เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 ที่อาคารแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา พร้อมด้วย รศ. (พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทยสภา และ รศ.นพ.ต่อพล วัฒนา กรรมการแพทยสภา แถลงข่าวภายหลังการประชุมแพทยสภาประจำเดือน ครั้งที่ 4/2568 ถึงการสอบสวนจริยธรรมทางวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ และแพทย์ รพ.ตำรวจ กรณีการพักรักษาตัวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่มี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธานคณะอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ และอยู่ในห้องแถลงข่าวดังกล่าวด้วย แต่ไม่ได้ร่วมมีการแถลงในรายละเอียด
รศ. (พิเศษ) นพ.เมธี กล่าวว่า ตามกรอบการพิจารณาเรื่องนี้ยังไม่ถึง 6 เดือน หรือ 180 วัน ตามกรอบและขั้นตอนการพิจารณา ซึ่งจะนับเวลาภายหลังได้รับเอกสารชี้แจง ดังนั้น คดีที่เป็นประเด็นตอนนี้ ยังอยู่ในลำดับที่ 4 คือ การพิจารณาของอนุกรรมการสอบสวน และยังไม่สิ้นสุด จึงยังไม่ได้มีการบรรจุวาระใดๆ เข้ามาในการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เพียงแต่อาจเป็นความคลาดเคลื่อนของการสื่อสาร
สำหรับขั้นตอนการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีที่มีแพทย์ถูกร้องเรียน เริ่มต้นจากเมื่อมีผู้ร้องเรียนเข้ามา ก็จะมีการส่งเรื่องไปยังลำดับที่ 1 คณะอนุกรรมการจริยธรรมพิจารณา ซึ่งมีกรอบเวลาในการทำงาน 4 เดือน ขยายเวลาได้ 2 เดือน จากนั้นจะนำมติเข้าสู่ลำดับที่ 2 อนุกรรมการกลั่นกรอง ให้ความเห็นเพิ่มเติมประกอบในสำเนา มีกรอบเวลาทำงาน 1 - 2 เดือน จากนั้นก็จะส่งมายังลำดับที่ 3 คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ที่มีการประชุมเดือนละ 1 ครั้ง โดยขั้นตอนนี้มีกรอบเวลา 1 - 2 เดือน ในการพิจารณาว่าคดีที่ถูกร้องมีมูลหรือไม่ หากไม่มีมูลก็จะจบไป แต่ถ้ามีมูลก็ต้องสอบสวนเพิ่มเติมในลำดับที่ 4 อนุกรรมการสอบสวนพิจารณาคดีต่อ ซึ่งมีการกำหนดกรอบเวลาชัดเจนว่าจะต้องสิ้นสุดลงเมื่อใด โดยนับเวลาตั้งแต่วันที่อนุกรรมการสอบสวนได้รับเอกสาร จะให้เวลาประมาณ 180 วัน หรือ 6 เดือน ให้มีมติว่ามีการ "ยกข้อกล่าวหา" หรือ "ผู้ถูกร้องมีความผิด"
จากนั้น สำเนาจะถูกส่งไปยังลำดับที่ 5 อนุกรรมการกลั่นกรองที่มีบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่แพทย์ แต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายระดับประเทศ ให้ความเห็นต่อคดีเพื่อให้มีความแน่นหนาต่อการทำสำนวน ต่อมาก็จะส่งมาลำดับที่ 6 คณะกรรมการแพทยสภาอีกครั้ง เพื่อพิจารณาว่ามีผู้ถูกร้องมีความผิด ต้องลงโทษอย่างไร หรือต้องมีการยกข้อกล่าวหาไป สุดท้ายจะเป็นลำดับที่ 7 เสนอต่อสภานายกพิเศษ ซึ่งถ้ามีการพิจารณาโต้แย้ง ก็จะต้องย้อนกลับมายังคณะกรรมการแพทยสภาลงความเห็น ถ้า 2 ใน 3 ยืนยันมติเดิม ก็จะมีการยื่นต่อศาลปกครองต่อไป แต่ถ้าเสียงไม่ถึง 2 ใน 3 ก็จะถือว่ายึดตามความเห็นของสภานายกพิเศษ
"กรณีที่มีความจำเป็นจริงๆ ถ้าเห็นว่าสอบสวนไม่ทัน เช่น ต้องใช้เวลารอเอกสาร ติดต่อไม่ได้ จะมีการขยายเวลาได้ครั้งละ 1 เดือน เต็มที่ไม่เกิน 120 วัน 4 เดือน ดังนั้น ระยะเวลาที่อยู่ในอนุกรรมการสอบสวน ถ้าไม่มีการต่ออายุจะจบสิ้นภายใน 6 เดือน ขยายเต็มที่ก็ไม่ให้เกิน 4 เดือน" รศ. (พิเศษ) นพ.เมธี กล่าว
ด้าน ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าแพทยสภาทำตามกระบวนการ และพยายามกำกับให้อยู่ในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ ซึ่งท่าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ที่เป็นประธานอนุกรรมการสอบสวนฯ ยังทำหน้าที่เต็มที่และมีอิสระในการทำงาน ดังนั้น ข้อมูลต่างๆ จะไม่มีการเผยแพร่ออกมาก่อน เพื่อให้สอบสวนเป็นไปตามที่ควรเป็น ย้ำว่า ถ้าสำนวนยังไม่สิ้นสุด ก็จะไม่มีการเสนออะไรใดๆ เข้ามาในคณะกรรมการแพทยสภาแน่นอน
เมื่อถามกรณีที่มีการส่งเอกสารเข้ามาเพิ่มเติม ภายหลังจากที่อนุกรรมการสอบสวนมีการทำสำนวนเสร็จแล้วสามารถทำได้หรือไม่ ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ตามข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยวิธีพิจารณาจริยธรรมฯ ระบุว่า อนุกรรมการสอบสวนต้องรับพยานหลักฐานจากผู้ถูกร้องที่ยื่นมาให้ "ยกเว้น" พยานหลักฐานนั้นไม่ได้เกี่ยวกับคดี หรือมีลักษณะที่เป็นการประวิงเวลา ก็จะไม่รับ ซึ่งถ้าอนุกรรมการสอบสวนมีความเห็นว่าจะรับเอกสารเพิ่ม ก็จะมีการรายงานเรื่องเหล่านี้ในการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 6
"ส่วนกรณีดังกล่าวนี้ ทางอนุกรรมการสอบสวนได้ออกแถลงการณ์มาแล้วว่า เอกสารที่สำคัญต่อการพิจารณาคดีนั้นเพียงพอครบถ้วนแล้ว ซึ่งทางคณะกรรมการแพทยสภาก็ยังไม่ได้เห็นข้อมูลอะไรใดๆ ทั้งสิ้น" ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามย้ำว่า การพิจารณาคดีของนายทักษิณ จะมีกรอบเวลาที่สิ้นสุดแน่นอนในเดือนใด ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ตามกรอบเวลาที่ได้แจ้งทั้งหมดแล้วนั้น ต่อให้อนุกรรมการสอบสวนขอขยายเวลาจาก 6 เดือน เพิ่มอีก 4 เดือน ก็คิดว่าไม่ควรเกินปีนี้ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นการแทรกแซงอนุกรรมการสอบสวน ดังนั้น เราก็จะไม่เที่ยวไปสอบถาม
ทั้งนี้ ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ซึ่งนั่งอยู่ในห้องแถลงข่าว ไม่ได้มีการกล่าวในรายละเอียดใดๆ แต่ได้มีการแจกแถลงการณ์ในนามประธานคณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ แพทยสภา ให้กับผู้สื่อข่าว โดยรายละเอียดแถลงการณ์ระบุว่า จากกรณีที่มีข่าวว่า ในวันที่ 10 เม.ย.2568 แพทยสภาจะมีการตัดสินจริยธรรมของแพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ และแพทย์ รพ.ตำรวจ ที่ให้การดูแลรักษา นายทักษิณ ชินวัตร แต่ยังไม่สามารถตัดสินได้ เนื่องจากมีเอกสารสำคัญเพิ่มเติมจาก รพ.ดังกล่าวนั้น ประธานคณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ แพทยสภา ขอชี้แจงว่า เอกสารที่ได้รับมาเพิ่มจากทั้ง 2 หน่วยงาน เป็นเอกสารสำคัญซึ่งมีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี และคณะอนุกรรมการสอบสวนเป็นผู้ร้องขอเพิ่มเติมในเดือน มี.ค.ทางคณะอนุกรรมการสอบสวน จึงได้นำเอกสารจำนวนหลายร้อยหน้าดังกล่าวมาพิจารณา และเห็นว่าเอกสารมีความครบถ้วนเพียงพอแล้ว โดยขณะนี้ อยู่ในระหว่างการให้ความเห็นและสรุปสำนวนการสอบสวน เพื่อเสนอตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งยังคงเป็นไปตามกรอบการทำงานที่กฎหมายกำหนดไว้
ประธานคณะอนุกรรมการสอบสวน ทราบดีว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจและมีความห่วงใย พร้อมทั้งขอยืนยันว่า มีความเป็นอิสระในการทำงานอย่างเต็มที่ในฐานะผู้รับผิดชอบในขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการพิจารณาของแพทยสภา ซึ่งมีทั้งสิ้น 7 ขั้นตอน ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ 4 แล้ว และในอีก 3 ขั้นตอนที่เหลือนั้น จะต้องผ่านการพิจารณาจากกรรมการแพทยสภา ซึ่งเป็นแพทย์ จำนวน 70 ท่าน ที่มาร่วมกันทำงานในนามของแพทยสภา เพื่อรักษามาตรฐานจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ และให้ความคุ้มครองประชาชนผู้รับบริการทางการแพทย์อย่างดีที่สุด
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี