ช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนถึงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ประจำปี 2568 “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex)” เป็นประเด็นร้อนของสังคมไทย เมื่อ “แรงต้าน” ขยายไปทั่วทุกสารทิศเพราะไม่ต้องการให้มี “กาสิโน” หรือสถานที่เล่นการพนันอย่างถูกกฎหมายเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าจะมีเนื้อที่มากหรือน้อยเท่าใดก็ตาม เพราะแม้รัฐบาลจะเชื่อเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่อาจคลายข้อสงสัยและความกังวลที่ว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจะคุ้มค่าจริงหรือไม่? เมื่อเทียบกับผลกระทบทางสังคมมากมายที่จะตามมา
นอกจากภาคประชาชนและนักวิชาการกลุ่มต่างๆ จะแสดงจุดยืนคัดค้านตามที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งในกรุงเทพฯ และต่าง จังหวัดแล้ว เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือกฎหมายไฟเขียวให้มีกาสิโนในไทย ยังตั้งข้อสังเกตเรื่อง “รอยร้าวทางการเมือง” ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่บางพรรคมีท่าทีไม่อยากยกมือสนับสนุน กระทั่งวันที่ 8 เม.ย. 2568 รัฐบาลจึงขอ “เลื่อน” การนำร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรออกไปก่อน โดยอ้างว่ามีเรื่องอื่นสำคัญกว่า เช่น การเจรจากับสหรัฐอเมริกา หลังไทยถูกหมายหัวตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้า เป็นต้น
รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่วันที่ 10 เม.ย. 2568 ชวนพูดคุยกับ นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในประเด็นร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเริ่มจากการที่รัฐบาลไม่อยากให้สื่อและประชาชนเรียกว่าเป็นกฎหมายกาสิโน ว่า เหตุที่เรียกกันว่ากฎหมายกาสิโน เพราะต้องการทำให้ชัดเจนว่าที่สังคมกำลังถกเถียงกันคือเรื่องอะไร เพราะจะใช้คำว่าสถานบริการหรือสถานบันเทิงครบวงจรก็ไม่ใช่ประเด็นหรือปัญหา แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาสาระมุ่งเน้นไปที่เรื่องของกาสิโน
“กฎหมายฉบับนี้ถ้าพูดกันไปแล้วเรื่องกาสิโนเป็นส่วนใหญ่ สถานบันเทิงเป็นส่วนย่อยทีเอามาประกอบ แต่เอาไปตั้งเป็นหลักเพื่อให้ดูดี เพราะฉะนั้นเจตนาหรือความต้องการ ถ้าบอกสถานบันเทิงเพื่อการท่องเที่ยวมันก็มีเยอะแยะอยู่แล้ว แต่ถ้าบอกกาสิโนมันไม่มีกฎหมายให้ แล้วก็มาตั้งต้นเพื่อให้น่าสนใจ ให้เป็นที่ยอมรับว่าต่อไปนี้รัฐบาลกำลังทำกฎหมายที่ผลทางด้านเศรษฐกิจก็คือเรื่องของสถานบันเทิงแล้วมาจัดระเบียบ จริงๆ ทุกอย่างมันมีกฎหมายของมันอยู่แล้ว
เขาเอาเป็นหลัก แต่มาพูดเพื่อให้มีจุดเริ่มต้นว่าไม่ได้เริ่มต้นจากกาสิโน มันเริ่มมาจากสถานบันเทิง ฉะนั้นถ้าหากว่าดูในเนื้อหาทั้งหมดมันไปด้วยกัน เขียนกฎหมายฉบับนี้ไปด้วยกันเลย สถานบันเทิงครบวงจร แล้วดูคำนิยาม ‘ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หมายความว่า การให้บริการเพื่อการท่องเที่ยว การพักผ่อนหย่อนใจ หรือการสันทนาการ รูปแบบของธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้หลายประเภทรวมกัน ร่วมกับกาสิโน’ ฉะนั้นคำว่าธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร มันมีกาสิโนติดไปตลอดเลยนะ มันก็คือไปด้วยกัน”
อดีต สว.เสรี ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อดูบัญชีแนบท้ายร่างกฎหมาย จะระบุประเภทธุรกิจสถานบันเทิงไว้ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม สนามกีฬา ยอร์ชและครูซซิ่งคลับ สถานที่เล่นเกม ว่ายน้ำและสวนน้ำ สวนสนุก และอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด ซึ่งหากร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ก็เป็นไปได้ที่กาสิโนจะไปตั้งอยู่ในสถานที่ใดก็ได้อย่างกว้างขวาง อาทิ ห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การมีกาสิโนเพียงร้อยละ 10 ของพื้นที่ในสถานที่นั้น แต่อยู่ที่กาสิโนจะตั้งได้ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ประการต่อมา ต้องย้ำว่า “การมีกาสิโนไม่ช่วยแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมาย” เพราะการพนันที่เล่นกันอยู่ใต้ดิน มีข้อสังเกตว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เมื่อถูกจับได้ข่าวที่ปรากฏคือมีการสั่งย้ายไปที่อื่น รอให้เรื่องเงียบแล้วค่อยกลับมา แล้วจะแก้ไขปัญหาได้อย่างไร จึงอยากให้ชัดเจน หากเจ้าหน้าที่รัฐไปเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายต้องลงโทษจำคุก 10 ปีและไล่ออก ส่วนการชะลอร่างกฎหมายไว้แล้วหาจังหวะและโอกาสนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร บอกได้เลยว่าวันใดเข้าสภาการประท้วงเกิดแน่นอนและรัฐบาลก็จะอยู่ต่อไปได้ยาก
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลเลื่อนการนำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาผู้แทนราษฎรด้วย เช่นเดียวกับที่เลื่อนร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร ตนมองว่าเป็นความพยายามต่อรองทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ หรือระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน อีกประการหนึ่ง ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรไม่ระบุเรื่องการเก็บภาษี ซึ่งอาจมองได้ว่าให้ไปใช้ประมวลรัษฎากร แต่หากจะให้ดีก็ควรเขียนในร่างกฎหมายฉบับนี้โดยตรง
อนึ่ง “คนที่จะมาลงทุนทำกาสิโน เป็นไปได้ที่จะเป็นผู้มีอิทธิพล คำถามคือการเสียภาษีที่กำหนดให้เสียตามรายได้แล้วจะแจ้งรายได้ตามความเป็นจริงหรือไม่? แล้วใครจะเข้าไปตรวจสอบ?” ดังนั้นที่บอกว่าการมีกาสิโนจะทำให้มีรายได้ผ่านการเก็บภาษีเอาเข้าจริงก็ไม่คุ้มกับผลเสียที่จะตามมา เช่น ประชาชนติดการพนัน นักธุรกิจเล่นการพนันจนล้มละลาย เมื่อเทียบกับการสร้างงานสร้างธุรกิจแบบทั่วๆ ไป ที่หากการขออนุญาตทำได้ง่ายและไม่มีเรื่องของการจ่ายใต้โต๊ะ เม็ดเงินที่ได้จะมากและยั่งยืนกว่า
ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูคำแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่ตอนหนึ่งระบุว่า “รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี ที่คาดว่าจะมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 50 ของ GDP” แล้วมีคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลไม่ระบุให้ชัดว่าจะสร้างกาสิโน ตนมองว่า ถ้าเขียนไว้แต่แรกคงไม่มีใครเลือก และที่บอกว่าเป็นปัญหา เช่น บ่อนการพนันผิดกฎหมาย หรือคนไทยขนเงินออกไปเล่นการพนันในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ต้องไปแก้ปัญหาที่ตรงนั้น
แต่ไม่ใช่การให้ตั้งกาสิโนในเมืองหลวงและยังเปิดได้ทุกที่ทั่วประเทศอย่างไม่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวน ซึ่งการไปมอบหมายให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่อยู่ในร่างกฎหมายดังกล่าว เป็นเพียงการกำหนดไว้กว้างๆ แต่ไม่มีหลักประกันใดๆ เลย การเสนอให้มีกาสิโนขึ้นมาในลักษณะนี้จึงไม่ใช่การแก้ปัญหา โดยวิธีแก้ เช่น ลงโทษรุนแรงกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย เก็บภาษีหรือค่าธรรมเนียมสำหรับคนที่ออกไปเล่นการพนันในต่างประเทศ เป็นต้น
“ผมว่าเขาคัดค้านมีเหตุผลนะ เพราะมันเห็นอยู่แล้วว่าสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองให้กับประเทศ และนับวันถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ถอนออกไป ผมว่าชาวบ้านที่เขาค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะออกมาต่อต้านมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยอย่างที่เคยผ่านมา แล้วบ้านเมืองก็จะมีปัญหา พอมีปัญหาก็ไปโทษทหารอีก ก็คุณไปสร้างปัญหาให้กันขนาดนี้ สร้างปัญหาจนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ พอเขาออกมาดับไฟคุณก็ไปด่าเขาปฏิวัติอีกแล้ว คุณก็อย่าไปทำเรื่องพวกนี้
แล้วโดยเฉพาะยุคปัจจุบันมันเป็นยุคที่นักการเมืองต้องมีจริยธรรม อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ คุณก็ต้องพิจารณา คิดดูว่ามันขัดจริยธรรมไหม? ทำให้คุณธรรม เรื่องความเป็นอยู่อะไรต่างๆ มันสร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมืองให้สังคมหรือเปล่า? ให้กับประชาชนไหม? คุณต้องแยกให้ออก นี่คุณแยกไม่ออก เอาแต่ว่าได้ภาษี ได้รายได้ ทั้งๆ ที่วิธีหาเงินเข้าประเทศมันมีตั้งเยอะแยะ บ้านอื่นเมืองอื่นที่เขามีกาสิโนเขาอยากจะเลิกกันทั้งนั้นแต่ของเราอยากจะสร้าง อย่างนี้มันเห็นว่านักการเมืองหรือคนบริหารประเทศแบบนี้ จะไปโทษชาวบ้านเขาก็ไม่ได้ที่เขาออกมาไล่”
อดีต สว.เสรี กล่าวต่อไปว่า ปัญหาของรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่เฉพาะเรื่องกาสิโนหรือร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจร ยังมีเรื่องอื่นๆ เช่น ความสามารถในการบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข การทำงานไม่ถูกรีดไถหรือเอารัดเอาเปรียบ แก้ปัญหาคอร์รัปชั่นในระบบราชการ สิ่งเหล่านี้รัฐบาลต้องทำ เมื่อไม่ทำชาวบ้านเขาก็อยากไล่อยู่แล้ว ยิ่งมาออกกฎหมายที่ไม่มีคุณธรรม – จริยธรรม จึงทำให้ออกมาไล่ ซึ่งกาสิโนเป็นส่วนหนึ่งแต่เป็นส่วนที่จุดติดง่าย และเมื่อจุดติดแล้วก็จะขยายวงไปสู่เรื่องที่รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ ไม่มีความสามารถทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า
ส่วนที่รัฐบาลบอกว่า ในช่วงที่ร่างกฎหมายสถานบันเทิงครบวงจรถูกชะออกไปนี้จะพยายามใช้เวลาทำความเข้าใจกับประชาชน ตนมองว่าประชาชนสนใจว่าเรื่องนั้นส่งผลดี – ผลเสียอย่างไร หากมีข้อดีจริงๆ รัฐบาลก็อาจทำให้ประชาชนเข้าใจได้ แต่เท่าที่ดูจากร่างกฎหมายที่เผยแพร่ออกมานอกจากจะไม่ทำให้ดีขึ้นแล้วยังแย่ลงด้วย ดังนั้นการที่รัฐบาลจะอยู่ต่อไปได้นั้น ไม่เพียงแต่ต้องถอนร่างกฎหมายนี้ออกไป ยังต้องสร้างนโยบายที่มีประสิทธิภาพทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนเจริญรุ่งเรืองมีความผาสุกได้จริงด้วย
แต่เมื่อมองในมุมการเมือง ซึ่งจู่ๆ คนระดับเลขาธิการพรรคการเมืองที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่าไม่เห็นด้วยกับกาสิโน และในเวลาต่อมาหัวหน้าพรรคต้องออกมาบอกว่าผิดคิว ตนมองความเคลื่อนไหวนี้ว่า ก็เป็นเรื่องการเมืองที่เลือกว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร และเมื่อเห็นว่าไม่ควรก็กล้าที่จะประกาศออกมาให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้ร่วมมือออกกฎหมายนี้ เป็นเรื่องการเมืองที่ทุกคน – ทุกพรรคต้องเลือกเส้นทางของตนเองในการสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงให้กับบ้านเมือง
ซึ่งการประกาศกลางสภาแบบนี้ก็มีผล อย่างที่คนประกาศก็บอกว่าตนเองเป็นลูกใคร แสดงว่าต้องไปปรึกษาพ่อมาแล้ว เหมือนกับที่นายกฯ ก็ปรึกษาพ่อ ส่วนที่หัวหน้าพรรคออกมาบอกว่าผิดคิวและไม่ใช่มติพรรค แบบนี้เรียกเล่นไพ่ 2 หน้า ฝั่งหนึ่งคือไม่เสียภาคมวลชน อีกฝั่งก็ยังสามารถร่วมรัฐบาลต่อไปได้ ส่วนเรื่องการแถลงนโยบายอาจถูกผูกมัดได้ระดับหนึ่งเพราะเป็นสัญญาประชาคม แต่จริงๆ ก็มียุทธศาสตร์ชาติอยู่ อะไรที่ทำแล้วบ้านเมืองเสียหายจริงๆ ก็มีโทษ เพียงแต่เมื่อเป็นคนที่มีอำนาจแล้วกระบวนการเอาผิดจึงเกิดขึ้นได้ยาก
เมื่อมองถึงปัญหาของรัฐบาลปัจจุบันที่มีอายุมาแล้ว 7 เดือน อดีต สว.เสรี ให้ความเห็นว่า รัฐบาลอ่อนแอเพราะไม่มีเสถียรภาพ เพราะการตั้งรัฐบาลมาจากการรวมตัวของพรรคการเมืองหลายพรรค ร่วมหัวจมท้ายแถลงนโยบายร่วมกัน แต่วันดีคืนนี้ก็บอกว่าไม่เอาแล้วตามด้วยการถอนตัว ต้องตั้งหลักยึดมั่นให้ดี ทำรัฐบาลให้มั่นคง อะไรที่มีปัญหาก็อย่าไปแตะ แต่หากยังมุ่งผลประโยชน์ เอาแต่แย่งกันหรือต่อรองกัน ก็จะเกิดข้อตกลงที่ไม่ลงตัวและนำมาซึ่งความอ่อนแอ เกิดการเล่นตัว ไล่ออกก็ไปรวมกับอีกฝั่งหนึ่งได้
“มันสะดุดขาดตัวเอง! การเขียนนโยบายแบบนี้แล้วก็มาออกกฎหมายแบบนี้แสดงว่าเจตนาคิดมาตั้งนานแล้ว คิดมาก่อนหน้านี้แล้วถึงได้เขียนกว้างๆ ไว้ ซ่อนเอาไว้ แต่พอได้มีอำนาจแล้วก็แผลงฤทธิ์ หยิบกฎหมายสิ่งที่ตัวเองต้องการตั้งแต่แรกออกมาแล้วบอกอยู่ในนโยบายแล้วนะ เขียนไว้แล้วนะ แต่จริงๆ อันนั้นเขียนไว้แบบกว้างๆ คลุมเครือ หลอกชาวบ้านไว้ พอเสนอแบบนี้ขึ้นมามันก็เลยเกิดการต่อต้าน”
หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี