'นายกฯ อิ๊งค์'เปิดทำเนียบฯ รับ'อันวาร์'ถกมาตรการสู้ภาษี'ทรัมป์' พร้อมร่วมมือในนามอาเซียน บอกข่าวดี'พิชัย'ได้วันนัดคุยระดับรมต. 23 เม.ย.นี้ โวไทยมีจุดแข็งคุยเยอะ ยึดแนวทางเจรจาวินวินทั้งสองฝ่าย
เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เดินทางเข้าพบ และหารือทวิภาคีกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม ร่วมให้การต้อนรับ โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที
จากนั้นเมื่อเวลา 14.30 น. น.ส.แพทองธาร และนายสุริยะ ได้แถลงถึงผลการหารือว่า ได้พูดคุยกับนายอันวาร์ 3 เรื่อง คือ 1.เรื่องของสะพานสุไหงโก-ลก ที่มีการตกลง และจะดำเนินการต่อ ขณะนี้อยู่ในช่วงการก่อสร้าง และจะเสร็จในปี ค.ศ.2027 และ 2.เรื่องความสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ขอความร่วมมือกับทางประเทศมาเลเซีย โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องของเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารฮาลาล และ Rubber City โดยเรามีความเห็นว่าจะเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เพื่อจะได้ช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ซึ่งกัน และกัน 3.เรื่องของภาษีสหรัฐอเมริกา โดยหารือกันว่าภูมิภาคอาเซียนจะสามารถรวมพลังกันอย่างไรได้บ้าง เพราะหากรวมประชากรในอาเซียนก็ถือว่าเยอะและมีความแข็งแรง
นายกฯ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้เราก็ดูว่าแต่ละประเทศมีทางออกกันอย่างไร ซึ่งนายอันวาร์ ในฐานะที่เป็นประธานอาเซียน ก็อยากได้รับความร่วมมือ ว่าจะมีทางออกหรือแก้ไขอย่างไรบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจับมือกับอาเซียนในการต่อสู้มาตรการภาษีจะเป็นลักษณะใด น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ในรายละเอียดที่ลงเป็นข้อ 1, 2, 3, ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่เราพูดในเชิงว่าอะไรที่เราจะช่วยสนับสนุนกันเราพร้อมสนับสนุนในมุมของกลุ่มอาเซียนหรือไม่ ซึ่งไทยพร้อมร่วมมือกับอาเซียน และเราไม่เน้นเรื่องความรุนแรง การเจรจาอันไหนที่วินๆ ได้เราพยายามทำแบบนั้น
เมื่อถามว่าในส่วนของรัฐบาลเดินหน้าไปมากน้อยแค่ไหน เพราะช่วงสงกรานต์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาบอกว่าได้พูดคุยกับคนรอบข้างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐไปหลายคนแล้ว น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า นายทักษิณ ได้คุยแบบไม่เป็นทางการหลายคนแล้ว ถือเป็นประโยชน์อย่างหนึ่ง เพราะการไม่ได้คุยกับคนที่มีตำแหน่งโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือรัฐมนตรีจะสามารถรวบรวมความคิดเห็นกันได้ก่อน และทางอเมริกาอยากได้ความคิดเห็นของไทยด้วยเช่นกัน เป็นการคุยนอกรอบว่าประมาณไหนดีที่จะสนับสนุนซึ่งกัน และกันได้ อันนี้ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรื่องการพูดคุยเป็นทางการ นายพิชัย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง จะไปคุยก่อน ตอนนี้สามารถนัดวันได้แล้วคือวันที่ 23 เม.ย.นี้ โดยเป็นการคุยกับระดับรัฐมนตรี แต่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นใครรอการยืนยันอีกครั้ง
เมื่อถามว่าตัวนายกฯ มีโอกาสต่อสายตรงถึง นายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า หากถามว่าได้หรือไม่ในภาวะปกติความจริงได้ แต่พอตอนนี้ทุกประเทศเข้าคิวในการพูดคุยเราก็ไปตามขั้นตอนว่าจะต้องคุยแบบนี้ แต่อย่างที่บอกหลายทางที่สามารถพูดคุยได้ตนก็คุยด้วยเช่นกัน อาจจะไม่เป็นทางการตนก็คุยเช่นกัน อะไรเป็นคอนเนคชั่นที่เราสามารถพูดได้ก็ทำ
เมื่อถามว่าการเตรียมความพร้อมของรัฐบาลไทย สามารถพูดได้หรือไม่ว่าน่าจะมีข่าวดี น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คิดว่าข้อเจรจาต่อรองของเราที่เตรียมไปแข็งแรงพอสมควร และเรามั่นใจว่ามันจะเป็นเรื่องบวกบวกของทั้งสองประเทศ เราคิดว่าเราเป็นประเทศที่ต้องพูดคุยอย่างแฟร์ๆ เพราะเราสามารถให้ประโยชน์กับเขาได้เช่นกันและเขาก็ให้ประโยชน์กับเราได้เช่นกัน อย่างให้คุยกันเป็นแนวนั้นเพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีมายาวนาน คิดว่าน่าจะคุยแล้วเกิดผลดี
เมื่อถามว่าจะใช้อะไรเป็นแต้มต่อในการเจรจา น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เป็นเรื่องการค้าต่างๆ แต่ในรายละเอียดขอให้นายพิชัย เป็นคนแถลง ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องดูผลประโยชน์ของประเทศเรา ของประชาชนไม่ให้เสียไป อันนี้เป็นเรื่องสำคัญและทราบอยู่แล้วว่าต้องเน้นย้ำเรื่องนี้ เมื่อถามอีกว่าจุดแข็งของเราคืออะไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่าจุดแข็งเรามีสินค้ามากมายที่ส่งให้เขา และความจริงสินค้าเราราคาดีหลายอย่างมีรายละเอียดมากที่สามารถพูดคุยและต่อรองกันได้ ไม่ใช่แค่สินค้าเกษตร แต่ทุกรายละเอียดเคยถูกกางมาแล้วตั้งแต่ก่อนมาตรการภาษีจะออก
เมื่อถามว่าเรามีมาตรการเตรียมความพร้อมช่วยผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออกหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อันนี้เน้นเลย เรื่องช่วยผู้ประกอบการไทยเราเน้น นอกจากติดต่อกับสหรัฐแล้ว ตนยังพูดคุยกับทีมทำงานว่าเราควรสนับสนุนเอกชนในการลงทุนในต่างประเทศด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ตอนนี้กำลังทำให้ชัดเมื่อเป็นรูปเป็นร่างแล้วจะมาพูดให้ฟัง แต่ความตั้งใจที่สื่อสารไปกับคณะทำงานทีมงานก็เห็นด้วยว่าตอนนี้ภาคเอกชนที่ไปลงทุนต่างประเทศไปด้วยตัวเอง ถ้าได้ภาครัฐสนับสนุนอาจทำได้ดีกว่าเดิมไม่ต้องเสี่ยงเท่าเดิม ตนเคยอยู่ภาคเอกชนมาถ้าได้การสนับสนุนจากภาครัฐคงเป็นความร่วมมือที่ทำประโยชน์ให้ประเทศอย่างมาก ซึ่งเรื่องนี้ตนจะทำแผนต่อ
เมื่อถามว่าได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยจากเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน น.ส.แพทองธาร กล่าวว่าความจริงต้องมีการปรับตัวเพราะภาษีต่างๆยังไม่ได้ถูกปรับใหม่ ทำให้ออกมาเป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้เป็นมาตรฐานจริงๆ บางอันเราอาจได้เปรียบมากขึ้นบางอันประโยชน์อาจจะน้อยลง มันต้องเกลี่ยทั้งกระดาน ขอให้ผู้ประกอบการทุกท่านมั่นใจว่าตนเป็นนักธุรกิจมาก่อนทราบว่าไม่มีใครอยากเสียผลประโยชน์ แต่เราพยายามคุยตรงนี้ให้เราเองแข็งแรงในการเจรจาต่อรอง ขอให้มั่นใจรัฐบาลดูเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เมื่อถามว่าการเจรจา จะเจรจาภาษีทั้งระบบหรือเป็นสินค้าแต่ละชนิด นายกฯกล่าวว่า ขอให้นายพิชัย เป็นผู้แถลง
เมื่อถามว่า นายทักษิณ บอกว่าไม่ค่อยได้พบนายกฯ พูดคุยกันอย่างจริงจัง ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้พูดคุยกับนายทักษิณ อย่างไรบ้าง และนายทักษิณ ได้แนะนำอะไรบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ได้พูดคุยอัพเดตกัน แต่ความจริงไม่ได้เจอท่านเลย เพราะตนไม่ค่อยมีเวลา เมื่อได้เจอที่เชียงใหม่ก็ได้พูดคุยกัน โดยตนรีบไปนั่งรถกับท่านแล้วให้ลูกนั่งรถอีกคัน ท่านก็อัพเดทเรื่องของสหรัฐว่าได้คุยกับคนนั้นคนนี้ คุยไปทิศทางว่าจะไปทางนั้นทางนี้อย่างไรบ้าง ตอนที่ตนเด็กๆอายุ 10 ขวบมีโอกาสพบกับครอบครัวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองไทย ได้ทานข้าวด้วยกัน นายทักษิณ ทราบแนวทางของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ว่าเป็นนักธุรกิจ ท่านก็บอกว่าสามารถคุยกันได้อยู่แล้วอะไรที่เป็นประโยชน์ทั้งเขาและเรา เขาแค่ไม่อยากเสียประโยชน์ของเขา เพราะมีประเทศใหญ่ๆอีกมากที่ดีลกับเขาโดยตรง เขาก็พยายามให้ทุกประเทศแฟร์ ซึ่งเราก็ดูแนวทางมาว่าประมาณไหนบ้างก็ปรึกษากัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี