ศาลรธน.รับวินิจฉัยฝ่าฝืนจริยธรรม
‘ภูมิธรรม-ทวี’ระทึก
ปมดีเอสไอรับคดีฮั้วสว.เป็นคดีพิเศษ
ส่อแทรกแซงการทำงานกกต.
แต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่
ศาลรธน.มติเอกฉันท์สั่งรับวินิจฉัย “ภูมิธรรม-ทวี”ปมสั่ง DSI รับทำคดีฮั้วสว.ปี’67 เป็นคดีพิเศษ เข้าข่ายกลั่นแกล้ง-แทรกแซงกกต.-วุฒิสภา ส่อฝ่าฝืนจริยธรรม จ่อหลุดเก้าอี้ รมต.แต่ไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สั่งทั้งสองยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน อีกทั้งศาลฯ มีมติสั่ง“สมชาย เล่งหลัก” พ้น สว. เหตุต้องคำพิพากษา-เพิกถอนสิทธิรับเลือกตั้ง 10 ปี เจ้าตัวยอมรับคำวินิจฉัย เดินหน้าการเมืองนอกสภา
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์พิจารณา เรื่อง พิจารณาที่ 8/2568 กรณีประธานวุฒิสภา ส่งคำร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมและพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
โดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และสมาชิกวุฒิสภา รวม 92 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) โดยกล่าวอ้าวอ้างว่า นายภูมิธรรม (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในฐานะประธานกรรมการคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.ทวี (ผู้ถูกร้องที่ 2) ในฐานะรองประธานกรรมการคดีพิเศษ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เสนอเรื่องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือก สว. พ.ศ. 2567 ต่อคณะกรรมการคดีพิเศษ เพื่อมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 25547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2)
เป็นการแทรกแซง หรือ ครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่และครอบงำสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7(4) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา และให้ผู้ถูกร้องทั้งสองยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561มาตรา 54
ส่วนที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณากรณีขอให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง ยังไม่ปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ในชั้นนี้ ยังไม่สั่งให้ผู้ถูกร้องทั้งสองหยุดปฏิบัติหน้าที่ แจ้งให้คู่กรณี ได้แก่ ประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) และนายภูมิธรรม (ผู้ถกร้องที่ 1) และ พ.ต.อ.ทวี (ผู้ถูกร้องที่ 2) ทราบ
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเป็นเอกฉันท์วินิจฉัยให้สมาชิกภาพความเป็นสมาชิกวุฒิสภาของ นายสมชาย เล่งหลัก สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 111 (4) ประกอบ มาตรา 108 ข. ลักษณะต้องห้าม (1) และมาตรา 48 (5) นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่มาตรา 82 วรรคสอง คือวันที่ 11 ธ.ค 67 จากเหตุต้องคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ลต สส 338/2567 ลงวันที่ 23ก.ย.67ที่พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายสมชาย เป็นเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
เนื่องจากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าในการเลือกตั้ง สส.เมื่อปี66 นายสมชาย ซึ่งเป็นผู้สมัครสส. เขต9 สงขลา พรรคภูมิใจไทย รู้เห็นเป็นใจสนับสนุนให้ลูกน้อง จัดเตรียมเพื่อจะให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองซึ่งเป็นการทุจริตเลือกตั้ง อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสส.2561มาตรา73(1) ประกอบมาตรา 138วรรคหนึ่ง นายสมชาย จึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และศาลรัฐธรรมนูญให้ถือว่าวันที่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาว่างลงคือวันที่ศาลอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่งที่บัญญัติให้คำวินิจฉัยศาลธรรมนูญมีผลในวันอ่านคือวันที่ 26 มี.ค 68 เป็นวันที่ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกว่างลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 107 วรรคสี่
ด้าน นายสมชาย เล่งหลัก อดีต สว.ให้สัมภาษณ์หลังฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจาก สว.ว่า เมื่อศาลพิจารณาวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ ตนก็ยอมรับ ซึ่งอาจจะเป็นที่ข้อกฎหมาย แต่การทำงานการเมืองของตน ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในสภาอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเรามีอุดมการณ์ อยู่นอกสภาก็สามารถทำได้โดยเฉพาะประชาชนใน จ.สงขลา ทุกคนเข้าใจสามารถเข้าถึงตนได้ตลอด ซึ่งตนก็โชคดีที่มีเพื่อนสมาชิกวุฒิสภาอีก 199 คน ตนพร้อมที่จะไปสื่อสารหรือแบ่งปันกับเพื่อนสมาชิกทั้งหมด
“ผมถือว่าข้อกฎหมายผมไม่ทราบ แต่ผมทราบเรื่องข้อเท็จจริง ถือว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้นตัวผมสังคมน่าจะพอรู้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งหรือว่าวิธีการเตะสกัด ทางการเมือง นี่คือการเมือง” นายสมชาย ย้ำ
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลุ่ม สว.สำรอง จำนวนหนึ่งนำโดย พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว เข้ายื่นหนังสือเปิดผนึกถึงประธานกกต.เพิ่มเติม ขอให้ทบทวนคำวินิจฉัยกกต.ที่ 5/2568 ลงวันที่ 6 ม.ค.2568 เรื่องการเลือกสว.ระดับประเทศ ขอให้นายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต.หยุดปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเปิดทางให้มีการสอบสวนไต่สวน กรณีการเลือกสว.ระดับประเทศ ส่อมีการทุจริต ในขณะที่ผู้ตรวจการเลือกตั้งได้แจ้งว่าพบเหตุทุจริตต่อนายแสวง แต่นายแสวง กลับเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้ง
โดย พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่าเหตุที่ต้องคัดค้านคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากในท้ายคำสั่งอ้างว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 มิ.ย.2567 ตามที่ พ.ต.อ.มนัส นครศรี ผู้ตรวจการเลือกตั้งจังหวัดสมุทรปราการ ที่กล่าวอ้างว่า มีผู้นำข้อมูลมาแจ้งมีข้อมูลเมื่อเช้าในวันที่ 26 มิ.ย.2568 นั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ตรงกัน และอ้างว่าผู้ที่มาแจ้งไม่มีความเข้าใจ ว่าเรื่องนั้นเป็นความผิดหรือไม่ เลยไม่ได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งในวันนั้น แต่นำมาแจ้งต่อ พ.ต.อ.มนัส ภายหลังเพื่อให้สอดคล้องที่นายมนัสได้รายงานในวันที่ 28 มิ.ย.2568 ซึ่งคำวินิจฉัยของกกต.ในท่อนนั้น ระบุว่าได้มีการสอบปากคำผู้ร้องที่เป็นผู้หญิงที่ระบุว่าได้แจ้งต่อพ.ต.อ.มนัส ไว้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ตรวจสอบไปยังผู้หญิงรายดังกล่าว เขายืนยันว่าตั้งแต่การเลือก สว. ครั้งที่ผ่านมา ไม่มีเจ้าหน้าที่กกต.แม้แต่คนเดียว ไปสอบปากคำเขา ดังนั้นกรณีที่กกต.อ้างว่าต่อปากคำหญิงรายดังกล่าวแล้ว จึงเป็นการกล่าวอ้างเป็นเท็จ
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) มีพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่าสำหรับการประชุมความคืบหน้าคดีฮั้วสว.จะยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้เพราะล่าสุด ตนได้มีการมอบหมายงาน และแบ่งงานให้กับเจ้าหน้าที่ไปดำเนินการ หลังจากนี้จะมีการออกหมายเรียกกลุ่มพยานมาสอบสวนปากคำแน่นอน ส่วนพยานกลุ่มแรกจะเป็นใครนั้น ขอให้คณะพนักงานสอบสวนได้ดูรายละเอียดก่อน โดยจะเน้นไปที่กลุ่มบุคคลที่มีเส้นทางทางการเงินมาเกี่ยวข้อง เนื่องจากดีเอสไอรับดำเนินการในคดีฟอกเงินทางอาญา จึงต้องดูเรื่องเส้นทางการเงินก่อน ดังนั้น หากขยายพบไปว่า มีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ค่อยดำเนินการไปตามขั้นตอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี