"2 ขุนคลัง"ตั้งเป้า GDP ปี 68 โต 3% ฝ่ากระแสเศรษฐกิจฝืด หวังคลอดคริปโตเสริมสภาพคล่อง ศก.ไทย พร้อมโชว์ตัวเลขโต้ฝ่ายค้าน ยืนยันเศรษฐกิจไทยปี 67 โต 1.7-3.2% การจัดเก็บภาษีเพิ่มทุกรายการ - วอน ปชช.เชื่อตัวเลขสถิติ อย่าหลงเชื่อวาทกรรม
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้าน กล่าวหาพาดพิงถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต และสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ โดยยอมรับว่า เศรษฐกิจไม่ดีมาอย่างยาวนาน ซึ่งอดีตเศรษฐกิจไทยเคยดี แต่ไม่ใช่ดีเพราะจังหวะ หรือความฟลุ๊ค แต่ดีเพราะเรื่องต่างๆ ที่ได้ทำไปในอดีต ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี พืชผลทางการเกษตรก็ไม่ดี การลงทุนอุตสาหกรรมก็ไม่ดี เพราะไทยสู้ต่างชาติไม่ได้ การลงทุนภาครัฐที่เบิกจ่ายช้า รวมถึงเรื่องการส่งออก
แต่อย่างไรก็ตาม ในปีที่ผ่านมา แม้จะไม่มีความหวังด้าน GDP แต่ไปหากดูเป้าที่ 2.5% จะเห็นว่า ในปีที่ผ่านมา โตขึ้นมาประมาณ 30% จึงตั้งเป้าว่าในปีนี้ จากผลักดันให้ GDP ต้องไม่ต่ำกว่า 3% และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังจำเป็นจะต้องเติมเม็ดเงินลงไป
ส่วนการใช้คริปโทเคอร์เรนซี หรือ Stable Coin หรือครินั้น นายพิชัย ยืนยันว่า จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ซึ่งตามกฎหมายแบงค์ชาติ กระทรวงการคลัง ยังไม่สามารถพิมพ์เงินใหม่ขึ้นมาคู่ขนาน หรือแข่งกับแบงค์ชาติได้ แต่สิ่งที่กระทรวงทำได้ คือการทำให้เกิดสภาพคล่องมากขึ้น เพราะการเป็นดิจิทัลอย่างน้อย รัฐบาลกู้หนี้จากประชาชนได้ ทำให้การแลกเปลี่ยนง่ายยิ่งขึ้น เป็นเงินที่ถูกต้อง เสมือนกับที่แบงค์ชาติมีอยู่
นายพิชัย ยังยืนยันถึงการแก้ไขปัญหาตลาดหุ้นด้วยว่า ได้มีการแก้ไขปัญหาความได้เปรียบของนักลงทุนต่างชาติมากกว่านักลงทุนไทยไปแล้ว 80 - 90%
ส่วนการแก้หนี้นั้น นายพิชัย ระบุว่า เงินที่รัฐบาลเตรียมช่วยเหลือปรับโครงสร้างหนี้ขณะนี้ ยังใช้ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง สำหรับหนี้ที่มี 13.6 ล้านล้านบาท โดยยืนยันว่า รัฐบาลไม่คิดซื้อหนี้ทั้งระบบ แต่จะเลือกซื้อหนี้เสียแล้ว และจะไม่เลือกกลุ่มที่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้เจรจากัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ขนาดใหญ่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และจะเลือกลูกหนี้ที่ไม่มีปัญหา ไม่มีหลักทรัพย์ กู้มากินและตามตัวไม่ได้
ด้าน นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงกรณีที่ฝ่ายค้านอภิปรายถึงความล้มเหลวด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยยืนยันว่า เศรษฐกิจดีต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขดัชนีมวลรวมของประเทศในปี 2567 ที่ไตรมาสแรกโต 1.7% ไตรมาสที่สอง 2.3% ไตรมาสที่สาม 3.0% และไตรมาสที่สี่ 3.2% และหลังเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอเล็ต รายได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT ระยะเวลา 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงปัจจุบัน พบว่า การจัดเก็บหลายอย่างเพิ่มขึ้น อาทิ การขายปลีกจัดเก็บ VAT ได้เพิ่มขึ้น 31.5%, บริการทางการเงิน 38.7%, ขนส่งคลังสินค้า 26.5%, ที่พักค้างแรม 24.5%, ก่อสร้าง 15.8% และการขนส่ง 66%
ส่วนที่ฝ่ายค้านใช้ระบุแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ รายได้ไม่เพิ่มนั้น นายเผ่าภูมิ ยืนยันว่า การจัดเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดา หรือภาษีมนุษย์เงินเดือนตาม ภ.ง.ด.1 โตขึ้น 5.9%, ภ.ง.ด.90 กลุ่มอาชีพอิสระโตขึ้น 2.8% และอ.ส.4/อ.ส.9 หรือลูกจ้างสัญญาจ้างเหมาโต 19%
นายเผ่าภูมิ ยังชี้แจงกรณีฝ่ายค้านกล่าวหาธนาคารของรัฐไม่ปล่อยกู้ โดยยืนยันว่า ช่วงไตรมาสที่หนึ่งของปี 2567 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 มีอัตราการปล่อยกู้เพิ่มขึ้น 3.3% ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 3.8% ไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้น 4.1% และไตรมาส 4 เพิ่มขึ้น 3.8% รวมถึงยังพบการเปิดเพิ่มของธุรกิจใหม่ช่วงเดือนมกราคม 2568 ที่เพิ่มขึ้นทะลุ 102% มีทุนจดทะเบียนโตขึ้น 8.98% พร้อมขอให้ประชาชน พิจารณาที่ตัวเลขและวิทยาศาสตร์ มากกว่าเชื่อวาทกรรม
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี