะยกมือไว้วางใจน.ส.แพทองธาร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะอาจเข้าข่ายร่วมกันฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญได้ หากมีคนไปร้องสส.ที่ยกมือให้แพทองธาร ก็อาจจะเข้าปิ้งตายตกตามน.ส.แพทองธารไปด้วย ประชาชนฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ ขุนนางสวมรองเท้าไข่มุก
“ปากที่ตัวเองเคยพูดว่ามีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสีให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูล น.ส.แพทองธาร นายกหนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงระหว่างที่นายวิโรจน์อภิปราย มีสส.จากฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆตลอดการอภิปรายของนายวิโรจน์ จนทำให้วุ่นวาย เพราะมีการอภิปรายพาดพิงไปถึงบุคคลในครอบครัวของน.ส.แพทองธาร เริ่มจากนางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย กำลังจะลุกขึ้นประท้วงแต่ถูกนายวิโรจน์สวนขึ้นมาว่า “ร้องกี้ก่อนได้มั้ยครับ”
โดยนางนุชนาถ กล่าวว่า นายวิโรจน์ ไม่รู้สี่รู้แปด นายโรจน์ จึงตอบโต้ว่า “หากอยู่ในสภาฯ ต้องอยู่ในฐานะลิ่วล้อ เป็นบริวาร ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะอยู่ทำไม ผมถามแค่นี้ไม่มีความเป็นศักดิ์ศรีของความเป็นสส. จะอยู่ทำไม”
ทั้งนี้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่1 ที่สลับขึ้นมาทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พยายามควบคุมการประชุม และได้ปิดไมโครโฟน แต่ไม่เป็นผล นายวิโรจน์ยังตะโกนอภิปราย จนมีเสียงดังภายในห้องประชุมดังสวนขึ้นว่า “ออกไป”
ขณะที่นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ประท้วงนายวิโรจน์ ว่า “ผมใช้สติความเป็นผู้แทน ตั้งแต่หัวหน้าเท้ง บอกว่าอย่าให้เกียรติ โดยมารยาทอย่าประท้วง ผมนั่งฟังนายวิโรจน์ ว่าทุจริต อภิปรายเองยังทุจริต เชิญชวนให้คนสนับสนุนพรรคด้วยการบริจาคเงิน และขู่ผมว่าถ้าโหวตให้นายกฯ จะผิดข้อบังคับ และกรรโชกผมอีก ขอให้น้องใจเย็น น่าจะดีกว่านี้ เป็นห่วง เหมือนคนสติแตก”
นายวิโรจน์พยายามประท้วงตอบโต้ แต่นายพิเชษฐ์ ไม่อนุญาต แต่กลับให้สิทธิ์กับนายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานีพรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า “ขอให้นายวิโรจน์ได้ใช้สมองด้วย ที่ผ่านมาใช้ 2 ซีก คือ ซีกที่ยกตนข่มท่าน เหยียดยามคนอื่น อีกซีกคือ ยกย่องพวกตัวเองเท่านั้น คนแบบนี้เหมาะเป็นหัวหน้าม็อบเท่านั้นคนแบบนี้ ต้องวินิจฉัยเอาจริงเอาจัง จะได้ใจ ไอ้เหลือก”
ซึ่งนายวิโรจน์ ประท้วงกลับว่า “การพูดถึงให้ สส.คำนึงถึงศักดิ์ศรี สส. และส่วนอีกคนบอกว่าให้ใช้สมอง แต่ยังดีที่ใช้สมอง แต่คำพูดของท่านชัดเจนว่าไม่ใช้สมอง” ทำให้นายธีระชัยลุกประท้วงว่า “ให้ระวังปากด้วย”
ทั้งนี้ในช่วงท้าย นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะวิปรัฐบาล ลุกขึ้นหารือว่า ในการอภิปรายของนายวิโรจน์มีการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ดังนั้นในรายงานหรือบันทึกการประชุมช่วยว่านำชื่อคนนอกออกเพื่อความถูกต้องของการอภิปราย ตามข้อบังคับด้วย นายพิเชษฐ์ จึงชี้แจงว่า การเอ่ยชื่อคนนอกต้องรับผิดชอบเองจากนั้นได้ให้ผู้จะอภิปรายในลำดับถัดไปได้อภิปรายต่อไป
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี