เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2568 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 24 -25 มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งท้ายที่สุด ในช่วงเช้าวันที่ 26 มี.ค. 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ยังคงโหวตไว้วางใจ 319 เสียง มากกว่าไม่ไว้วางใจ 162 เสียง โดยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 7 คนงดออกเสียง ว่า ไม่น่าแปลกใจ เพราะในเมื่อฝ่ายค้านตัดสินใจอภิปราบนายกฯ เพียงคนเดียว บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องผนึกกำลังกัน แม้จะมีปัญหาบ้าง 1-2 คนก็ตาม
แต่ในส่วนของฝ่ายค้าน ตนเข้าใจว่าทางพรรคประชาชนน่าจะครบ แต่ในส่วนของพรรคอื่นๆ ก็เห็นมีการให้สัมภาษณ์หรือมีการเคลื่อนไหวกันมาตลอด แต่โดยรวมก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสมการของคะแนนเสียง ซึ่งคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าหากไม่มีข้อมูลในการอภิปรายที่ทำให้ทุกคนแปลกใจและกลายเป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมา คะแนนแบบนี้ทุกคนก็คาดการณ์ได้ ส่วนกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ที่มี สส. 4 คน ในจำนวนนี้เป็นระดับอดีตหัวหน้าพรรคถึง 3 คน ที่งดออกเสียง ก็เข้าใจได้ว่าเป็นการแสดงจุดยืน เพราะเป็นคนที่ต่อสู้มาตลอดเรื่องไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องไปคุยกัน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตนเป็นหัวหน้าพรรค หากใครประสงค์จะไม่ลงมติตามมติของพรรคหรือของวิป ส่วนใหญ่ก็จะมาชี้แจงเหตุผลกับพรรคและวิปไว้ล่วงหน้า ซึ่งบางครั้งก็จะอะลุ้มอล่วยให้ แต่บางเรื่องก็ต้องบอกว่าเรื่องสำคัญ ส่วนการอภิปรายตลอด 2 วันที่ผ่านมา ในส่วนของฝ่ายค้านแม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้มีอะไรที่เป็นข้อมูลใหม่ แต่ก็ได้แสดงบทบาทเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ในการตรวจสอบรัฐบาลจริงๆ และน่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่หยิบประเด็นซึ่งมีความแหลมคมที่เกี่ยวข้องกับตัวของนายกฯ คือเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินกับเรื่องชั้น 14 ที่มีการออกมาพูดแบบชัดเจน
ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น การไม่ทำตามสัญญาเรื่องปฏิรูปการเมือง เรื่องค่าไฟฟ้า เรื่องฝุ่น เรื่องการแสดงออกของนายกฯ ที่ถูกมองว่าขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ เรื่องเหล่านี้พูดง่ายๆ หากเป็นคนที่ไม่ชอบนายกฯ ไม่ชอบรัฐบาลคงถูกใจ เห็นว่าสอบผ่าน แต่ตนก็เห็นในบางประเด็นที่หยิบขึ้นมาแล้วหวังให้ขยายผลได้ เช่น ไอโอหรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของกองทัพ เพราะประเด็นที่ตามาคือแล้วรัฐบาลจะไปจัดการอย่างไร ซึ่งหากเอกสารที่ฝ่ายค้านนำมาแสดงในสภาเป็นความจริง ก็กลายเป็นมีบุคคลสำคัญในรัฐบาลอยู่ในเป้าหมายด้วย ก็อาจมีการขยายผลทางการเมือง
“เรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินก็ดี เรื่องชั้น 14 ก็ดี รวมไปถึงเรื่องโรงแรม เรื่องอัลไพน์ ก็คงไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ก็ต้องมีการตรวจสอบต่อไป ในแง่นี้ความจริงเลยมีทั้งด้านบวกและด้านลบกับฝ่ายค้าน ด้านบวกคือแปลว่าถึงแม้ว่าวันนี้คะแนนเสียงจะแพ้ไป แต่ยังมีประเด็นที่อาจนำไปสู่การขยายผลได้ ซึ่งก็ต้องดูต่อไปว่าแต่ละเรื่องเขาจะดำเนินการอย่างไร? เพราะมันไปได้หลายช่องทาง อาจเป็นเรื่องจริยธรรม จะไปผ่านผู้ตรวจการไหม? หรือ ป.ป.ช. แม้กระทั่งหน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องโดยตรง เรื่องภาษีอากร เรื่องกรมที่ดินหรืออะไรต่างๆ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า แต่ที่หลายคนมองว่าตลอด 2 วันที่ผ่านมา ไม่ได้สร้างความสั่นสะเทือนเท่าที่ควร เพราะเหมือนกับเรื่องยังไม่จบ อย่างกรณีชั้น 14 นายกฯ บอกให้รอฟังแพทยสภา จึงทำให้การพูดหลายอย่างไม่ได้มีประเด็นที่จบครบและสามารถที่จะบอกว่านี่คือความเสียหายและใครต้องรับผิดชอบ ส่วนการเปรียบเทียบการอภิปรายระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคประชาชน ประเด็นนี้อย่าลืมว่าพรรคประชาชนเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยมานาน ยังไม่ต้องนำว่าผู้นำทางจิตวิญญาณของทั้ง 2 ฝ่าย ถูกพูดถึงว่ามีการติดต่อกันอยู่เสมอ
ซึ่งตนไม่ได้พูดว่ามีการไปตกลงอะไรหรือไม่ แต่พูดในแง่ว่าเมื่อเราฟังการอภิปรายเราจะเห็นว่าเรื่องไหนที่ย้อนกลับไปถึงสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพูดอย่างหนักหน่วงได้ เพราะนั่นเป็นธรรมชาติซึ่งเขาต่อสู้กับตรงนี้มา และยังยืนยันว่าเขาต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเก่า ข้อหาที่พรรคประชาชนตั้งก็คือพรรคเพื่อไทยไปสยบยอมกับอำนาจเก่าแล้ว ดังนั้นหลายครั้งเวลาคนฟังก็กลายเป็นว่าเป้าไปที่กลุ่มอำนาจเก่ามากกว่าพรรคเพื่อไทย
โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่นายกฯ ตั้งคำถามกึ่งท้าว่าพรรคประชาชนจะกล้าประกาศหรือไม่ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร แล้วก็ไม่มีคำตอบ จุดนี้ก็อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่ายังขาดบางสิ่งบางอย่างไปซึ่งไม่เหมือนกับยุคที่พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทยต่อสู้กัน รวมถึงเรื่องประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาอภิปรายในเวลานั้น เช่น จำนำข้าว CTX จะมีเรื่องเฉพาะที่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดหรือการทำผิดที่ชัดเจนอยู่แล้ว และพร้อมยื่นเรื่องต่อ จึงต้องดูกันต่อไปว่าประเด็นที่พอขยายผลได้ ทางพรรคประชาชนจะทำได้มาก – น้อยเพียงใด
แต่ตนก็มองว่าสำหรับผู้สนับสนุนพรรคประชาชนคงไม่ผิดหวัง เพราะมาตรฐานการอภิปรายที่ยังคงมีข้อมูลที่แน่นพอสมควรแม้จะเป็นข้อมูลที่เคยปรากฏต่อสาธารณะแล้วก็ตาม รวมถึงการเรียบเรียงประเด็นและการนำเสนอ ตนมองว่าพรรคประชาชนทำได้ดี ส่วนคำถามว่า ในเมื่อพรรคประชาชนมีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทย การอภิปรายจะเหมือนกับการเล่นละครหรือไม่ ตนมองว่าหากให้ความเป็นธรรม หากดู สส. ที่อภิปราย เช่น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายรังสิมันต์ โรม หรือ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ การพูดก็ดูไม่ใช่ลักษณะเป็นมิตรเท่าไร
“เพียงแต่ในภาพรวมทั้งหมดมันก็ยังมีปัญหาที่ว่าทางการต่อสู้ของพรรคประชาชน เขายังมุ่งไปสู่โครงสร้างอำนาจมากกว่า มันก็เลยทำให้เวลามาอยู่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเฉพาะพรรคเพื่อไทย คนก็อาจจะมองด้วยความงงๆ นิดหน่อยว่าทำไมกลับไปตรงโน้น” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนข้อสังเกตที่ว่า พรรคประชาชนตั้งหัวข้อการอภิปรายครั้งนี้ว่า “ดีลแลกประเทศ” แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าคืออะไร รวมถึงที่พูดถึงการครอบงำก็เช่นกัน ประเด็นนี้จริงๆ ตนมองว่าพรรคประชาชนมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง รวมถึงในช่วงต้นที่ผู้นำฝ่ายค้านได้สรุปก็แหลมคมพอสมควร ที่บอกว่าประเทศไทยยอมเสียทุกอย่างเมื่อ 20 ปีก่อน เพื่อให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกไป แต่วันนี้กำลังจะยอมเสียทุกอย่างเพื่อให้นายทักษิณกลับมา ตนมองว่าคำกล่าวนี้ก็สื่อความหมายอยู่ในตัวเรื่องดีลแลกประเทศ
อีกทั้งตลอดการอภิปรายทั้ง 2 วัน พรรคประชาชนก็ย้ำเสมอว่าการที่พรรคเพื่อไทยเปลี่ยนแปลงจุดยืนไปในเรื่องต่างๆ ทั้งที่เคยหาเสียง ที่เคยโจมตี หรือที่เคยมีจุดยินเดียวกันแต่กลับเปลี่ยนไป เพราะไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวที่ได้รับในรูปการกลับมาของนายทักษิณหรืออะไรต่างๆ เพียงแต่ที่คนคาดหวังว่าจะมีการเปิดข้อมูลที่สร้างความฮือฮา เป็นหมัดเด็ดหรือหมัดน็อก หรืออภิปรายแล้วเกิดแรงสั่นสะเทือน ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น
ส่วนที่คาดหวังกันว่าจะนำไปสู่การยุบสภาหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ตนมองว่าตลอด 2 วันที่ผ่านมา พรรคประชาชนต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นเพียงพรรคเดียวเท่านั้นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง จากจุดนี้ทำให้พรรคประชาชนยังสามารถยึดมั่นฐานต่างๆ และหวังว่าจากวันนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า คนที่มองเห็นว่าประเทศต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะสนับสนุนพรรคประชาชน ซึ่งหากมองในแง่นี้พรรคประชาชนก็ไม่ถึงขั้นบรรลุเป้าหมายในการอภิปรายครั้งนี้ แต่ในทางกลับกันก็ต้องบอกว่าผลสะเทือนที่มีต่อรัฐบาลหรือนายกฯ ถือว่าน้อย
โดยสรุปแล้ว ตนมองว่าเป้าหมายของพรรคประชาชน ประการแรกคือรักษาฐาน ประการที่สองคือสำหรับคนที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง มีแนวคิดหัวก้าวหน้า หรือไม่พอใจกับความไม่โปร่งใสหรือไร้ทิศทางการทำงานของรัฐบาล ก็จะมาสนับสนุนพรรคประชาชนมากขึ้น อย่างหากไปถามชนชั้นกลางโดยทั่วไป ตนก็คิดว่าคงพึงพอใจการทำหน้าที่ของพรรคประชาชนในระดับหนึ่ง ดังนั้นพรรคประชาชนไม่เสียแน่นอนและอาจได้คะแนนบวกเล็กน้อย
“ในทางกลับกันผมก็บอกว่ารัฐบาลก็ไม่ได้สะเทือน และนายกรัฐมนตรีผมว่าก็สามารถรักษาฐานของตัวเองได้ ไม่ได้มีปัญหาว่าหลุดหรือทำอะไรที่จะเสียหาย คงไม่สามารถทำให้คนที่ไม่ชอบมาชอบได้หรอก แต่สำหรับคนที่ชอบอาจจะมีความมั่นใจมากขึ้นว่าสามารถจะผ่านการอภิปรายแบบนี้ไปได้โดยที่ไม่มีปัญหามากนัก แล้วผมก็สังเกตว่าเรื่องอะไรที่สุ่มเสี่ยงต่อการที่จะพลาดในเรื่องข้อเท็จจริงต่างๆ นายกฯ ก็จะให้คนอื่นชี้แจง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี