จี้สอบนายกฯซื้อขายหุ้นทิพย์
‘วิโรจน์’ลุยสรรพากร
อ้างเจตนาทำนิติกรรมอำพราง
‘อิ๊งค์’ย้ำทำทุกอย่างถูกต้อง
ยืนกรานไม่มีการจ่ายเงิน
‘อ้วน’ปัดดีลเปลี่ยนนายกฯ
“อิ๊งค์” ย้ำ ตั๋ว P/N ทำถูกต้องทุกอย่าง ไม่เป็นไร“วิโรจน์” ยื่นสรรพากรตรวจสอบ ยังไม่จ่ายเงินหนีภาษีได้ยังไง ด้าน “วิโรจน์” บุกสรรพากร จี้สอบนายกฯซื้อขายหุ้นทิพย์ เจตนาทำนิติกรรมอำพราง เสียค่าอากร 27 บาท จาก 9 หมื่น หวั่น ปชช.ทำตามกระทบระบบจัดเก็บภาษี จ่อให้กมธ.ศก.สภาเรียกอธิบดี“เข้าแจง ยื่น’กรมที่ดิน’แจงออกโฉนดโรงแรมครอบครัวนายกฯได้อย่างไร เหตุยังไม่มีกฎหมายใด ยกเลิกมติครม.2514 แม้จะอ้างคำสั่งปฏิวัติ แต่ก็ยังไม่มีการยกเลิก แฉซ้ำ ป.ป.ช.ชี้มูล เพิกถอนที่ดินแปลงติดกัน
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคประชาชน ไปยื่นกรมสรรพากรให้ตรวจสอบกรณี ใช้ตั๋วP/N ( ตั๋วสัญญาใช้เงินในการซื้อหุ้นหรือทรัพย์สินอื่นใด)ของ น.ส.แพทองธาร ว่า ก็ให้เขาไปยื่น ทราบอยู่แล้วว่าต้องไปยื่น ก็ยื่น ไม่เป็นไร อย่างที่ตนชี้แจงในสภาว่า ทำทุกอย่างถูกต้องอยู่แล้ว “มันจะหนีภาษีได้อย่างไร มันยังไม่มีการจ่ายตังค์เลย ต้องจ่ายก่อนถึงจะคิดภาษีได้และภาษีต้องเกิดจากกำไรด้วยซ้ำ อันนี้คือข้อที่ชัดเจนอยู่แล้ว นักวิชาการก็ออกมาพูด แต่ว่าก็นั่นแหละคะ”
‘วิโรจน์‘บุกสรรพากรจี้สอบนายกฯ
ที่กรมสรรพากร นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.) เดินหน้ายุทธการโรยเกลือหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจยื่นร้องกรมสรรพากรให้ตรวจสอบน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีการใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว P/N) ในการซื้อหุ้น เข้าข่ายทำนิติกรรมอำพราง หลบเลี่ยงหรือหลีกเลี่ยงภาษีที่ผิดกฎหมาย เพื่อจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีการรับให้
โดย นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องมีการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ และเป็นลายลักษณ์อักษร การกระทำในลักษณะแบบนี้ เข้าข่ายนิติกรรมอำพราง เจตนาที่แท้จริงคือ การรับให้หุ้นจากบุคคลในครอบครัว แต่กลับใช้เครื่องมือทางการเงิน เพื่อทำนิติกรรมอำพรางเปลี่ยนเจตนาการรับให้ เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี 5% ใช่หรือไม่ เนื่องจากนางสาวแพทองธาร ไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็นผู้นำประเทศ เป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นฝ่ายบริหาร เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียต่อสาธารณะ แม้นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร จะออกมาชี้แจงว่า สามารถทำได้ แต่เป็นการชี้แจงในลักษณะที่เชื่อว่า เป็นการทำธุรกรรมซื้อขายจริง ๆ แต่ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยว่า เป็นนิติกรรมอำพราง
ทั้งนี้ อธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงในลักษณะว่า หากมีการชำระเงินตามตั๋ว P/N ผู้ขายที่เป็นบุคคลในครอบครัว หากมีกำไรจากการขายหุ้นก็ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ประเด็นข้อสงสัยต่อสาธารณะคือ นี่ไม่ใช่การซื้อขายจริงๆใช่หรือไม่ เป็นเพียงการทำธุรกรรมซื้อขายทิพย์ เพื่อปิดบังเจตนาที่แท้จริงที่เป็นการรับให้หุ้นจากครอบครัว
ต้องการคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า การวินิจฉัยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นทางการ จึงมีความสำคัญมาก เพราะประชาชนทั่วไปมีความสงสัย หากประชาชนทำตามนายกรัฐมนตรี กรมสรรพากรจะอนุญาตให้ทำใช่หรือไม่ จะไม่มีการเลือกปฏิบัติใช่หรือไม่ หากนายกรัฐมนตรีทำได้ ประชาชนทั่วไปก็จะต้องทำได้ ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องโอนหุ้นอย่างเดียว แต่หมายถึงทรัพย์สินอื่นใดด้วย ส่วนวิธีพิสูจน์ในการซื้อขายหุ้น จะต้องดูพฤติกรรมและเจตนา คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรสามารถตรวจสอบ และสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงได้ ตนเองจึงทำหนังสือ เพื่อขอให้อธิบดีกรมสรรพากรดำเนินการตามมาตรา 13 สัตต (3) ของประมวลรัษฎากร ขอให้วินิจฉัยกรณีของนายกรัฐมนตรี ออกมาอย่างเป็นทางการ และลายลักษณ์อักษร เพื่อเป็นแนวปฏิบัติของประชาชนทั่วไป
หากนายกฯทำได้ปชช.คนอื่นก็ทำได้
นายวิโรจน์ ยกตัวอย่าง พ่อค้าแม่ค้า ขายก๋วยเตี๋ยวขายแกง มีเจ้าหน้าที่ไปหา เพื่อขอให้จ่ายภาษี อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ ที่มีรายได้จากการรีวิวสินค้า และส่วนแบ่งจากโฆษณา ก็ถูกเร่งรัดการจัดเก็บภาษี ขณะที่กรณีพ่อค้าแม่ขายที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม การให้ความเห็นของอธิบดีกรมสรรพากร ท่านเองอาจจะปักใจเชื่อโดยส่วนตัวว่าเป็นการซื้อขายกันจริงๆโดยไม่ได้ฉุกคิด แต่ขอชวนให้ท่านฉุกคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ หากนายกรัฐมนตรี ทำได้ประชาชนคนอื่นอาจจะทำบ้างอะไรก็ตามเป็นช่องว่างทางกฎหมาย โดยมีหลักคิดอยู่ 2เรื่อง เรื่องแรก คนที่ทำหากรู้สึกว่าเราทำถูกกฎหมายก็พร้อมเปิดเผยและแสดงตัวต่อสาธารณะ แต่การมีพฤติกรรมหลบๆ ซ่อนๆ เพราะตนเองมีความระแวงว่าอาจจะผิดหรือไม่ผิดกฎหมาย ก็สู้ได้ เพราะสามารถตีความตามตัวบทกฎหมาย และลายลักษณ์อักษร ให้ทนายโต้ ก็มีแนวโน้มว่าจะชนะ แต่ที่ไม่กล้าแสดงตัว เพราะหวาดระแวง
เสียค่าอากร27บาท-จำนวนจริง9หมื่น
เรื่องที่สอง อะไรก็ตามที่เป็นผลประโยชน์ต่อสาธารณะยิ่งทำได้ยิ่งดี กรณีนายกรัฐมนตรี หากทำได้ถูกต้อง แล้วทุกคนทั้งประเทศที่มีความมั่งมีทำบ้าง สาธารณะและรัฐจะได้ประโยชน์ สุดท้ายจะเป็นผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อการจัดเก็บรายได้ ส่วนกรณีที่นายกฯระบุยื่นบัญชีทรัพย์ต่อสำนักงานคณะการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) แล้ว แต่การยื่นบัญชีทรัพย์สินไม่ได้หมายความว่า การชำระภาษีถูกต้องครบถ้วน ตนเองทำใจเป็นกลาง อยากได้คำวินิจฉัยจากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร หากตีความว่า นายกรัฐมนตรี ในฐานะประชาชนทำได้ ประชาชนคนอื่นก็ทำได้ แต่หากมองว่า มีความเสียหายในการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน หมายความว่า ต่อจากนี้ไปภาษีรับได้ ไม่สามารถจัดเก็บได้เลยใช่หรือไม่
สำหรับกรณีบุคคลในครอบครัวของนายกรัฐมนตรีเป็นประชาชนคนหนึ่ง เรื่องนี้มีเรื่องค่าอากร หากเป็นสัญญาเงินกู้ และการเป็นหนี้ระดับร้อยล้านพันล้าน จะมีค่าอากรที่เสียจำนวน 9ฉบับ รวมเป็นเงิน 90,000บาท หากมีการใช้ตั๋ว P/N ค่าอากรจะตกอยู่ที่ฉบับละ3บาท รวม 9ฉบับ27บาท ซึ่งการเลือกใช้ตั๋ว P/N ก็เพื่อประหยัดค่าอากร ไม่ผิดกฎหมายแต่ เป็นการบริหารภาษี แบบดุดันไม่เกรงใจใคร
เชิญอธิบดีสรรพากร-ผู้ตรวจเงินฯชี้แจง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า คงต้องให้เวลาอธิบดีกรมสรรพากรทำงาน หลังจากนี้จะใช้กลไกของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ในการติดตามความคืบหน้า โดยจะเชิญอธิบดีไปชี้แจงและผู้แทนจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ด้วย การใช้ตั๋วP/N เป็นเครื่องมือทางการเงินไม่ได้ผิดอะไร การให้เครดิตระยะสั้น สามารถทำได้ตามกฎหมาย แต่ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยคือ ตกลงแล้วกรณีนี้ เจตนาที่แท้จริงเป็นการซื้อขายจริงหรือไม่ หรือเป็นการซื้อขายทิพย์ ซื้อขายเป็นรูปแบบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้หรือไม่ โดยประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคือ พฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี ดังนั้น เรื่องนี้ดูแค่ปลายทางไม่ได้ ต้องดูถึงพฤติการณ์ อาจจะต้องย้อนดูถึงการยักย้ายถ่ายเทหุ้นของนายกรัฐมนตรีกับคนอื่น ๆ ด้วย จะได้ดูว่าพฤติการณ์ ในลักษณะนี้น่าจะเป็นการซื้อขายกันจริง ๆ หรือที่ผ่านมา มีการยักถ่ายเทหุ้นกันบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรก็จะตีความได้ว่า อาจจะเป็นนิติกรรมอำพราง ที่ผ่านมาเคยชำระค่าซื้อขายหุ้นกันหรือไม่ หรือไม่เคยมีการชำระเงินกันเลย และตั๋ว P/N เก่า ๆ ที่ยังไม่มีการชำระเงิน ยังคงเก็บเอาไว้หรือไม่ หรือสูญหายไปแล้ว ซึ่งคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร สามารถเรียกเอกสารเหล่านั้น กลับมาตรวจสอบได้ทั้งหมด ‘สิ่งที่น่ากลัวถ้าผมไม่อภิปรายเรื่องนี้คือ ปีหน้านายกรัฐมนตรี จะมีการวางแผนมาชำระตั๋ว P/N หรือไม่ ซึ่งก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรี เพราะนายกรัฐมนตรี ระบุว่าปีหน้าจะมีการชำระ หรืออาจจะคิดอยู่แล้วแต่ไม่ได้บอกใคร พอผมถาม ก็เลยบอกว่าความลับที่ฉันซ่อนไว้ไม่เคยบอกใคร ก็อดใจไม่ไหวก็เลยต้องบอกต่อสภาฯ ก็สะท้อนเจตนาที่จะทำให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ตีความที่แท้จริงได้ว่าเจตนาที่แท้จริงเป็นการรับให้หรือซื้อขายจริง เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากๆทั้งนี้ ไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเกี่ยวข้องนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพราะปัจจุบันบริบททางกฎหมายเปลี่ยนไป ในยุคของนายทักษิณ ยังไม่มีภาษีการรับให้ ดังนั้น การเปลี่ยนมือ การให้โดยเสน่หา อาจจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะสม แต่ต้องยอมรับว่า กฎหมายในยุคนั้นกับยุคนี้ไม่เหมือนกัน ปัจจุบันมีการปรับปรุง เพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมายแล้ว จะถูกหรือผิดเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร
ซัดนายกฯอาศัยช่องว่างกฎหมาย
นายวิโรจน์ ระบุว่า นายกฯอยู่ในวิสัยที่รู้ว่านี่คือช่องว่างทางกฎหมาย คนที่เป็นนายกรัฐมนตรี พบช่องว่างทางกฎหมาย ในฐานะที่ถืออำนาจรัฐ สามารถมีข้อสั่งการต่อระบบราชการได้ ควรเปิดช่องว่างหามาตรการแก้ไข หรือจะหาประโยชน์จากช่องว่างนั้นเสียเอง หากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรมีคำวินิจฉัยออกมาในแนวทางว่า สามารถทำได้รับรองว่าถูกต้องดื้อๆ ในปีภาษีถัดไปจะพบกับความเสียหายแน่นอน ภาษีการรับให้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เมื่อมีคำวินิจฉัยเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งอธิบดีกรมสรรพากร และคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร จะต้องมีความรับผิดทางกฎหมาย เพราะสุดท้ายภาษีรับให้จัดเก็บไม่ได้เลย ประชาชนจะโอนหุ้นโอนที่ดินให้ลูก บอกว่าใช้วิธีตั๋วP/N หรือใช้เครื่องมือการอื่นใดที่ไม่มีกำหนดชำระและอัตราดอกเบี้ย สุดท้ายประเทศจัดเก็บภาษีไม่ได้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ จะต้องมีการเอาผิดกับอธิบดีกรมสรรพากร และคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ที่ปรากฏชื่อวินิจฉัย
นายวิโรจน์ ย้ำว่า ตนเองไม่ได้มีปัญหาความเข้มงวดของกรมสรรพากร แต่การบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเสมอภาค ไม่ใช่ว่าพ่อค้าแม่ค้า อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ตามติด แต่กลับนายกรัฐมนตรี ปล่อยปละละเลย ส่วนกรณี นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากรเป็นลูกชายของนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายทักษิณนั้น ความใกล้ชิดไม่ใช่ปัญหา เชื่อว่าอธิบดีกรมสรรพากร และบิดารู้จักคนเยอะ แต่การจะบอกว่าการรู้จักคนเยอะแล้วต้องเอื้อประโยชน์ก็เป็นการกล่าวหาเกินไป จะให้ท่านไม่รู้จักใครก็เป็นไปไม่ได้ คงต้องให้เวลาท่าน การกระทำและการตัดสินใจใช้อำนาจของท่านจะเป็นเครื่องพิสูจน์ และบอกกับประชาชนว่า ประชาชนจะไว้ใจ ในฐานะอธิบดีกรมสรรพากรได้หรือไม่
ยื่นกรมที่ดินแจงออกโฉนดให้ครอบครัว
วันเดียวกัน ที่กรมที่ดิน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน พร้อมด้วย นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. และนายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ เดินทางยื่นหนังสือถึงกรมที่ดินขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดิน ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรม Thames Valley เขาใหญ่ โดยมีนายเจนกิจ เชฏฐวาณิชย์ รองอธิบดีกรมที่ดิน เป็นผู้รับหนังสือ โดย นายธีรัจชัย กล่าวว่า เป็นการเข้ายื่นหนังสือ หลังจากที่อภิปราย กรณีที่นายวราวุธศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้แจงว่า คำสั่งคณะปฏิวัติปี2515 ยกเลิกมติครม.2514 ว่า พื้นที่ต้นน้ำลำธารได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ระบุว่ามติครม.2514 ได้ให้จัดตั้งนิคมสร้างตนเอง โดยให้คงพื้นที่ต้นน้ำลำธารไว้ทั้งหมด 3 แห่ง ซึ่งคำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 ไม่ได้มีการยกเลิกพื้นที่ต้นน้ำลำธาร กรมที่ดินได้โต้แย้งว่าในปี 2537 มีการประชุมคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ได้อนุมัติออกเอกสารสิทธิ์ได้ แต่เมื่อไปตรวจสอบดูแล้วอาจจะคาดเคลื่อน เหมือนอนุญาตคนที่บุกรุกไปแล้วให้มีสิทธิ์ได้ครอบครองแต่ไม่ได้กรรมสิทธิ์
ยันไม่มีสิทธิ์ออกโฉนดทั้ง4แปลง
นายธีรัจชัย กล่าวว่า มติครม.ปี 2514 ยังอยู่คงเดิม ในส่วนของระเบียบกรมที่ดินคำสั่งที่ 43 การออกที่ดินต้องไม่ไปทับที่ต้นน้ำลำธาร จึงต้องตรวจสอบว่ากรมที่ดินแถลงออกมาได้อย่างไร ซึ่งการเดินทางมาวันนี้ต้องการให้อธิบดีกรมที่ดินตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง และถ้าตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีสิทธิ์ออกโฉนดที่ดิน4แปลง ในพื้นที่ต.หมูสี อ.ปากช่อง คือให้ดำเนินการตามกฎหมายคือเพิกถอนเอกสารสิทธิ์
นายธีรชัย กล่าวอีกว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจมีความสงสัยจากประชาชนในคนที่ทำธุรกิจแล้ว ไปออกโฉนดแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างไรสำหรับคนที่บังคับใช้กฎหมาย เมื่อถามว่า คำสั่งคณะปฏิวัติ สามารถยกเลิกมติครม.ได้ เพราะคำสั่งคณะปฏิวัติเหนือกว่ากฎหมาย นายธีรัจชัย ยืนยันว่าคำสั่งคณะปฏิวัติเทียบเท่ากับพระราชกฤษฎีกา แต่ในคำสั่งนั้นไม่มีการให้ยกเลิกมติครม. 2514 แต่ถ้าคำสั่งคณะปฏิวัติออกแทนพระราชบัญญัติสามารถยกเลิกได้ ทั้งนี้ คำสั่งคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ก็ไม่ได้มีการอ้างถึงคำสั่งคณะปฏิวัติ แต่เป็นการแก้ปัญหาเรื่องที่ดิน ซึ่งอำนาจคณะกรรมการชุดนี้ต่ำกว่ามติครม.ซึ่งถ้าจะออกโดยชอบต้องยกเลิกมติครม.นอกจากนี้ ยังบอกอีกว่า ปี 2567 คณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลที่ดินแปลงที่1และแปลงที่ 2 ว่า มีการชี้มูลความผิด ส่วนพื้นที่ โรงแรมThames Valley อยู่แปลงที่ 3 แม้จะอยู่คนละแปลง แต่เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารเหมือนกัน
ภูเขาต้นน้ำลำธารออกโฉนดไม่ได้
ด้าน นายวิโรจน์ ยืนยันว่า มติครม.2514กำหนดพื้นที่ ที่ดินThames Valley เป็นต้นน้ำลำธารอยู่ ยังไม่มีคำสั่งใดทางกฎหมายในการยกเลิกมติครม.2514 ดังนั้นพื้นที่ต้นน้ำลำธารยังอยู่ ล่าสุดที่คณะกรรมาธิการป.ป.ช.มีการเรียกตรวจสอบแผนที่ที่กรมที่ดินส่งให้คณะกรรมาธิการก็ยังปรากฏพื้นที่ต้นน้ำลำธารอยู่ ดังนั้นเมื่อพื้นที่ต้นน้ำลำธารยังอยู่ตามพรบ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน2497 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 ข้อที่14(5) ยืนยันชัดเจนว่า พื้นที่ที่เป็นภูเขาต้นน้ำลำธารออกโฉนดไม่ได้ คำถามคือการออกโฉนดที่เป็นที่ตั้งของThames Valley ว่าการมีโฉนดไม่ได้แปลว่าที่ดินแปลงนั้นถูกต้อง จึงต้องการให้มีการตรวจสอบว่ามีการออกโฉนดได้อย่างไร ขณะที่กรมที่ดิน ได้ออกเอกสารชี้แจงว่าการออก น.ค.3ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ต้นน้ำลำธารเนื้อที่ประมาณ3.3หมื่นไร่ เพื่อปลูกป่าตามโครงการปลูกป่าเพื่อทดแทนและอนุรักษ์ที่ดิน และกรมที่ดินได้ออกโฉนด ที่ดินและน.ส.3 ก. เนื้อที่ประมาณ 5.2 หมื่นไร่ ไม่ได้ออกโฉนดที่ดินในบริเวณที่ถูกอภิปรายแม้แต่พื้นที่เดียว ทั้งนี้พื้นที่ต้นน้ำลำธารในนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ไม่ได้เป็นพื้นที่หวงห้ามเด็ดขาด คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ จึงมีมติให้ออก น.ค.3 เพื่อเป็นหลักฐานไปออกโฉนดที่ดินหรือน.ส.3ก.ในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร ของนิคมสร้างตนเองลำตะคอง จึงเป็นไปตามนโยบายบริหารที่ดิน และชอบด้วยระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ
นายวิโรจน์ พร้อม นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม.พรรคประชาชนและนายเลาฟั้ง บัณฑิต เทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้เดินทางต่อไปยังกรมที่ดินเพื่อยื่นหนังสือขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงแรมเทมส์วัลเลย์ เขาใหญ่ ตามประเด็นที่ นายธีรัจชัย อภิปรายไม่ไว้วางใจกล่าวหานายกรัฐมนตรี ว่ามีการประกอบกิจการโรงแรมโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย บนพื้นที่ต้นน้ำหรือไม่.
‘ทวี’ฉุน! ถามกลับคาใจใคร?ชั้น14
ที่รัฐสภา พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีการตรวจสอบการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุ พร้อมเปิดเผยเวชระเบียนนั้น โดยพ.ต.อ.ทวี ได้ถามกลับว่า“เปิดเพื่อใคร แพทยสภา ก็เอาไปแล้ว ชื่อฝ่ายตรวจสอบ ก็ดำเนินการแล้ว จึงต้องส่งให้ฝ่ายตรวจสอบคือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และแพทยสภา” เมื่อถามว่าทั้ง2องค์กรนี้ได้รับเวชระเบียนแล้วหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ต้องไปถามทั้ง 2 องค์กร เพราะโดยหลัก ผู้มีอำนาจตรวจสอบจะดูพยานหลักฐานว่ามีแค่ไหนจึงจะไต่สวนได้
เมื่อถามว่าถ้ามีความคาใจมากๆ แล้วครอบครัวของนายทักษิณ หรือฝ่ายค้าน รวมถึงสังคมพร้อมจะเปิดเผย ทำได้หรือไม่ รมว.ยุติธรรม ถามกลับทันทีว่า คาใจใคร เพราะฝ่ายค้านก็ได้อภิปรายไปแล้ว ซึ่งฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี แต่ไม่มีหน้าที่ ไปชี้ถูกชี้ผิดใคร ซึ่งในรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ป.ป.ช. และแพทยสภา เป็นคนชี้มูลในเรื่องนี้
โบ้ย ถาม‘ป.ป.ช.-แพทยสภา’เอง
เมื่อถามว่าไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเวชระเบียนใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่มีหน้าที่ และอำนาจต้องไปเปิด ต้องไปถามเอง เมื่อถามถึงกรณีที่เร็วๆนี้ แพทยสภาจะมีการลงมติและหากผลออกมามีข้อพิรุธ สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นป.ป.ช.ได้หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ให้ไปถาม ป.ป.ช. ว่าจะใช้ได้หรือไม่ เพราะถ้าเป็นเรื่องแพทย์ ก็เป็นส่วนของแพทยสภา ส่วนตัวไม่กังวล เพราะทำตามกฎหมาย หน้าที่และอำนาจ ไม่มีอะไรที่ทำนอกเหนือ
เมื่อถามถึงการกลับมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ.ต.อ.ทวีกล่าวว่าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
ไม่กังวลศาลฯรับวินิจฉัยปมฮั้วสว.
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ยังกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 8 ต่อ 0 รับคำร้องของประธานวุฒิและสมาชิกรวม 92 คนยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม และของ พ.ต.อ.ทวี เหตุไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรงว่า ไม่มีความกังวล กระบวนการที่ส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกระบวนการที่ชอบ จึงมีมติ 8 ต่อ 0 รับคำร้อง ถ้าไม่รับ ไม่ได้ เราต้องเคารพในศาลรัฐธรรมนูญ แต่เรามั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่และทำตามกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่ทำให้คณะกรรมการคดีพิเศษ หรือ กคพ. ถูกฟ้อง และศาลฎีกาเคยบอกไว้ว่า กคพ. เป็นคณะกรรมการโดยกฎหมาย ความเห็นที่ออกมาจึงไม่สามารถนำฟ้องร้องทางแพ่งได้ แต่กรณีเป็นการร้องด้านจริยธรรม
เมื่อวานนี้เพิ่งได้รับหนังสือจากศาลรัฐธรรมนูญ พบว่าผู้เซ็นคำร้องเป็นประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นหนึ่งในรายชื่ออยู่ในโพยฮั้ว โดยปกติการฟ้องร้องคดีหากเป็นผู้ที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนควรจะให้ผู้อื่นเซ็น แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายกฎหมายได้ทำหนังสือขอรายชื่อสมาชิกสว.ที่เป็นผู้ร้องทั้งหมด เพราะในคำร้องมีแต่รายเซ็น ไม่มีชื่อ เพื่อนำไปตรวจสอบว่าทั้ง 92 คน เป็นคนที่อยู่ในโพยฮั้วเลือก สว. หรือไม่ เพื่อจัดทำคำชี้แจงภายใน 15 วัน แต่ถ้าเอกสารบางอย่างยังไม่ได้ก็ต้องขอขยายเวลาเพิ่ม
ส่วนจะใช้เป็นข้อต่อสู้ด้วยหรือไม่ขอดูก่อน และในคำร้องหลายประเด็นมีการไปวินิจฉัยแทนศาลรัฐธรรมนูญในหลายเรื่อง ดังนั้นจึงอยากเห็นข้อเท็จจริงก่อนทำคำชี้แจง อย่างไรก็ตามส่วนตัวเคารพศาล แต่ก็มีหน้าที่ในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงให้ศาลวินิจฉัย
ภูมิธรรมมั่นใจบริสุทธิ์ปมสอบฮั้วสว.
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา หลังเข้าชื่อถอนตนออกจากตำแหน่ง กรณีรับคดีฮั้วเลือกตั้ง สว.เป็นคดีพิเศษว่า หากเข้าใจเรื่องข้อกฎหมายจะรู้ว่า สว.ยื่นเรื่องผ่านองค์กร และไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องการซื้อขายเสียง แต่มีการพูดถึงการไปครอบงำและละเมิด ซึ่งในแง่ของข้อกฎหมายไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ และศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับไปวินิจฉัย ซึ่งต้องไปดูในเรื่องของรายละเอียด ในส่วนของ ตนไม่กังวลอะไร เพราะเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)
“เมื่อมีผู้มายื่นให้ตรวจสอบก็รับไปพิจารณา หากไม่ทำอะไรเลยก็จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ไม่ได้เกิดจากการที่เราไปคิดกันเอง และแย่งเขามาทำ แต่มันมีการเสนอมา ในฐานะที่ผมเป็นประธานคณะกรรมการ กคพ.ก็ต้องเรียกประชุม โดยระหว่างนั้น ก็มีการโต้แย้งว่าอยู่ในอำนาจหรือไม่ เราก็ต้องทำอย่างรอบคอบ และมีการให้กลับไปทบทวน ว่าเข้าข่ายปัญหาข้อกฎหมายหรือไม่ จากนั้นก็มีการแยกเรื่อเลือกตั้งของ สว.ให้ไปอยู่อำนาจของ กกต. ในขณะที่ กคพ.รับเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตนมั่นใจว่าบริสุทธิ์ไม่มีปัญหา จากนี้ไปก็ให้เป็นดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ”นายภูมิธรรม ย้ำ
โต้ข่าวดีลเปลี่ยนตัวนายกฯ
นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงการปรับคณะรัฐมนตรีภายหลังจบศึกจากซักฟอก ว่า ตนถูกถามเรื่องนี้เป็นครั้งที่ 20 แล้วก็ยังไม่เห็นว่ามีการปรับ ครม.เลย ถือเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี และได้พูดชัดเจนแล้วว่าไม่มีการปรับ ครม.ยังทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี เมื่อถามถึงกระแสข่าวดีลเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี นั้น นายภูมิธรรม ถึงกลับยิ้มแล้วตอบว่า ดีลอีกแล้ว ดีลระดับประเทศ ดีลไปก็ไม่มีความหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี